บทที่ 5 ขโมยก็มีประโยชน์
กาเว่นสงสัยว่ารีเบคก้าได้รับบาดเจ็บที่สมองจากเหล่าอสูรหรือเปล่าและพูดออกมาด้วยความอดทน "แม้ว่าข้าจะอยู่ที่นี่มาหลายปี...ข้าตาย ข้าควรจะรู้งั้นรึว่าโลงศพของตัวเองเป็นเช่นไร?"
รีเบคก้าหยุดคิดไปชั่วครู่ นางอยากจะบอกท่านบรรพบุรุษว่าสุสานของราชาผู้ก่อตั้งอาณาจักรก็ถูกสร้างก่อนที่เขาจะตายเช่นกัน อย่างไรก็ตามถ้านางยังพยายามพูดอะไรออกมาอีก ป้าเฮอร์ตี้ต้องฆ่านางทิ้งตรงนี้แน่นอน นางจึงหันไปยิ้มอย่างกระอักกระอวนเล็กน้อย "ฮ่าฮ่า...มันก็สมเหตุสมผล"
"ตอนนี้พวกเราไม่สามารถกลับไปทางเดิมได้แล้ว"เฮอร์ตี้ถอนหายใจออกมา "ทางเข้าไปยังสวนกลางปราสาทและทางเข้าสุสานถูกพวกอสูรยึดไปหมดแล้ว การกลับไปนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย
"พวกเราต้องหาทางอื่น" กาเว่นพูดพร้อมค้นหาบางอย่างในความทรงจำ "เป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี ปราสาทได้ถูกปรับปรุงบ้างไหม?"
"ส่วนบนของปราสาทได้มีการสร้างใหม่ แต่รากฐานนั้นไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น" เฮอร์ตี้ตอบอย่างรวดเร็ว "ทางเข้าที่ท่านพูดน่าจะยังอยู่ที่นี่"
"อืมงั้นก็เป็นเรื่องดี" กาเว่นพูด ก่อนจะยื่นมือไปยังทหารข้างๆ "ขอข้ายืมดาบสักครู่"
หลังจากยืมดาบมาจากทหาร กาเว่นได้ร่างภาพบนพื้น เขาวาดแผนผังของปราสาทเมื่อมองจากด้านบน จากนั้นก็ด้านข้างของปราสาทที่แบ่งออกเป็นสามชั้น แม้จะเป็นการวาดแบบเร่งรีบ แต่ส่วนต่างๆของปราสาทได้ถูกแบ่งออกมาอย่างชัดเจน
"ทางเข้าอยู่ตรงนี้ ใต้ดินชั้นที่สองใกล้กับห้องเก็บไวน์และเสบียง อย่างน้อยมันก็เคยเป็นแบบนั้น มีสองเส้นทางที่จะไปถึงตรงนั้นได้ พวกเราคงต้องใช้ทางเข้าจากสุสานซึ่งข้าไม่รู้เส้นทางที่แน่ชัด"
รีเบคก้ามองด้วยความสงสัย "ห้องที่เก็บไวน์และเสบียงอยู่ตรงนั้น แต่ข้าไม่เคยเห็นห้องที่สามนั้นแม้แต่น้อย..."
"มันไม่ใช่ห้องแต่เป็นชั้นลอยที่ถูกสร้างด้วยลูกเล่นทางสถาปัตยกรรม มันถูกซ่อนอยู่ระหว่างกำแพงกับคานรับน้ำหนัก" กาเว่นหัวเราะ "ตอนนั้น ดินแดนนี้ตั้งอยู่ชายแดนไม่ได้สงบสุขเท่าไรนัก อสูรสามารถบุกเข้ามาได้ทุกทิศทางจากดินแดนรกร้างของกอนดอร์ รวมถึงทหารของที่เสียสติของอาณาจักรเก่าก็โจมตีที่นี่ทุกสิบถึงสิบห้าวัน ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นทางเดินลับและชั้นลับจึงเป็นสิ่งจำเป็นเผื่อกรณีฉุกเฉินเมื่อพวกเราถูกปิดล้อม"
ไบรอนมองแผนผังอย่างจริงจังแล้วดึงดาบยาวออกมาชี้ไปที่มุมล่างของแผนผัง "ดังนั้น พวกเราควรมุ่งไปที่ทางเข้าใต้ดินชั้นที่สอง...โดยไม่ผ่านไปทางสนามกลางปราสาทหรือขึ้นไปด้านบน ที่นี่คือที่ที่เราอยู่ สุสานตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทถือนับเป็นหนึ่งในสามของฐานปราสาททั้งหมด..."
