ตอนที่ 8 เมืองอี๋ซือยามค่ำคืน (1)
เมืองอี๋ซือยามค่ำคืนเป็นดันเจี้ยนสำหรับผู้เล่นหกคนที่ต้องการเลเวลต่ำที่สุดในเกมมิราเคิล
ดันเจี้ยนระดับต่ำไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ยากมากจนเกินไป เพื่อไม่ให้มือใหม่เสียความมั่นใจในการเล่นเกม ดันนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ดันแจกค่าประสบการณ์” และผู้เล่นทุกคนสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ได้ตราบใดที่มือยังคงใช้การได้ ค่าประสบการณ์ที่มอนสเตอร์ให้ค่อนข้างสูง แถมยังมีพื้นที่เปิดกว้างให้กับทีมอีกด้วย ไม่มีคนนอกเข้ามาก่อกวน นั่นหมายความว่าทีมจะสามารถฆ่ามอนเตอร์ และเก็บเลเวลได้ไวมาก
แต่นั่นอยู่เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับทีมที่มีสมาชิกหกคนครบทีม
ทีมของหลี่ชางอวี๋มีสมาชิกแค่สามคนเท่านั้น ถ้าผู้เล่นสามคนนี้เป็นผู้เล่นที่มีฝีมือธรรมดา และต้องเจอกับมอนสเตอร์ฝูงใหญ่หลังจากที่เข้าดันเจี้ยน พวกเขาคงจะถูกฉีกกระชากไม่เหลือซากอย่างแน่นอน กู่สือหมิงรู้สึกกังวลอยู่ในใจก็จริงแต่อีกสองคนเป็นถึงเทพในวงการมืออาชีพ จากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็ปัดเอาความกังวลทิ้งไว้เบื้องหลัง
ภายในดันเจี้ยนมีแสงสลัวของยามค่ำคืน และมีแผนที่ที่ไม่ซับซ้อน หลังจากที่เดินเข้าประตูไป ก็จะมีเส้นทางเส้นเดียวนำไปยังที่อยู่ของบอส ด้านข้างทางเดินมี “มนุษย์กลายพันธุ์” เดินตรวจตราอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ4ตัว หากฆ่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ได้ก็จะได้รับค่าประสบการณ์อย่างมหาศาล ภายในกลุ่มสี่ตัวของมนุษย์กลายพันธุ์มีการใช้ค่าความเกลียดร่วมกัน หมายความว่า ไม่ว่าตัวไหนจะถูกโจมตี แต่ทั้งสี่ก็จะวิ่งเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ
หลี่ชางอวี๋มองดูการจัดกลุ่มของมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนก่อนจะพูดขึ้นมา “พวกเราจะสู้กับสี่ตัวทางซ้าย เสี่ยวกู่ดึงมอนสเตอร์เอาไว้ ส่วนฉันจะเป็นคนฆ่าเอง”
“โอเค!” กู่สือหมิงพุ่งตรงเข้าไปอย่างเชื่อฟัง เด็กหนุ่มใช้สกิล “คำราม” ซึ่งเป็นสกิลที่ต่ำที่สุดของไนท์เพื่อดึงดูดความสนใจของมอนสเตอร์ทางด้านซ้าย
เขาเป็นไนท์ที่มีร่างกายหนาก็จริง แต่การดึงความสนใจของมอนสเตอร์ถึงสี่ตัวในเวลาเดียวกันทำให้เลือดของเด็กหนุ่มลดลงอย่างน่าใจหาย
ไป๋เซวียนรีบรักษาเด็กหนุ่ม และคอยเติมเลือดให้เขาในปริมาณเล็กน้อย
หลี่ชางอวี๋เลือกมอนสเตอร์หนึ่งตัว และใช้ภูติน้ำที่ตัวเองอัญเชิญออกมาตรึงให้มอนสเตอร์อยู่กับที่ จากนั้นเขาก็โจมตีโดยใช้สกิล “บอลน้ำ” สกิลพื้นฐานของภูติน้ำ
ภูติน้ำของซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์ไม่มีท่าโจมตีหนัก โชคดีที่หลี่ชางอวี๋ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาค่อยๆโจมตีมอนสเตอร์ไปเรื่อยๆอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
แรงกดดันทางฝั่งกู่สือหมิงมีมาก มอนสเตอร์ตัวหนึ่งอาจจะถูกหลี่ชางอวี๋ดึงไปก็จริง แต่ก็ยังเหลือที่ตัวเด็กหนุ่มอีกถึงสามตัว และมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสามก็โจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เห็นว่าแถบเลือดของตัวเองใกล้จะหมดลงทุกขณะ ฮีลเลอร์เองก็ไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไร กู่สือหมิงไม่มีทางเลือก และเริ่มเดินออกห่างจากมอนสเตอร์ไปทางไป๋เซวียนโดยการกระโดดสองครั้งกลางอากาศ
ไป๋เซวียนเห็นเด็กหนุ่มกระโดดก็เลยตบรางวัลให้ด้วยฮีลระดับต่ำไปหนึ่งที
“...” กู่สือหมิงอยากจะร้องไห้
เขาไม่ขยับหลังจากที่ร่ายสกิลฮีลออกไป แน่ใจนะว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังหลับน่ะ? หรือไม่งั้นก็เป็นกู่สือหมิงที่เดาผิด ฮีลเลอร์คนนี้ไม่ใช่รองกัปตันไป๋เซียนหรอกเหรอ?
