บทที่ 4 ตื่นขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
กาเว่นรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังฟื้นตัวอยางรวดเร็ว จิตใจแจ่มใสขึ้นและสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างลื่นไหล เขามีพลังงานพอที่จะหันไปสนใจเด็กสาวที่ถูกล้อมเอาไว้ "แล้ว...เกิดอะไรขึ้นที่นี่?"
เด็กสาวตัวเล็กพยายามขดตัวให้เล็กลงเผื่อคนตระกูลเซซิลจะลืมความจริงที่ว่านางมาขุดสุสานของพวกเขา อย่างไรก็ตามตอนนี้อยู่ดีๆกาเว่นก็หันมาให้ความสนใจกับนาง "ข้าแค่เข้ามาซ่อนตัวซักพักเท่านั้น ข้ากำลังจะไปจากที่นี่แล้ว..."
"หากเจ้าต้องการซ่อนก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาในสุสานนี้!" ดวงตาของเฮอร์ตี้เบิกกว้างขณะพูดกับกาเว่น "ท่านบรรพบุรุษนางคือพวกขโมยที่น่ารังเกียจ นางมารบกวนการพักผ่อนของท่าน!"
กาเว่นงงวยอยู่ครู่หนึ่ง "หรือก็คือเจ้าคือ...คนที่ปลุกข้าขึ้นมา"
"ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ตอนแรกข้าแค่หาที่ซ่อนตัว แต่ด้วยนิสัยเดิมของข้าทำให้ข้าเผลอเข้ามาด้านในลึกขึ้น แต่ข้าไม่ได้..."
กาเว่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างจริงจัง "ไม่ว่าในกรณีใด ข้าก็ขอบคุณเจ้า"
"...เอ๊ะ?"เด็กสาวหัวขโมยอ้าปากค้าง
"...หืม?" ทุกคนก็แปลกใจเช่นกัน
"แค่ก แค่ก ปล่อยนางไป มันดูไม่ดีที่ชายร่างโตเช่นพวกเจ้ามาล้อมเด็กสาวตัวเล็กๆไว้เช่นนี้" หลังจากกาเว่นขอบคุณ เขาตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างกล้าหาญอีกครั้ง "มันไม่ใช่การกระทำของอัศวินและไม่ใช่การกระทำที่กล้าหาญนัก"
ใบหน้าของเฮอร์ตี้แสดงความลังเลออกมา "แต่ท่านบรรพบุรุษนางเป็น..."
"ข้าอยากจะขอบคุณนางที่ช่วยปลุกข้าจากการหลับไหล" กาเว่นโบกมือแล้วพูดต่อ "ปล่อยนางไป ข้าไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ เจ้ามีปัญหางั้นหรือ?"
ไบรอนมอง'บรรพบุรุษตระกูลเซซิล'ด้วยสายตาแปลกๆ แต่สุดท้ายเขาก็เก็บดาบยาวของเขากลับไปเมื่อเห็นสายตาของเฮอร์ตี้ เขาและทหารทั้งสามคนถอยหลังกลับไปช้า
เด็กสาวครึ่งเอล์ฟลุกขึ้นช้าๆด้วยความระมัดระวังและยืนยันกับกาเว่นอีกครั้ง "ในเมื่อผู้อาวุโสได้พูดแล้ว อย่าคืนคำนะ!"
ดวงตาของเฮอร์ตี้กระตุก ด้วยการถูกอบรมด้านมารยาทมานานหลายปีทำให้นางอยากจับโจรตัวน้อยมาทุบตีให้รู้แล้วรู้รอด
กาเว่นมองไปที่เด็กสาวครึ่งเอล์ฟอย่าสงสัย ความทรงจำที่ได้รับมาทำให้เขาบอกได้ว่านางเป็นลูกครึ่งเอล์ฟ "เจ้าชื่ออะไร?"
เด็กสาวครึ่งเอล์ฟกระพริบตา "แอมเบอร์"
กาเว่นลูบคางเบาๆ "แอมเบอร์? ชื่อดูเหมือนป่าของพวกเอล์ฟ..."
ทันใดนั้นเฮอร์ตี้ได้ส่งเสียงขัดการพูดคุย "ต้องขอโทษด้วยท่านบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสมควรพูดคุยกัน ที่นี่ไม่ปลอดภัย!"
กาเว่นพยายามทำตัวให้สมบทบาทมองเฮอร์ตี้อย่างจริงจัง "เกิดอะไรขึ้นข้างนอก?"
"พวกอสูร!" รีเบคก้าที่เงียบไปสักพักพูดขึ้นมา "อสูรที่มาจากทางผ่านเซลลินและเหมือง! กองทัพและกองกำลังรักษาความปลอดภัยไม่สามารถสู้พวกมันได้ ข้าคิดว่าพวกมันคงยึดครองดินแดนข้างนอกไว้หมดแล้ว..."
