บทที่ 124 ต่อสู้ภายใต้ความโกลาหล
ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตรจากเจดีย์ทองคำ ฝูงชนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาด้วยความเร็วสูง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความวุ่นวายภายใต้เจดีย์ทองคำ ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของหินวิญญาณเพลิงจะสามารถความโกลาหลไม่น้อย
ฟึ่บบ!
หน่วยสอดแนมผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาและคุกเข่าอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคน จากนั้นก็รายงาน “ฝ่าบาท, นายน้อยจ่างซุน ข้าน้อยขอรายงาน เมื่อครู่มีสมบัติสามชิ้นร่วงหล่นจากฟ้าและนำพามาซึ่งความโกลาหล ตอนนี้มีผู้คนอย่างน้อยหนึ่งพันคนที่กำลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้!”
“หืม?”
เจียงนี่หลิวและจ่างซุนอู๋จี้มองหน้ากันด้วยความสนใจ ในตอนแรกพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาเพื่อล่าสมบัติแต่มาเพื่อกำจัดเจียงอี้
หลังจากที่พวกเขาทราบข่าวว่าเจียงอี้ตายแล้วและซูรั่วเสวี่ยถูกจับตัวไว้ เจียงนี่หลิวก็ไม่แม้แต่จะพัก เขาส่งคำสั่งไปยังกลุ่มของกู้ซานเหอเพื่อที่จะเร่งการนัดพบให้เข้ามาเร็วยิ่งขึ้น
แต่ในตอนนี้ได้ปรากฏสมบัติจำนวนหนึ่งซึ่งทำให้คนหมู่มากเกิดความวุ่นวายและทำให้พวกเขาทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจสมบัติเหล่านั้น สมบัติทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขา แต่ถ้าหากเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์หรือระดับศักดิ์สิทธิ์ มันก็ควรค่าให้พวกเขาลงมือเพื่อแย่งชิงมันมา
เจียงนี่หลิวกวาดมองไปรอบๆและสังเกตเห็นว่าหน่วยองครักษ์เกราะโลหิตไม่ได้ถูกล่อลวง แต่มีเพียงแค่ศิษย์จากสำนักและลูกสมุนที่ติดตามมาจากตระกูลเท่านั้นที่แสดงความปรารถนาและความโลภออกมา จากนั้นเขาก็ออกคำสั่ง
“พวกเราทุกคนจะไปที่นั่นก่อน! ส่งข้อความไปหากู้ซานเหอให้เขานำคนไปพบกับพวกเราที่นั่น ข้าอยากจะดูสิว่าสมบัติประเภทใดถึงทำให้คนจำนวนมากต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน!”
“เดินทาง!”
จ่างซุนอู๋จี้เองก็รู้สึกคาดหวังเช่นกัน เขาส่งสัญญาณมือเพื่อให้คนจากตระกูลจ่างซุนมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของสมบัติ
……
“ฮู้วว สุดท้ายแล้ว!”
ภายในสุสานราชันสวรรค์ เจียงอี้จ้องมองไปยังกลุ่มขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกปวดใจอย่างมากที่ต้องใช้เศษหินวิญญาณเพลิงไปถึงยี่สิบชิ้น
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมมัน เศษหินเหล่านี้เป็นวัตถุชั้นยอดอย่างแท้จริง แม้แต่พื้นของสุสานราชันสวรรค์มันก็สามารถหลอมละลายได้อย่างง่ายดายราวกับเต้าหู้
หินวิญญาณเพลิงมีจำนวนทั้งหมดหกสิบชิ้นซึ่งเท่ากับว่าถูกใช้ไปแล้วถึงหนึ่งในสาม!
“โอ้ ใช่แล้ว!”
จู่ๆเจียงอี้ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาหรี่ลงคล้ายกับจันทร์เสี้ยวซึ่งส่อให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ หากว่าหินวิญญาณเพลิงสามารถหลอมละลายพื้นที่มีข้อจำกัดได้ แล้วสมบัติพวกนั้นล่ะ? หากเขาได้สมบัติที่ช่วยในการเหาะเหินมา ไม่ใช่ว่าเขาจะลงจากเจดีย์ทองคำได้อย่างปลอดภัยหรือ?