หลี่ชางอวี๋เห็นหนุ่มน้อยกระโดดไปมาด้วยความกระวนกระวายไปรอบๆมนุษย์กลายพันธุ์เขาก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มหันหลังไปมองไป๋เซวียนก่อนจะกระซิบว่า “นายยังมีนิสัยชอบแกล้งคนใหม่อยู่งั้นเหรอ?”
ไป๋เซวียนยักไหล่ “ไม่ต้องห่วง เขาจะไม่ตายแน่ๆ ก็แค่จะใช้โอกาสนี้ดูท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาก็เท่านั้น”
ไม่ตายแน่ๆ
ฮีลเลอร์ที่กล้าพูดคำคำนี้ออกมาจะต้องมีความมั่นใจอย่างมาก
และความเป็นจริงก็พิสูจน์ออกมาให้เห็น ทุกครั้งที่เลือดของกู่สือหมิงเกือบจะหมดลง ไป๋เซวียนก็จะยื้อแถบเลือดกลับมาด้วยการฮีลที่แม่นยำ ราวกับกำลังเต้นรำอยู่บนเส้นลวดอย่างไรอย่างนั้น
กู่สือหมิงที่ตื่นตระหนกลากมอนสเตอร์ไปรอบๆ และพบว่าหลายครั้งหลายหนที่เลือดของเขาลดลงต่ำ แต่เขากลับยังไม่ตาย หลังจากมาคิดทบทวนดูอีกที เขาถึงได้เข้าใจ ท่านเทพกำลังทดสอบตัวเขาอยู่!
พอกู่สือหมิงเดาจุดประสงค์ออก เขาก็ยิ่งกระตือรือร้นมากกว่าเดิม เขาลากมอนสเตอร์ และเริ่มเคลื่อนที่ด้วยฝีมือเต็มที่เพื่อแบ่งเบาภาระของฮีลเลอร์ให้ได้มากที่สุด
ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรในขณะที่ค่อยๆฆ่ามอนสเตอร์ทั้งสี่อย่างช้าๆ กู่สือหมิงยังคงมึนงงกับการควบคุมของสองคนนี้อยู่ดี
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสกิลในตอนนี้ยังมีน้อยเกินไป และดันเจี้ยนง่ายเกินไปหรือเปล่านะ?
ฝีมือการดึงมอนสเตอร์ของหลี่ชางอวี๋สูงมาก มอนสเตอร์ไม่สามารถแตะเสื้อผ้าของชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากหน่อยก็สามารถทำแบบนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชายหนุ่มได้เลย
สำหรับเทพไป๋เซวียน...คนคนนี้เป็นตัวดูดเลเวลอย่างสมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มแค่ฮีลให้ตัวละครของกู่สือหมิงเป็นบางครั้งเท่านั้น เขากำลังคิดเลยว่าชายหนุ่มจะดูหนังไปด้วยเล่นไปด้วยหรือเปล่านะ...
(ดูดเลเวล – คนที่ยืนเฉยๆทำแต่เรื่องของตัวเอง)
5นาทีผ่านไป มอนสเตอร์ทั้งหมดในดันเจี้ยนถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว กู่สือหมิงเห็นบอส และพุ่งเข้าใส่ทันที แต่หลี่ชางอวี๋กลับพูดขึ้นมาว่า “ออกแล้วเข้าใหม่อีกรอบกันเถอะ เราจะฆ่ามอนสเตอร์ต่อไปเรื่อยๆ”
กู่สือหมิงหยุดชะงัก ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “กัปตัน เราจะไม่สู้กับบอสงั้นเหรอครับ?”