"พวกเราพยายามต้านพวกมันอย่างเต็มที่แล้ว ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายสุดข้าได้สั่งให้อัศวินฟิลิปพาผู้คนหนีไปยังที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามก่อนที่หน่วยสนับสนุนจะเข้ามาช่วยเหลือ พวกอสูรได้ทำลายสะพานชัก" เฮอร์ตี้กล่าวเสริม "รีเบคก้าและข้าไม่ต้องการทำให้ชื่อเสียงตระกูลเซซิลหม่นหมอง ดังนั้นพวกเราและเหล่าทหารกล้าได้ต่อสู้อยู่ในปราสาทจนกระทั่งสุดท้ายประตู้ชั้นในสุดได้ถูกพังเข้ามา พวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอย"
กาเว่นถามคำถามเพิ่มเติมเล็กน้อยก่อนที่เขาจะประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเข้าด้วยกัน
ที่นี่คือดินแดนเก่าแก่ ดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลเซซิลที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษรุ่นแรก ส่วนเด็กสาวที่เหมือนเด็กมัธยมเป็นเจ้าของดินแดนนี้ในปัจจุบัน หลังจากพวกอสูรบุกโจมตีนางพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อต้านพวกมันเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว อสูรทำลายการป้องกันและสังหารมนุษย์ทั้งหมด หลังจากชาวบ้านกลุ่มแรกถูกอพยพออกไป รีเบคก้าในฐานะผู้นำดินแดนและทหารจำนวนหนึ่งติดอยู่ในปราสาท พวกนางต่อสู้กับอสูรเป็นเวลานาน สุดท้ายปราสาทก็แตกพ่าย พวกนางจึงต้องถอยลงมายังชั้นใต้ดิน สุสานบรรพบุรุษตระกูลเซซิล
จากนั้นพวกเขาก็พบกับการตื่นขึ้นอย่างฉับพลันของเขา...กาเว่น
และผู้หญิงที่ดูสูงส่งคือป้าของรีเบคก้า
สำหรับแอมเบอร์ เห็นได้ชัดเจนว่านางคือ...ขโมย ตอนแรกนางคงเข้ามาหลบจริงๆแต่ด้วยความสามารถหรือนิสัยของนางทำให้เดินทางมาถึงสุสานนี้ได้
"อาความวุ่นวายนี้..." กาเว่นถูหน้าผากด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาพยายามคนหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากความทรงจำ "อืม อสูรเหล่านี้ยึดครองพื้นที่ด้านนอกไปหมดแล้ว การออกไปตรงๆเท่ากับการไปหาความตาย พวกอสูรที่เจ้าพูดถึงเป็นแบบไหน?"
"ข้าคิดว่าพวกมันเป็นสายพันธ์ุรองของพวกปีศาจ" เฮอร์ตี้กล่าว "อย่างไรก็ตามปีศาจไม่ได้ปรากฎขึ้นบนโลกนี้เป็นเวลานานแล้ว สายพันธุ์ชั้นสูงกว่านี้ข้าเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน"
รีเบคก้ามองกาเว่นด้วยดวงตาแห่งความหวัง "ท่านบรรพบุรุษ ท่านสามารถจัดการอสูรด้านนอกด้วยพลังของท่านได้หรือไม่?"
"ข้า?" กาเว่นนิ่งไปครู่หนึ่ง
"ใช่แล้ว! ท่านไม่ได้เป็นอัศวินที่เก่งที่สุดของอาณาจักรและในดินแดนตอนเหนืองั้นหรือ?" ดวงตาของรีเบคก้าเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ "มีเรื่องราวว่าท่านสามารถตัดหัวพวกคนเถื่อนได้ด้วยการโจมตีเดียว..."
กาเว่นค้นในความรงจำของเขาอย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงมากเพื่อดูเหมือน กาเว่น เซซิล จะเป็นวีรบุรุษในตำนานจริงๆ!