"บริเวณที่ทับซ้อนกันนี้น่าจะมีทางผ่าน" กาเว่นขัดไบรอน "สุสานนี้สร้างขึ้นเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนโดยช่างคนเดียวกันกับที่สร้างปราสาท พวกเขาน่าจะสร้างทางเชื่อมไว้หลายจุด"
ก่อนที่เขาจะหันไปมองรีเบคก้าด้วยสายตาแปลกๆ "เจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยงั้นหรือ? ความรู้พวกนี้น่าจะถูกส่งให้ลูกหลานตระกูลเซซิลรุ่นต่อรุ่น"
รีเบคก้าก้มหัวลงด้วยความอับอาย"ข้า..."
"ท่านบรรพบุรุษ พวกเราล้มเหลวที่จะรักษาความรุ่งโรจน์ของตระกูลเซซิลเอาไว้" เฮอร์ตี้กัดริมฝีปาก "ตระกูลเซซิลผ่านเรื่องราวมามากมายในช่วงเจ็ดร้อยปีที่ผ่านมา..."
"อืม ข้ารู้แล้ว" กาเว่นโบกมือ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเล่าเรื่องอะไร "หลังจากออกไปจากที่นี่ ข้าจะให้เจ้าอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตอนนี้การหาทางลับจากสุสานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด"
รีเบคก้า เฮอร์ตี้และไบรอนก้มหัวลงศึกษาแผนผัง แม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับปราสาทตระกูลเซซิล แต่พวกเขาไม่ได้คุ้นเคยกับพื้นที่ในสุสาน เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาก็ได้ แม้กระทั่งก่อนที่สุสานจะถูกปิดผนึกเฉพาะโอกาสพิเศษจริงๆเท่านั้นที่ลูกหลานตระกูลเซซิลจะเข้ามายังที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าใกล้สถานที่พักผ่อนของเหล่าบรรพบุรุษ
พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าทางลับที่ซ่อนอยู่มีหน้าตาเป็นเช่นไร?!
แม้แต่กาเว่นก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้...
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจนมุมนั่นเอง "เฮ้...ข้าอาจจะรู้ทาง..."
ทุกคนในสุสานหันไปมองเด็กสาวครึ่งเอล์ฟทันที
แอมเบอร์รีบหดคอลงทันที
เฮอร์ตี้ขมวดคิ้ว "เจ้ารู้ได้ยังไง?"
"ข้า..."แอมเบอร์กลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นกาเว่นกำลังให้กำลังใจอยู่นางก็รู้สึกกล้าหาญขึ้น "มันเป็นทางที่ข้าเข้ามา...มันน่าจะเป็นทางที่พวกเจ้ากำลังตามหา"
"เยี่ยมมาก เจ้านำทางไป" กาเว่นพยักหน้า
แอมเบอร์เอามือตบหน้าอก "ตราบที่ท่านลืมไปซะว่าข้าได้ลักลอบเข้ามาในสุสาน..."
เฮอร์ตี้จ้องมองเด็กสาวครึ่งเอล์ฟชั่วครู่ ก่อนจะยกไม้เท้าขึ้นและเดินไปยังทางเข้าสุสาน อย่างไรก็ตามกาเว่นกลับหยุดนางเอาไว้
"ท่านบรรพบุรุษ?" รีเบคก้าถามอย่างสงสัย
"ข้าต้องการอาวุธเช่นกัน" กาเว่นกล่าว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่วีรบุรุษตระกูลเซซิลตัวจริง แต่เขาก็ยังมีสมองคิดได้ว่าควรมีอะไรไว้ป้องกันตัวโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้
อัศวินคนหนึ่งปลดเข็มขัดและดาบที่เอวของเขายื่นให้กาเว่น แต่กาเว่นโบกมือปฏิเสธ จากความทรงจำเขาเดินไปที่โลงศพเหล็กสีดำและมุดหัวเข้าไปเพื่อหาบางอย่าง
เขาพบดาบหนักยาวสีดำทั้งเล่ม ยกเว้นใกล้ๆด้ามจับที่มีสีแดงจางๆเล็กนอย
วินาทีที่เขาถือดาบ ความรู้สึกอันคุ้นเคยก็ก่อตัวขึ้น ทุกมุมของด้ามดาบแนบสนิทเข้ากับฝ่ามือของเขา กาเว่นควงดาบไปรอบๆโดยสัญชาตญาน
เขารู้นี่เป็นความทรงจำที่เหลืออยู่บนกล้ามเนื้อของร่างนี้ แม้วิญญานจะต่างกันแต่ร่างกายยังคงจำอาวุธชิ้นนี้ได้
นอกจากนี้เขายังสามารถเข้าถึงความทรงจำในกาต่อสู้ การใช้อาวุธขั้นพื้นฐาน การขี่ม้า รวมถึงพลังที่ดูเหมือนสิ่งมหัศจรรย์สำหรับกาเว่น มันอดทำให้เขาตื่นเต้นไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะทดลองเท่าไรนัก
ก่อนอื่นเขาต้องจัดการกับสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
รีเบคก้าเบิกตากว้างเมื่อเห็นดาบยาวสีดำ เสียงของนางสั่นเล็กน้อย "นี่มันดาบแห่งผู้บุกเบิกในตำนาน!"