“เสียเวลาเปล่า” หลี่ชางอวี๋ตอบ “พอเราเลเวล 12 กันแล้ว และเรียนสกิลมาเรียบร้อยแล้วค่อยมาสู้กับมัน!”
“โอ้ส!” กู่สือหมิงไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก เราแค่ตามสองคนนั้นออกจากดันเจี้ยนไปอย่างเชื่อฟัง หลี่ชางอวี๋รีเซทดันเจี้ยน ก่อนจะเข้าไปอีกครั้ง มอนสเตอร์เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาทำวิธีการเดิมๆต่อไป
วิธีการฆ่ามอนสเตอร์เรียบง่ายและน่าเบื่อ โชคดีที่หลี่ชางอวี๋มีความอดทนสูง...พอกัปตันไม่พูดอะไร กู่สือหมิงก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดถ้าหากตัวเองจะพูดอะไรออกไป หลังจากที่ฆ่ามอนสเตอร์ไปแล้ว20นาที กู่สือหมิงเริ่มง่วงนอนในตอนที่ทั้งสามเลเวลถึง 12 พอดี
“โอเค” หลี่ชางอวี๋พูดขึ้น “กลับไปเมืองหลัก แล้วเรียนสกิลกันเถอะ”
จิตวิญญาณของกู่สือหมิงตื่นตะลึง เด็กหนุ่มกลับเมืองอี๋ซือพร้อมกับเทพทั้งสอง
ภายในอาคารที่ตั้งอยู่ข้างๆน้ำพุในเมืองอี๋ซือมีผู้แนะนำอาชีพทั้ง 12 อาชีพอยู่ ระดับของสกิลจะเพิ่มขึ้นไปตามชั้นของอาคาร พวกเขาเพิ่งจะเป็นโนวิสเลเวล 12 ดังนั้นพวกเขาเลยเรียนได้แต่สกิลที่อยู่บนชั้นหนึ่ง
หลี่ชางอวี๋หาผู้แนะนำสกิลของซัมมอนเนอร์ และเรียนสกิลเรียกภูติไฟ ซึ่งเป็นสกิลที่สองของซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์มา
ภูติไฟและภูติน้ำเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์มักจะเรียกออกมาใช้อยู่บ่อยๆ โดยที่ภูติน้ำจะออกไปในทางควบคุม ในขณะที่ภูติไฟจะทำหน้าที่เป็นดาเมจหลัก ก่อนหน้านี้เขามีเพียงแค่พลังโจมตีจากภูติน้ำเท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้กับบอสจะต้องนานมากอย่างแน่นอน หลี่ชางอวี๋จึงเลือกที่จะเก็บเลเวลก่อนเพื่อให้สามารถเรียกภูติไฟออกมาได้
ไป๋เซวียนเรียนสกิลของพรีสที่ชื่อว่า “วงเวทรักษา” ซึ่งเป็นความสามารถแรกของพรีสที่จะทำการเพิ่มเลือดให้ทั้งกลุ่ม
กู่สือหมิงเรียนสกิลของไนท์ “พลังแห่งการปกป้อง” ซึ่งจะทำให้พลังป้องกันของตัวไนท์ หรือตัวละครเป้าหมายเพิ่มขึ้น 800% เป็นเวลา 8 วินาที เอฟเฟคของสกิลจะทำการสร้างโล่สีทองขึ้นมารอบๆตัวละคร
หลังจากที่เรียนสกิลเสร็จ ทั้งสามคนก็เข้าไปในดันเจี้ยนอีกครั้ง
กู่สือหมิงเข้าไปในดันเจี้ยน และกำลังจะดึงมอนสเตอร์กลุ่มสี่ตัวทางด้านซ้ายเหมือนเช่นเดิม แต่การกระทำของหลี่ชางอวี๋กลับไวกว่าเขา ชายหนุ่มเรียกภูติน้ำขึ้นมาเพื่อตรึงมอนสเตอร์หนึ่งตัวให้อยู่กับที่ และเรียกภูติไฟออกมาเพื่อดึงอีกสามตัวที่เหลือออกไป เขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในขณะที่โจมตีมอนสเตอร์ด้วยไฟร์บอล เปลวไฟสีสวยจากเอลฟ์หนุ่มตรงหน้าเผาไหม้ไปตามร่างกายของมอนสเตอร์ ก่อให้เกิดเอฟเฟคละลานตา
ชั่วพริบตาเดียว มอนสเตอร์ทั้งสี่ก็ลงไปนอนกองบนพื้นทั้งหมด กู่สือหมิงตกตะลึงกับความเร็วในการฆ่าของคนคนนี้!
