บทที่ 3 ในที่สุดก็...ขยับได้!
หลังจากลุกขึ้นมาจากบางอย่างที่รูปร่างเหมือนกล่องเหล็กสีดำ กาเว่นตกอยู่ในความสับสนเป็นอย่างมาก แม้แต่การลุกขึ้นของเขาก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สมองของเขาราวกับกำลังจะระเบิด ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูเข้ามา เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานาน แสงสว่างทำให้ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีเทา อย่างไรก็ตามท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้ ความสามารถในการคิดของเขาก็ไม่ได้ถูกทำลาย
เขาอาจจะต้องขอบคุณคนที่โจมตีใส่มือเขาก่อนหน้านี้
มันเจ็บมากจริงๆ...
แต่มันก็ทำให้กระบวนการคิดของเขากลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด
ที่สำคัญที่สุดตอนนี้....
เขามีร่างกายแล้ว!
หลังจากผ่านไปสักพักเขาเริ่มคุ้นชินกับร่างกาย สายตาเริ่มกลับมาเป็นปกติ สภาพแวดล้อมรอบๆได้เข้ามาสู่สายตาของเขา
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือชายร่างกำยำในชุดเกราะสี่คนยืนอยู่รอบๆ หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนผมหงอกขาว เขาแต่งตัวในชุดเกราะเหล็กทนทาน ในมือถือดาบบเงินยาว ในทางกลับกันเกราะและอาวุธชายอีกสามดูเป็นของทั่วๆไปที่มีการผลิตจำนวนมาก
เด็กหญิงตัวเล็กกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น จากมุมนี้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ แต่เขาเห็นหูของนางแหลมยาวกว่าคนทั่วไป
ผู้หญิงอีกคนในชุดสีแดงยืนอยู่ไกลออกไป นางมีทรวดทรงราวกับนาฬิการทรายประกอบด้วยความสง่างามและสุขุม แต่ใบหน้าของนางนั้นกลับแสดงออกถึงความกลัวและวิตกกังวลอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามเสียงที่ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของเขาทันที เขาหันไปและเห็นเด็หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี กระโดดลงจากแท่นหินด้วยใบหน้าอันตื่นตระหนก ในมือของนางถือไม้เท้าโบราณที่น่าจะเป็นอาวุธที่เอามาใช้ตีมือของเขา....
"เมื่อกี้...เจ้าเป็นคนตีมือข้าใช่ไหม?"
หลังจากที่กาเว่นพูดเขาก็ตกตะลึงมาก เพราะภาษาที่เขาพูดออกมาไม่ใช่ภาษาจีนกลาง แต่เป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเขาดูเหมือนจะพูดมันได้คล่องแคล่ว
รีเบคก้าไม่รู้ความคิดของบรรพบุรุษนาง ใบหน้าของนางราวกับพร้มจะร้องไห้ออกมาทุกเมื่อ "ท่านบรรพบุรุษ ข้าขอโทษ ข้าข้อโทษจริงๆ..."
"เอ่อ..."จริงๆแล้วกาเว่นยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะแม้เขาจะเห็นโลกนี้มานานมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทุกอย่างในมุมที่ต่างออกไป เขาเองก็ตกตะลึงแทบไม่ต่างจากทุกคน "พวกเจ้าเป็นใคร..."
หญิงสาวที่ให้บรรยากาศสูงส่งดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ใจเย็นที่สุด หลังจากที่กาเว่นลุกนั่งแล้วถามขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ความกลัวของนางก็ค่อยๆลดลง นางค่อยๆก้าวไปข้างหน้าด้วยความระวัง "ท่านรู้ไหมว่าตัวเองคือใคร?"
"ข้า?" กาเว่นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ตอนแรกเขาจะพูดชื่อเดิมของตัวเองแต่เขานึกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดิมแล้ว
เขาก้มลงมองกล่องสี่เหลี่ยมที่เขานั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่ว่าจะมองยังไงก็น่าจะเป็น...โลงศพ
บวกกับท่าทีของคนที่ยืนอยู่รอบๆเขา กาเว่นพบเรื่องหนึ่ง เขาดูเหมือนศพที่พึ่งฟื้นมาจากความตาย
ถ้าเขาแนะนำตัวเองไม่เหมือนชื่อของ"ศพ"ที่พวกเขารู้จัก เขาคงถูกฆ่าตายราวกับเป็นสัตว์ประหลาดแน่นอน ก่อนหน้านี้เด็กหญิงคนนั้นเรียกเขาว่าอะไรนะ? ท่านบรรพบุรุษใช่ไหม? บางทีเขาคงเขาใช้ร่างบรรพบุรษของนางอยู่ ถ้าเขาถูกเปิดเผยตัวตนตอนนี้....คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ด้วยเหตุนี้กาเว่นแสร้งทำเป็นคิดเล็กน้อยทั้งที่ความจริงแล้วเขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังพยายามคิดอยู่นั้นคลื่นพลังแห่งความมึนงงก็ปะทะเข้ากับร่างของเขา
กาเว่นที่พึ่งได้ร่างกายใหม่หลังจากควบคุมมันได้ เขากลับกำลังจะเป็นลมและล้มลงไปในโลงศพอีกครั้ง
หญิงสาวสูงศักดิ์ยกเวทย์มนตร์ของนางขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของกาเว่น ถ้าไม่ใช่เสียงขัดจังหวะของกาเว่น หน้าของเขาคงถูกเวทย์เพลิงของนางเผาไปแล้ว
"กาเว่น เซซิล ข้าคือกาเว่นเซซิล หนึ่งในผู้ก่อตั้งอาณาจักรอันซุ ตอนนี้ปีที่เท่าไรแล้ว?"