เฮอร์ตี้ที่เดินไปที่ทางออกเมื่อนางได้ยินก็หันมามองด้วยสายตาอันตื่นเต้นในทันที"ดาบแห่งผู้บุกเบิก?!"
"ตอนนี้มันก็เป็นแค่ดาบคมๆเท่านั้น" กาเว่นถอนหายใจ "อาวุธนี้อยู่มาเกินเจ็ดร้อยปีแล้ว แม้ดาบนี้จะได้รับการอวยพรจากเหล่าเอล์ฟไม่ให้สึกหรอหรือพังทลาย แต่เวทย์มนตร์ที่อยู่ภายในเหือดหายไปหมดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่จะรวบรวมพลังกลับมาได้ใหม่"
กาเว่นหันไปมองโลกศพอีกครั้ง มีแท่นหินเล็กๆอีกอันอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่มีอะไรวางอยู่บนนั้น กาเว่นขมวดคิ้วทันที "เดี๋ยวก่อน ข้ามีโล่ที่แทบจะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่รึ? ข้าไม่ได้นำมันฝังมาด้วยงั้นรึ? เกิดอะไรกับโล่ใหญ่ของข้า?"
เฮอร์ตี้แสดงสีหน้าอันเศร้าออกมาทันที "ท่านบรรพบุรุษ...พวกเราทำให้ท่านผิดหวังอีกแล้ว หนึ่งร้อยปีก่อนลูกหลานของท่าน กรัมแมน เซซิล ได้ขโมยโล่ผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักร แล้วได้สูญเสียมันไปในสนามรบ..."
แค่คิดเหงื่อก็ตกแล้ว บรรพบุรุษของพวกนางออกมาสู้กับปู่ของพวกนางเองมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือเกินจินตนาการไปมาก ในฐานะลูกหลานพวกนางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
โชคดีที่กาเว่นรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพาทุกคนออกไปจากสุสาน
หลังจากออกมาจากด้านในสุสาน รีเบคก้ามองไปรอบๆจากนั้นนางก็โบกมือไปยังมุมหนึ่งของกำแพง "เบ็ตตี้! ออกมาได้แล้ว! ปลอดภัยแล้ว!"
กาเว่นมองไปอย่างอยากรู้อยากเห็น เด็กสาวร่างเล็กกว่ารีเบคก้าเดินออกมาจากมุมมืด นางสวมชุดสาวใช้กระโปรงสั้นทำจากวัสดุหยาบๆ ใบหน้าของนางมีฝ้ากระเล็กน้อย ผมของนางผูไว้ด้วยโบว์ที่ทำจากผ้าลินิน ในมือของนางจับกระทะแน่น
เมื่อเห็นกาเว่น ใบหน้าของนางแสดงความหวาดหวั่นออกมาทันที ไม่ว่านางจะโง่หรือฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางเดาได้แน่นอนว่าอยู่ดีๆกาเว่นนั้นโผล่ออกมาจากที่ไหน...
"นี่เป็นคนรับใช้ของปราสาทเรา พวกเราไม่รู้ว่านางเหลือมาจากผู้อพยพกลุ่มแรกที่ฝ่าออกไปได้ยังไง นางจึงตามพวกเรามาที่นี่" รีเบคกาสรุปสั้นๆให้กาเว่นฟัง "เบ็ตตี้นี่..."
ทันใดนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กขึ้นจนพื้นดินสั่นสะเทือนขัดจังหวะการแนะนำของรีเบคก้า
"นี่ไม่ใช่เวลามาพูดคุย"กาเว่นยกดาบยาวขึ้นและมองไปที่แอมเบอร์"โปรดนำทางด้วย"