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เจียงอี้ก็รีบกวาดมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้นและค้นหาสมบัติที่ช่วยในการบินเฉกเช่นเดียวกับรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณของเจียงนี่หลิว
อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนี้ได้เก็บรวบรวมสมบัติมากกว่าร้อยชิ้น แต่ไม่มีสักชิ้นเดียวที่คล้ายคลึงกับรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เจียงนี่หลิวครอบครองอยู่ เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ประเภทอาวุธ
แต่หลังจากที่ค้นหาอย่างละเอียด ในที่สุดเจียงอี้ก็พบกับเรือหยกลำหนึ่งที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงด้านซ้าย
เรือหยกลำนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งดูแล้วจะมีพื้นที่เพียงพอแค่สำหรับหนึ่งคนเท่านั้น ทั่วทั้งลำทำมาจากหยกขาวที่ส่องประกายและโปร่งแสง จากสมบัตินับร้อยชิ้น ดูเหมือนจะมีแค่มันเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการบิน
“จะใช้หินวิญญาณเพลิงกับเจ้านี่ยังไงดี?”
เจียงอี้รู้สึกหวาดวิตก เขาไม่กล้าใช้มือสัมผัสกับวัตถุที่ร้อนแรงอย่างหินวิญญาณเพลิง ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาทำเพียงแค่ปล่อยให้มันร่วงหล่นไปตามแรงโน้มถ่วงของธรรมชาติ
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองดูก่อน!”
เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่เจียงอี้จะตายหากกระโดดลงไปจากความสูงระดับนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับไข่มุกวิญญาณเพลิง หากมันสามารถถ่ายโอนพลังอันลึกลับมาให้เขาได้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวหินวิญญาณเพลิงแต่อย่างใด
ในทางทฤษฎีแล้ว… เจียงอี้ก็ควรที่จะสามารถสัมผัสหินวิญญาณเพลิงได้โดยตรง
ฟุบบ!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องแสง พริบตาเดียวหินวิญญาณเพลิงชิ้นหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา เจียงอี้เพ่งจิตและยื่นนิ้วเข้าหาหินวิญญาณเพลิงก่อนที่จะชักกลับด้วยความเร็วสูง
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!”
เมื่อนิ้วของเขาสัมผัสกับหินวิญญาณเพลิง เขาก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนแต่อย่างใดราวกับว่ามีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปจับหินวิญญาณเพลิง สัมผัสที่เขาได้รับก็ไม่ต่างอะไรไปจากการถือหินธรรมดา
ฟิ้ววว!
เจียงอี้เขวี้ยงหินวิญญาณเพลิงใส่เรือหยก ทันใดนั้นมันก็ระเบิดเปลวไฟที่เขียวออกมาซึ่งทำให้ดวงตาของเจียงอี้ส่องสว่างราวกับดวงดาว
ตู้มมม!
ทันทีที่หินวิญญาณเพลิงสัมผัสกับเรือหยก เรือหยกลำนั้นก็หล่นลงมาและกระแทกกับพื้นอย่างจัง
“สำเร็จ!!”
ใบหน้าของเจียงอี้แขวนไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความตื่นเต้น แต่พริบตาเดียว รอยยิ้มดังกล่าวก็จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด
นั่นก็เป็นเพราะเขาพบว่าบนเรือหยกมีรูที่เกิดจากการเผาไหม้ซึ่งยังคงคุกรุ่น หินวิญญาณเพลิงทะลุเข้าไปอีกด้านและฝังเข้าไปในกำแพง
“เวรเอ้ย!”
เจียงอี้เกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดด้วยความคับแค้นใจ ไม่ใช่ว่ามันอาจจะเป็นสมบัติระดับวิญญาณ, สวรรค์หรือศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? ทำไมถึงเสียหายง่ายนักเล่า?!
เขาเดินเข้ามาหาเรือหยกด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวและลองถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไป แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ดูเหมือนว่ามันจะพังเพราะหินวิญญาณเพลิงเสียแล้ว
“จะทำยังไงดี?”
เจียงอี้รู้สึกเสียใจ แต่ก็จนปัญญาที่จะแก้ไขอะไรได้ หากเขาไม่ใช้หินวิญญาณเพลิง มันก็ไม่มีทางเลยที่จะทำลายข้อจำกัดของสถานที่แห่งนี้ได้ แต่เมื่อเขาใช้มันแล้ว เขากลับพบว่าตัวเองได้ประมาทพลังของหินวิญญาณเพลิงมากไปเกินจึงเป็นเหตุให้สมบัติถูกทำลาย!
