ตอนที่ 9 เมืองอี๋ซือยามค่ำคืน (2)
บอสของดันเจี้ยนเมืองอี๋ซือยามค่ำคืนชื่อว่าอีน็อค เขาเป็นหัวหน้าของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในดันเจี้ยนนี้
อ้างอิงจากเนื้อเรื่องของเกมมิราเคิล เขาเคยเป็นผู้คุ้มกันเผ่ามนุษย์ที่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองอี๋ซือ ภายหลังถูกเวทมนตร์ดำทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ และกลายเป็นผู้บงการกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ที่นี่คอยเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์
ไป๋เซวียนลากเม้าส์ไปชี้ที่ตำแหน่งเหนือหัวของบอสเพื่อดูคุณสมบัติของมัน ก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่เห็นแถบเลือดของเขา แต่ว่าบอสเผ่ามนุษย์เลเวล10ไม่น่าจะยากใช่ไหม?”
กู่สือหมิงตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินอีกเสียงหนึ่งเข้ามาในหูฟัง แต่เขาก็รีบตอบคำถามของไป๋เซวียนในทันที
หากน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมาของหลี่ชางอวี๋จะทำให้ผู้คนรู้สึกเคารพและทำตามแล้วล่ะก็ น้ำเสียงอ่อนนุ่มของไป๋เซวียนก็ทำให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคย และสนิทสนมได้ง่าย ทั้งสองคนเป็นเหมือนสิ่งที่คู่กันทั้งมุ่งมั่นและเรียบง่าย อ่อนโยนและเป็นมิตร พวกเขามีบรรยากาศที่เข้ากันได้อย่างดีในฐานะของกัปตันและรองกัปตันทีม
กู่สือหมิงคิดว่าจะดึงดูดความสนใจของบอสให้ออกห่างจากไป๋เซวียนยังไงดีในขณะที่ได้ยินเสียงของหลี่ชางอวี๋ผ่านเข้ามาจากช่องสนทนา “ฉันไม่ได้ลงดันเจี้ยนของมิราเคิลมาหลายปีแล้ว จำสกิลของบอสไม่ได้ด้วยซ้ำ นายจำได้บ้างไหม?”
กู่สือหมิงตอบกลับอย่างสดใส “จำได้ครับ! ผมเพิ่งจะเล่นบัญชีรองมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง บอสตัวนี้มีสกิลพิเศษ และสกิลโจมตีหมู่อยู่ สกิลพิเศษก็คือผนึกผู้เล่นเป้าหมายเป็นเวลา 3 วินาที แล้วจะโจมตีแบบติดคริติคอลในตอนท้ายด้วย ส่วนสกิลโจมตีหมู่จะทำการโจมตีไปด้านหน้า 120 องศา”
พอหลี่ชางอวี๋ได้ฟังแล้ว เขาจึงก้มหน้าลงและคิดอย่างระมัดระวัง “สกิลสองอย่างนี้ค่อนข้างจะจัดการได้ง่าย เสี่ยวกู่นายดึงบอส ส่วนเสี่ยวไป๋คอยดูเลือดเขา”
ไป๋เซวียนมองชายหนุ่ม “นายไม่เรียกฉันว่าเสี่ยวไป๋ได้ไหม? ชื่อไม่น่าฟังเอาซะเลย”
หลี่ชางอวี๋หัวเราะ “ถ้างั้นฉันเรียกนายว่าไป๋ใหญ่ดีไหม?”