เขาเป็นวีรบุรุษในยุกก่อตั้งอาณาจักรอันซุ และเป็นผู้เข้าร่วมคนแรกๆในยุค "การตั้งถิ่นฐานครั้งที่สอง"
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรกอนดอร์ ผู้คนที่เหลืออยู่ตกอยู่ในความวุ่นวายอารยธรรมของมนุษย์ค่อยๆหายไปเรียกได้ว่าเป็นยุคมืดของมนุษย์ กาเว่น เซซิล และกลุ่มผู้กล้าหาญได้นำมนุษย์ที่รอดชีวิตหนีจากอาณาจักรที่ล่มสลาย พวกเขาแยกกันไปสี่ทิศทาง กลุ่มที่มุ่งขึ้นเหนือเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอันซุ ซึ่ง กาเว่น เซซิล เป็นหนึ่งในนั้น
แม้ชีวิตของเขาจะสั้นแต่ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ยอดเยี่ยม เขาออกเดินทางในฐานะเด็กชายอายุแค่สิบสี่สิบห้าปีและกลายเป็นหนึ่งในอัศวินผู้บุกเบิกดินแดนที่อายุน้อยที่สุดร่วมกับราชาของอาณาจักรอันซุในตอนนั้น พวกเขาใช้เวลาสิบปีทางตอนเหนือของทวีปในการสร้างอาณาจักรใหม่และนำมนุษย์กลับคืนสู่ความสงบ หลังจากก่อตั้งอาณาจักรเขากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งราชาอาณาจักร เขาทำหน้าที่ปกป้องชายแดนตอนใต้ คอยต่อต้านการโจมตีของเหล่าปีศาจและไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว...
อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาเหมือนเทียนที่เผาผลาญอย่างรวดเร็ว เพราะเขามีอายุเพียงสามสิบห้าปีเท่านั้น ก่อนที่ เขาได้เสียชีวิตลง
ความทรงจำที่เขาได้รับมาสิ้นสุดลงเท่านั้น
เป็นตัวละครที่มีความกล้าหาญมาก
กาเว่นรู้สึกว่าหน้าผากของตัวเองกระตุกเล็กน้อย
เขาครอบครองร่างของบุคคลในตำนาน!
เขาไม่ได้กังวลหรือกลัว แต่เขา...ไม่มั่นใจ
รีเบคก้ามองดูเขาด้วยความหวัง แม้แต่แอมเบอร์หรือเฮอร์ตี้ก็ตาม
แต่คนที่พวกเขามองอยู่คือ กาเว่น ไม่ใช่ กาเว่น เซซิล
กาเว่นมองดูที่มือของตัวเอง มันเป็นมือของนักรบ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถรวบรวมพลังจากร่างนี้ได้มากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามเขากังวลไม่นานัก เพราะความทรงจำที่แท้จริงของเขานับได้ว่ามากมายกว่าแสนปี แม้มันอาจจะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่มันก็พอที่จะทำให้เขาปรับความคิดได้อย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเขาต้องแสดงความมั่นใจออกมา...
เพราะก่อนที่ตำนานของวีรบุรุษบนทวีปนี้จะเริ่มขึ้น ตัวเขาได้เฝ้ามองโลกใบนี้มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว!
เขาพบบางอย่างที่มีประโยชน์ในความทรงจำของกาเว่น เซซิล อย่างรวดเร็ว
"พวกเราไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยการสู้" กาเว่นถูคางพร้อมพูดออกมา "ข้าหลับมาเป็นเวลานาน ข้าไม่มั่นใจว่าจะดึงพลังออกมาได้แค่ไหน นอกจากนี้ข้าไม่รู้ว่าอสูรข้างนอกแข็งแกร่งแค่ไหนเช่นกัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือหลบหนีและหาที่ปลอดภัย"
"แต่สะพานชักออกไปนอกปราสาทถูกทำลายแล้ว รวมถึงถนนทั้งหมดถูกปิดตาย..."รีเบคก้ากล่าวขึ้นมา
กาเว่นโบกมือขัดหลานสาวรุ่นที่เท่าไรของเขาก็ไม่รู้ "ใต้ดินของดินแดนตระกูลเซซิลเคยเป็นส่วนของแนวป้องกันตอนใต้ของอาณาจักร มีเส้นทางอุโมงค์ลับที่ได้รับพรจากธาตุดิน มันจึงไม่พังทลายลง ต่อให้ผ่านไปนับพันปีก็ตาม ทางเข้าอุโมงค์ลับนั้นอยู่ด้านใต้ปราสาท"
"มีเรื่องแบบนั้นด้วยงั้นหรือ?!" รีเบคก้าประหลาดใจมาก "แล้วเราจะรออะไรอีก ท่านบรรพบุรุษโปรดนำทาง!"
"มีปัญหาอยู่" กาเว่นกางมือขัด "ข้ารู้ว่าจะไปที่นั่นได้ยังไงจากปราสาท แต่ข้าไม่รู้ทางไปจากสุสานนี่"
รีเบคก้าแปลกใจ "ท่านไม่รู้ทางหลังจากอยู่ที่นี่มานานงั้นหรือ?"
กาเว่น "..."
ไบรอนและอัศวินคนอื่นๆ "..."
ใบหน้าของเฮอร์ตี้ซีดขาว นางรู้สึกว่าลูกหลานที่น่าผิดหวังคนนี้จะทำให้ท่านบรรพบุรุษอยากกลับไปหลับไหลอีกครั้ง