ชื่อกาเว่นนั้นเหมือนกับนามสกุลของเขา "เกา" ในภาษาจีนเป็นอย่างมาก ต่างออกไปที่นามสกุลของเขาในตอนนี้คือ "เซซิล"
มันเป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ?
ตอนนี้กาเว่นไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ เพราะความทรงจำของ กาเว่น เซซิล กำลังไหลบ่าเข้ามาในหัวเขา เขาต้องเรียบเรียงพวกมันให้ดีเพื่อที่จะไม่แสดงสีหน้าผิดปกติออกไป
ขณะที่เขากำลังพยายอยู่นั้น เด็กสาวที่เอาไม้เท้าตีเขาก็พูดขึ้นมา "ตอนนี้คือปีที่ 753 ตามปฏิทิน ของอาณาจักรอันซุ ท่านหลับไปมากกว่า 700 ปีแล้ว..."
เฮอร์ตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบของกาเว่น ในฐานะปราชญ์เวทย์นางพอมีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตายอยู่บ้าง สิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายล้วนมีข้อบกพร่องในวิญญานของตัวเอง ช่วงที่ตื่นขึ้นมาพวกมันแทบจะไม่สามารถพูดหรือคิดอะไรได้ ถึงแม้พวกที่แข็งแกร่งจะสามารถพูดหรือคิดได้ แต่พวกมันก็ไม่มีความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้
หรือก็คือพวกเขาไม่สามารถบอกชื่อของตัวเองได้ หรือแม้พวกเขาจะได้รับความทรงจำในอดีตหรือมีคนบอก แต่ถ้าพวกเขาพูดชื่อพวกนั้นออกมา ดวงวิญญานที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกเปิดเผยและถูกไฟเผ้าไหม้จนสูญสิ้น
ความกังวลของเฮอร์ตี้ค่อยๆหายไปแทนที่ด้วยความสับสน เพราะนอกจากบรรพบุรุษของนางจะฟื้นกลับมาจากความตาย นางก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว
ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงฟื้นกลับคืนมา?
แม้นางจะสับสน แต่นางยังคงต้องประพฤติตัวให้เหมาะสม เฮอร์ตี้ก้าวไปด้านหน้าและก้มหัวด้วยความประหม่า "ท่านบรรพบุรุษแห่งตระกูลเซซิล ข้าเฮอร์ตี้ เซซิล เป็นลูกหลานของท่าน เด็กหญิงข้างๆข้ารีเบคก้า เซซิล เป็นลูกหลานของท่านเช่นกัน ด้วยอายุอันเยาว์ของนางได้โปรดอย่าถือโทษที่นางอาจจะประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับท่าน"
สรุปคือสองคนที่อยู่ด้านหน้าเขาคือ โคตรของโคตรของโคตร....ลูกหลานของเขา
ในที่สุุดความวุ่นวายในควาทรงจำของเขาก็หยุดลง กาเว่นไม่มีเวลาศึกษาพวกมันไปมากกว่านี้เพราะเขาต้องรับมือกับสถานการณ์รอบๆ เขาทำเสียงฮึดอัดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะดันหลังกับโลงศพเพื่อพยายามจะลุกขึ้น "ข้าไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าตื่นขึ้นมาได้ยังไง ใครก็ได้ช่วยข้าหน่อยได้ไหม?"
กาเว่นรู้สึกว่าประเมิณตัวเองสูงเกินไป แม้เขาจะสามารควบคุมร่างกายได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะปรับสภาพจนคุ้นชินกับร่างกายและลุกขึ้นยืนได้
รีเบคก้าที่จ้องมองเขาด้วยความกลัวในตอนแรกรู้ในทันทีว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จะเปล่งประกาย นางกระโดดขึ้นไปบนแท่นหินอีกครั้งและพยุงแขนข้างหนึ่งของกาเว่นทันที "ข้าจะช่วยท่านออกจากโลงศพเอง..."
ไม่ว่ากาเว่นจะฟังยังไง เขาก็คิดว่ามันดูแปลก ช่วยคนออกมาจากโลงศพ?
"มากกว่า 700 ปีแล้วสินะ เห้อ...." ในที่สุดกาเว่นก็ออกมาจากโลงศพได้
เขาปล่อยมือของรีเบคก้าและก้าวเดินไปข้างหน้าเล็กน้อย
เขาน้ำตาแทบไหล ถ้ามีไมโครโฟนมาจ่อหน้าเขาอยู่ตอนนี้ เขาคงจะพูดขอบคุณทุกคนอย่างไม่ลังเล
ความสำเร็จแรกหลังจากที่เขาต้องเดินทางผ่านช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร์...เดินตัวตรง
แต่หลังจากเขาดีใจกับความสำเร็จ เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งล้มลงอยู่ที่พื้นและถูกล้อมเอาไว้โดยเหล่าอัศวิน