ไป๋เซวียนจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ฉันจะเรียกนายว่าแคทใหญ่ดีไหมล่ะ?” (เสี่ยวแปลว่า เล็ก/น้อย)
“...” ผลลัพธ์ของการไม่มีฮีลเลอร์นั้นค่อนข้างสาหัส ดังนั้นหลี่ชางอวี๋จึงพยายามไม่ไปกวนโมโหอีกฝ่าย เขายิ้มพร้อมกับตบบ่าไป๋เซวียน “ฉันจะไม่เรียกว่านายเสี่ยวไป๋แล้ว ฉันจะเรียกนายว่าเทพฮีลแทน เพราะนายเป็นฮีลเลอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ”
หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปกะทันหันในตอนที่สถานการณ์ไปในทิศทางไม่ดี ไป๋เซวียนก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เขาร่ายสกิลบัพซึ่งทำให้อีกฝ่ายได้รับผลจากการฮีลมาขึ้นแก่กู่สือหมิงอย่างไม่มีทางเลือก พร้อมกับพูดว่า “โอเค รีบลงให้จบๆกันเถอะ”
กู่สือหมิงยกโล่ของไนท์ขึ้น และมุ่งตรงไปหาบอส เขาคลิกเพื่อคุยกับบอส ชื่อบนหัวของบอสเปลี่ยนเป็นสีแดงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
พอดึงดูดความสนใจจากบอสได้แล้ว กู่สือหมิงก็รีบดึงบอสออกไปโดยที่ให้บอสหันหลังให้กับอีกสองคนที่เหลือ การทำแบบนี้จะทำให้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะโดนโจมตีหากบอสปล่อยสกิลโจมตีหมู่วงกว้างรูปใบพัดออกมา สองคนด้านหลังจากไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เทคนิคการดึงบอสของกู่สือหมิงดีมาก เขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ภายในเวลา3วินาที
หลี่ชางอวี๋รอจนกว่าสถานการณ์จะมั่นคงแล้ว ก่อนจะเริ่มทำการโจมตีโดยการอัญเชิญภูติไฟออกมา และโยนไฟร์บอลใส่บอสอย่างรวดเร็ว
ไฟร์บอลเป็นสกิลโจมตีพื้นฐานของภูติไฟ สกิลนี้จะต้องให้ผู้ควบคุมเป็นกดเพื่อปล่อยสกิลออกมา
มือของหลี่ชางอวี๋เร็วมาก เขากดคีย์บอร์ดทันทีที่สกิลวนกลับมาใช้งานใหม่ได้ โดยที่กระทั่ง 0.1 วินาทีก็ไม่เสียไป
จากมุมมองของกู่สือหมิง เขาเห็นลูกไฟดวงเล็กๆบินเข้ามาหาบอสดวงแล้วดวงเล่าอย่างแม่นยำด้วยความเร็วสูง มันสวยงามราวกับดอกไม้ไฟ ทำให้ท้องฟ้ามืดสลัวของดันเจี้ยนสว่างสไวขึ้น
เทคนิคของแคทก็อดดีจริงๆ!
กู่สือหมิงตื่นตะลึงในขณะที่บอสทำการโจมตีธรรมดาใส่ ทำให้เลือกของเขาลดลงอย่างมากในทันที
โชคดีที่เทคนิคการเพิ่มเลือดของไป๋เสวียนดีมาก เขาใช้สกิลฮีลระดับต่ำไปพร้อมๆกับสกิลสถานะที่จะทำการฟื้นฟูเลือดตามช่วงระยะเวลา แม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้กับบอสด้วยคนแค่สามคน แต่เลือดของกู่สือหมิงถูกไป๋เซวียนคงเอาไว้ที่60%
นี่เป็นการร่วมมือครั้งแรกของสามคน แต่พวกเขาเข้าใจกันและกันทำให้เลือดบอสลดเหลือ 80%แล้ว
ในตอนนั้นเอง จู่ๆบอสก็สะบัดมือขึ้นพร้อมกับที่แสงสีขาวสว่างวาบเป็นมุม120องศาปรากฏขึ้น เสียงระเบิดดังขึ้น และแถบเลือดของกู่สือหมิงกระพริบเตือนสีแดงทันที!
สกิลโจมตีหมู่ของบอสร้ายกาจมาก มันลดเลือดของแท้งค์หลักลงเกือบ60% เลยทีเดียว
หากจินตนาการว่าตัวทำดาเมจที่แสนเปราะบางยืนอยู่ตรงหน้าบอสล่ะก็ พวกเขาคงร่วงกันหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ไป๋เซวียนเห็นเลือดของกู่สือหมิงใกล้จะหมดลงแล้ว เขาระเบิดความเร็วมือออกมาเพื่อเพิ่มเลือดอย่างรวดเร็ว
ฮีลเลอร์เลเวล12 มีแค่สกิลฮีลหลักหนึ่งสกิล และสกิลฟื้นเลือด(ตามระยะเวลา)อีกหนึ่งสกิลเท่านั้น เขาทำได้เพียงฟื้นเลือดด้วยวิธีที่รวดเร็ว และเรียบง่ายที่สุดเท่านั้น โชคดีที่ไป๋เซวียนตอบสนองได้เร็วในช่วงเวลาที่คับขัน เขารีบฟื้นฟูให้เลือดของกู่สือหมิงกลับเข้าเขตปลอดภัยทันที
แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงเมื่อจู่ ๆก็มีตัวหนังสือคำพูดลอยขึ้นมาเหนือหัวบอสพร้อมกับเสียงคำรามดังขึ้น [ชอบกินปลาตุ๋น แกกล้าฆ่าลูกน้องของฉัน!]