เมื่อเป็นประจักษ์พยานแล้วว่าหินวิญญาณเพลิงมีค่าเพียงใดเจียงอี้ก็ไม่กล้าใช้มันด้วยความฟุ่มเฟือยอีก สุดท้ายเขาก็ทำเพียงมองไปยังรูบนพื้นด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า
“ช่างหัวมัน! ที่นี่เองก็มีพลังวิญญาณที่หนาแน่นไม่เลว มันคงช่วยส่งเสริมให้ข้าทะลวงไปถึงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดได้ในเวลาสั้นๆ หากไม่มีทางเลือกอื่น ข้าก็จำเป็นต้องกระโดดลงไปและปล่อยให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสินชีวิตข้า!”
ในเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว เจียงอี้ก็เริ่มทำการบ่มเพาะพลัง เขาดูดซับเม็ดยาระดับพิภพและสกัดกลั่นแก่นแท้พลังสีดำก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงสมาธิ
ก่อนหน้านี้เจียงอี้ได้อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกอยู่แล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยให้สภาพแวดล้อมอันดีงามเช่นนี้ต้องสูญเปล่า หากสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้ นั่นก็หมายความว่าอันตราการรอดชีวิตของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ปังง!
เพียงเวลาแค่สี่ชั่วโมง เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดได้แล้ว!
“ถึงเวลาแล้ว! หากข้าได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้ง ข้าสัญญาเลยว่าจะกวาดสมบัติที่อยู่ที่นี่ออกไปให้หมด!”
เจียงอี้กวาดมองไปทั่วทั้งห้องโถงด้วยความอาลัยอาวรณ์และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถนำติดไม้ติดมือกลับไปได้อีก จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังปากหลุม
หากให้ประมาณระยะทางจากที่นี่จนถึงพื้นอย่างคร่าวๆ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามพันเมตร แต่เดิมความทนทานด้านร่างกายของเจียงอี้ก็ไม่ถือว่าเป็นจุดเด่นอยู่แล้ว วิธีที่จะทำให้เขามีโอกาสรอดมากที่สุดคือการปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ก่อนที่ตัวเขาจะกระแทกกับพื้น
แต่ปัญหาก็คือ… แม้แต่ตัวเจียงอี้เองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดจากพลังทำลายล้างของฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ของตัวเองได้หรือไม่?
วี๊ดดดด!
แต่ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะกระโดดลงไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียเล็กแหลมของบางสิ่งที่กำลังปะทะกับกระแสลม จากนั้นเขาก็มองเห็นจุดสีดำอันพร่ามัวจากระยะไกล
“แก่นแท้พลังสีดำ!”
แก่นแท้พลังสีดำถูกลำเลียงไปยังดวงตาซึ่งทำให้เจียงอี้เพ่งมองวัตถุดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและเต็มไปด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น
“รถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณ? เจียงนี่หลิว!!”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ด้านล่างจะเป็นรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศและมันจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากไอ้ตัวบัดซบเจียงนี่หลิว!
“สวรรค์ประทานโอกาสให้ข้าแล้ว!”
ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายความชั่วร้ายพร้อมทั้งผุดแผนการอันยอดเยี่ยมขึ้นมาในหัว เขามุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงและนำเรือหยกที่พังแล้วออกมา จากนั้นก็ไต่ลงไปตรงปากหลุมพร้อมกับใช้ขาหนีบเรือหยกไว้
ฟิ้ววว!
ร่างของเจียงอี้ไหล่ลงไปตามรู ทันใดนั้นเขาก็ใช้มือคว้าไปยังผนังด้านข้างเพื่อทำการยึดเกาะ ในขณะนี้ร่างของเขาติดอยู่ที่ปากทางออกของรูที่เกิดจากการเผาไหม้ของหินวิญญาณเพลิงและใช้ขายึดเรือหยกไว้ในเวลาเดียวกัน
เขาต้องการที่จะล่อปลาโดยใช้เรือหยกเป็นเหยื่อ สำหรับปลานั้น… แน่นอนว่ามันต้องเป็นเจียงนี่หลิว!
เมื่อใดที่เจียงนี่หลิวถูกดึงดูดและชักนำรถม้าสงครามเข้ามาใกล้ เจียงอี้ก็จะเข้าตะครุบเหยื่อโดยการกระโจนเข้าไปในรถม้าในทันที!