เสียงคำรามดังลั่นสะเทือนไปทั่วพื้นเกือบทำให้แก้วหูของทั้งสามคนเสียหาย
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบอสกำลังจะใช้สกิลพิเศษ
แน่นอนว่าหลังจากที่บอสพูดจบ แสงสว่างสีเงินก็ปรากฏขึ้นบนซัมมอนเนอร์ที่ชื่อว่า “ชอบกินปลาตุ๋น”
จากที่กู่สือหมิงพูดมา ผลสถานะของแสงนี้จะปิดผนึกผู้เล่นเป็นเวลา3วินาที ภายใน3วินาทีนี้หลี่ชางอวี๋ไม่สามารถทำอะไรได้เลย และหลังจากที่3วินาทีนี้หมดลง บอสก็จะสร้างความเสียหายแบบติดคริติคอลให้กับผู้เล่นคนนั้นๆด้วย
ไป๋เซวียนรีบมองแถบเลือดของชอบกินปลาตุ๋นทันที เนื่องจากพวกเขายืนอยู่ด้านหลังบอส ทำให้ไม่โดนสกิลโจมตีหมู่ของบอส เลือดของชอบกินปลาตุ๋นยังเต็มหลอดอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม พลังป้องกันของซัมมอนเนอร์มีน้อยมาก แม้ว่าเขาจะเลือดเต็มอยู่ก็ตาม แต่เขาอาจจะไม่รอดหากถูกบอสโจมตีแบบคริติคอล
ชายหนุ่มกำลังจะเปิดปากบอกเสี่ยวกู่ให้ใช้สกิลเพิ่มโล่ แต่เขายังไม่ทันได้พูดออกไป กู่สือหมิงก็ใช้สกิล “พลังแห่งการปกป้อง” ของไนท์ให้กับซัมมอนเนอร์อย่างชาญฉลาด สกิลนี้ของไนท์จะทำการเพิ่มค่าพลังป้องกันของเป้าหมาย 800% เป็นเวลา 8 วินาที ด้วยโล่ที่แข็งแกร่งนี้ ซัมมอนเนอร์ที่แสนเปราะบางจะสามารถรอดพ้นจากการโจมตีติดคริติคอลของบอสได้อย่างแน่นอน
ไป๋เซวียนอดชื่นชมการตอบสนองของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้
ยิ่งเขานึกไปถึงแท้งหลักในทีมชางหลันที่เพิ่งยุบไป เขาก็อดรู้สึกขมขื่นไม่ได้ ถ้าคนคนนั้นอยู่ที่นี่ เขาคงไม่มีทางตอบสนองได้ไวเท่านี้แน่ๆ การประสานงานของเพื่อนร่วมทีมสำคัญกว่านิสัยใจคอจริงๆ การโจมตีของหลี่ชางอวี๋รุนแรงมากก็จริง แต่เขาก็ต้องการการปกป้องจากสมาชิกในทีมด้วยเช่นกัน
หลี่ชางอวี๋รู้สึกดีใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าด้านหน้าตัวละครของตนเองมีโล่โผล่ขึ้นมา ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มของหลิวฉวนจะไม่ธรรมดาเลย
***
ต้องขอบคุณการร่วมมืออย่างดีของทั้งสามคน การเผชิญหน้ากับบอสจึงเป็นไปได้อย่างราบลื่น
กู่สือหมิงยังเป็นเด็กก็จริง แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาดีมาก การฮีลของไป๋เซวียนเชื่อมั่นได้ และความเร็วในการโจมตีของหลี่ชางอวี๋ก็สเถียรมาก ทั้งสามใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการฆ่าบอสตัวนี้!
[ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นชอบกินปลาตุ๋น ชอบกินหมูสองไฟ และชื่อตามคำแนะนำที่ประสบความสำเร็จในการ “ฆ่าอีน็อค”]
หลังจากที่ข้อความของระบบเด้งขึ้นมา ค่าประสบการณ์ของทั้งสามคนก็พุ่งพรวด พร้อมกับแสงสีขาวที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเลเวลอัพ พวกเขาเลเวล13แล้ว
กู่สือหมิงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฆ่าบอสตัวหนึ่งพอๆกับฆ่ามอนสเตอร์5รอบเลย ค่าประสบการณ์ดีมาก! แต่ฆ่าบอสแค่สามคนมาช้าเกินไปก็เท่านั้น พวกเรามีแค่แคทก็อดที่เป็นดาเมจ”
“แคทก็อดคนเดียวก็สร้างดาเมจได้เท่ากับผู้เล่นสองคนเลยนะ” ไป๋เซวียนยิ้มและเอ่ยชม “ใช่ไหมแคทก็อด?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลี่ชางอวี๋ไม่ถ่อมตัวกับคำชื่นชมอยู่แล้ว และเปิดอกยอมรับอย่างเต็มที่ เขาเดินไปที่ตัวบอส ก่อนจะมองดูของที่ดรอปอยู่บนพื้น “มาดูของกันก่อนดีกว่า”
หน้าจอแสดงของรางวัลที่ได้รับจากการฆ่าบอส -เครื่องสวมใส่สีน้ำเงินสามชิ้น
เครื่องสวมใส่ของเกมมิราเคิลจากต่ำไปสูงมีดังนี้ สีขาว สีน้ำเงิน สีม่วง และสีทองตามลำดับ เครื่องสวมใส่สีทองจะต้องทำเองด้วยวัตถุดิบหายากหลายชนิด เครื่องสวมใส่สีม่วงจะดรอปจากบอสในดันเจี้ยนสำหรับ30คนระดับยาก หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนกับแต้มในอารีน่า ดันเจี้ยนสำหรับหกคนจะดรอปเครื่องสวมใส่สีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติธรรมดาๆเท่านั้น ในขณะที่เครื่องสวมใส่สวยๆที่ขายในร้านค้านั้นเป็นสีขาวและไม่มีคุณสมบัติใดๆ
คุณสมบัติของเครื่องสวมใส่สีน้ำเงินค่อนข้างธรรมดา แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับต้นเกม
ครั้งนี้บอสดันเจี้ยนดรอปเครื่องสวมใส่สีน้ำเงินสามชิ้นคือ รองเท้าสำหรับฮีลเลอร์ และเสื้อผ้าที่ให้ค่าป้องกันเวทมนตร์ หลี่ชางอวี๋ให้ไอเทมเหล่านั้นกับไป๋เซวียน และยังมีหมวกที่เหมาะสำหรับไนท์ด้วยซึ่งเขาก็เอาให้เสี่ยวกู่ไป
ชายหนุ่มไม่ได้เก็บอะไรไว้ให้ตัวเอง
ยังไงซะ เขาก็มีไป๋เซวียนคอยช่วยเหลืออยู่ และไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสวมใส่ที่มีค่าป้องกันใดๆ
เขาทำเช่นนี้เมื่อมีพ่อนมขั้นเทพคนนี้อยู่ด้วย
***
พวกเขาลงดันเจี้ยน5ครั้ง และบอสก็ดรอปของสวมใส่สามชิ้นทุกครั้ง ทั้งสามคนต่างก็สะสมเครื่องสวมใส่สีน้ำเงินเอาไว้ ทำให้สู้กับบอสง่ายขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เกือบถึงเวลาเวลาเที่ยงวันแล้ว ทั้งสามเก็บเลเวลมาจนถึง15 จากนั้นหลี่ชางอวี๋ก็รู้สึกถึงปัญหาบางอย่าง และถามขึ้น “เสี่ยวกู่ ที่จีนน่าจะเที่ยงคืนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
กู่สือหมิงมองดูนาฬิกาที่ด้านขวาล่างในหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเองและพบว่าเวลาล่วงเลยมาถึง 23.45น. โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย
แต่เมื่อดูจากคำถามของแคทก็อดแล้ว เขาอยู่ต่างประเทศงั้นเหรอ?
กู่สือหมิงสงสัย “กัปตัน ตอนนี้เวลา 23.45น.แล้ว คุณไม่ได้อยู่บ้านงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันอยู่ที่สหรัฐกับไป๋เซวียน ตอนนี้เที่ยงแล้ว” หลี่ชางอวี๋ถามต่อ “นายไปนอนก่อนไหม?”
กู่สือหมิงตอบกลับไป “ไม่เป็นไรครับ บอสบอกว่าการฝึกของผมให้กัปตันจัดการ ผมสามารถเล่นตอนกลางคืนกับคุณ แล้วหลับตอนกลางวันได้”
หลี่ชางอวี๋คิดสักพัก และรู้สึกว่าเด็กอายุ17ปีไม่ควรจะอยู่ดึก เพราะมันจะส่งผลต่อสุขภาพ จากการสังเกตภายในดันเจี้ยน เขาพบว่าพื้นฐานของกู่สือหมิงดีมาก ค่ายฝึกฝนของดราก้อนซองมีโปรแกรมฝึกซ้อมอยู่แล้ว และผู้เล่นก็ไม่ได้แย่ด้วย
เสี่ยวกู่ก้าวเข้ามาเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ครึ่งทางแล้ว การเคลียร์ดันเจี้ยนไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา การจะฝึกซ้อมไหวพริบของเด็กหนุ่ม เขาจำเป็นจะต้องไปใช้พื้นที่ในอารีน่าเมื่อตัวละครเลเวลตันแล้ว และต่อสู้กับอาชีพอื่นๆ
หลี่ชางอวี๋คิดแล้วถึงค่อยพูดออกไป “เวลาที่ฉันกับไป๋เซวียนเล่นยังไม่แน่นอน นายสามารถทำตามแผนการของดราก้อนซองไปได้เลย หลังจากนั้นค่อยมาหาฉันหลังจากที่นายออนไลน์แล้ว ถ้าพวกเรายังไม่ออนไลน์ นายก็ดูวิดิโอจากลีกมืออาชีพของมิราเคิลไปก่อน”
กู่สือหมิงประท้วง “กัปตัน ผมยังอยากเล่นกับคุณ...”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฟังดูน่าสงสารเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้ง
หลี่ชางอวี๋พูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ที่นี่เที่ยงแล้ว และฉันจะเข้านอนตอน 5 ทุ่ม นายอยากจะอยู่กับพวกเราจนกระทั่ง 11 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้เลยเหรอ?”
กู่สือหมิงส่งเสียงขึ้นมา “ไม่มีปัญหาครับ! ผมหลับมาเมื่อกลางวันนี้ แล้วก็ยังมีพลังเต็มเปี่ยม ไม่มีทางง่วงแน่นอนแม้ว่าจะต้องเล่นจนถึง11โมงเช้าของวันพรุ่งนี้!”
หลี่ชางอวี๋ “...”
ไม่แปลกใจเลยที่หลิวฉวนพูดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเจ้าคลั่งน้อย เด็กหนุ่มมีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยมจริงๆ!
ไป๋เซวียนพูดขึ้นอย่างประนีประนอม “ถ้านายไม่ชอบแบบนั้นก็เอาแบบนี้เป็นไง? เสี่ยวกู่จะไปนอนตอนตี1 และจากนั้นก็ตื่นเช้ามาเก็บเลเวลกับพวกเราต่อ หลังจากที่พวกเรานอนไปแล้ว นายค่อยเก็บเลเวลของตัวเอง หรือไม่ก็ดูวิดิโอ”
หลี่ชางอวี๋เห็นด้วยกับคำพูดของไป๋เซวียน เขาไม่คิดจะคัดค้านอะไรอีก และพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันอนุญาตให้นายเล่นต่อได้อีกหนึ่งชั่วโมง”
หลี่ชางอวี๋รู้สึกว่าเด็กอายุ17ปีคนนี้เป็นเหมือนลูกชาย และยังเป็นห่วงกระทั่งเวลาพักผ่อนของเขาด้วย!
กู่สือหมิงฟังกัปตันของเขา และไม่ดึงดันจะอยู่ดึกอีกต่อไป “ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ก่อนนะครับ ขอสองนาที!”
หน้าตาของเด็กหนุ่มหมองลง อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มานานเกินไป
หลี่ชางอวี๋หันหลังกลับไป ก่อนจะถามขึ้นมา “นายคิดว่ายังไงบ้าง?”
ทั้งสองคนเป็นคู่หูกันมาหลายปีแล้ว ไป๋เซวียนเข้าใจได้ทันทีว่าชายหนุ่มกำลังถามอะไร “เขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดี และมีพื้นฐานแน่น ศักยภาพของเขาก็ดีมากๆ เสี่ยวกู่ยังเด็กเกินไป และจิตใจของเขายังต้องถูกเคี่ยวเข็ญให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่สามารถแบกรับความกดดันของแนวหน้าในตอนต่อสู้กับทีมที่แข็งแกร่งได้”
“ใช่เลย” หลี่ชางอวี๋พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี และจะต้องพัฒนาได้อีกแน่”
กู่สือหมิงน่าจะทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว พวกเขาได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มดังออกมาผ่านหูฟัง “กัปตัน ผมกลับมาแล้ว เราไปต่อกันเลยครับ!”
หลี่ชางอวี๋พูดเสียงร่าเริง “ใช่ นายยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เรามาเก็บเลเวลให้ถึง 20 กันเถอะ!”