กู่สือหมิงอึ้ง “...”
เขายังไม่ได้ทำหน้าที่แท้งค์ด้วยซ้ำ แค่ยืนมองดูแคทก็อดจัดการมอนสเตอร์สี่ตัวด้วยตัวเอง
เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้
ไป๋เซวียนเห็นว่าไนท์ประจำทีมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก็เลยส่งข้อความส่วนตัวไปหา “ตามแคทก็อดไปเฉยๆก็พอ เขามีสัตว์เลี้ยงมากขึ้นแล้ว ดังนั้นแค่จัดการมอนฯไม่กี่ตัว ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาหรอก”
กู่สือหมิงฟื้นตัวในที่สุด ก่อนจะตอบตกลง “ครับ! ตามดูดเลเวลเขาไปเรื่อยๆ!”
รูปแบบการเล่นของหลี่ชางอวี๋จำกัดมากเมื่อเขามีภูติน้ำแค่ตัวเดียวเท่านั้น เขาไม่สามารถแสดงความต่างระหว่างตัวเองกับซัมมอนเนอร์คนอื่นๆออกมาได้ แต่หลังจากที่ได้รับภูติไฟมา ฝีมือของเขาก็เริ่มเผยออกมาให้เห็น เขาสลับใช้งานระหว่างสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวได้อย่างแม่นยำโดยการนับเวลาคูลดาวน์ และประสานสกิลของสัตว์เลี้ยงให้เรียงร้อยเชื่อมต่อกัน จนทำให้คนอื่นมึนงง
แค่สัตว์เลี้ยงสองตัว เขายังเก่งขนาดนี้! ลองจินตนาการดูสิว่าหลี่ชางอวี๋จะโหดร้ายขนาดไหนถ้าเขาได้รับสัตว์เลี้ยงครบทั้งเจ็ดตัวในตอนช่วงท้ายของเกมน่ะ!
***
กู่สือหมิงถามอย่างตื่นเต้น “แคทก็อด ความว่องไวในการเคลื่อนที่ของซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์ของคุณไวมาก คุณเล่นสายว่องไวล้วนเลยเหรอครับ?”
สายตาของเจ้าเด็กนี่ไม่เบาเลยจริงๆ หลี่ชางอวี๋ยิ้ม และตอบกลับไป “ใช่ ฉันเคยเล่นสายนี้มาก่อน”
สายว่องไวล้วนในที่นี้หมายถึงการเพิ่มค่าสถานะที่ได้มาทั้งหมดลงไปที่ “ค่าความว่องไว”
ตั้งแต่เลเวล 5 เป็นต้นมา หลี่ชางอวี๋ก็เพิ่มค่าสถานะที่ได้มาเลเวลละ 5 แต้มลงไปที่ค่าความว่องไว ประกอบกับความว่องไวโดยพื้นฐานของเอลฟ์ด้วย ทำให้ข้อได้เปรียบจากความว่องไวของเขาแสดงผลออกมาอย่างชัดเจนที่เลเวล12
การมีค่าความว่องไวมากไม่ใช่เพียงแค่ทำให้การเคลื่อนที่ไวขึ้นเท่านั้น แต่ระยะเวลาคูลดาวน์ของสกิลเองก็สั้นลงด้วย
เมื่อใช้ความได้เปรียบนี้ หลี่ชางอวี๋จึงสามารถอัญเชิญภูติทั้งภูติน้ำ และภูติไฟไปพร้อมกับใช้ท่าก้าวเท้าดุจนกเพื่อเดินเข้าไปหามอนสเตอร์ได้ เขาไม่เสียเลือดเลยด้วยซ้ำในขณะที่ฆ่ามอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวอย่างว่องไว
ไป๋เซวียนและกู่สือหมิงแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะหลี่ชางอวี๋เป็นคนจัดการกับมอนสเตอร์ทั้งหมด
เด็กหนุ่มเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการเล่นซัมมอนเนอร์เอลฟ์ของแคทก็อดมาบ้างก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการบังคับตัวละครของหลี่ชางอวี๋ เด็กหนุ่มรู้แทบจะในทันทีว่าการเล่นซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์สายว่องไวล้วนจำเป็นจะต้องใช้ความเร็วมือที่สูงมาก คนที่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มจะรู้สึกกดดันมากขนาดไหนกันนะหากอีกฝ่ายมีสัตว์เลี้ยงครบทั้งเจ็ดตัวแล้ว?
ซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์เคลื่อนที่เร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าหากชายหนุ่มอัญเชิญสัตว์เลี้ยงมาพร้อมกันเจ็ดด้วย และใช้สกิลของสัตว์เลี้ยงด้วย...
มันจะไม่กลายเป็น 1ต่อ8 เลยเหรอ?
ยังดีที่พวกเขาอยู่ทีมเดียวกัน!
กู่สือหมิงคิด ก่อนจะพบว่าตัวเองโชคดีมาก เด็กหนุ่มตาลายไปกับเอฟเฟคแสงที่ละลานตาจากสัตว์เลี้ยงของชายหนุ่ม เขาจะต่อสู้กับพวกมันยังไงล่ะ?
เขาเกาะขาแคทก็อดแน่น และดูดค่าประสบการณ์โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย กู่สือหมิงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพียงแค่นั่งนับค่าประสบการณ์ที่เด้งขึ้นมาบนหัวก็เท่านั้น ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกเบื่อๆ ก็เลยคุยกับเทพไป๋เซวียนผ่านทางแชทส่วนตัว
[ท่านเทพครับ คุณคือรองกัปตันไป๋ใช่ไหม? คุณอยู่กับแคทก็อดหรือเปล่า?]
[ใช่ นายเดาถูกแล้วล่ะ]
[แหะๆ] กู่สือหมิงยิ้มพร้อมกับเกาหัวตัวเอง [แคทก็อดเคยเล่นซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์มาก่อนเหรอครับ?]
[ใช่ บางคนมาท้าทายเขา และจบที่แพ้เขายับเยินเลยล่ะ]
[แกร่งมาก!] กู่สือหมิงอุทาน [ซัมมอนเนอร์ทั่วๆไปในลีกระดับมืออาชีพมักจะเป็นเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็เผ่าโลหิต กัปตันมาเล่นซัมมอนเนอร์เอลฟ์ได้ไงกันครับ?]
[ซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์แข็งแกร่งก็เพราะการอัญเชิญที่รวดเร็ว ซึ่งมันจำเป็นต้องมีความไวที่สูงมาก มีแต่คนที่ระเบิดความเร็วมือมากกว่า500ได้เท่านั้น ถึงจะจัดการกับการควบคุมตัวละครที่ซับซ้อนแบบนี้ได้ ภายในลีกมืออาชีพมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความเร็วมือมากกว่า 500 ดังนั้นผู้เล่นที่เล่นซัมมอนเนอร์เผ่าเอลฟ์จึงหาได้ยาก] ไป๋เซวียนพิมพ์อธิบายอย่างอดทน
ความเร็วมือซึ่งก็คือหน่วยของจำนวนครั้งที่นิ้วมือกดลงบนคีย์บอร์ดต่อหนึ่งหน่วยเวลา มักจะเรียกว่า APM
ความเร็วมือเป็นสิ่งจำเป็นมากๆสำหรับนักกีฬาอีสปอร์ต แต่มันไม่ใช่ตัววัดผลเพียงอย่างเดียวของผู้เล่นคนนั้นๆ แต่ละอาชีพมีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น คนที่มีความเร็วมือ 220 เหมาะสมสำหรับไนท์สายป้องกัน ในขณะที่ฮีลเลอร์ต้องการความเร็วมือที่300
หลี่ชางอวี๋ชอบรูปแบบการเล่นแบบเร็วจัดของซัมมอนเนอร์ หากเขาเริ่มปลดปล่อยพลังโจมตีออกไปแล้ว ความเร็วมือของชายหนุ่มก็จะทะลุขีดจำกัดความเร็ว500ไป ดังนั้น ในตอนที่เขาเล่นมิราเคิลเขามีฉายาว่าแคทก็อดเร็วฟ้าแล่บซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงนิ้วมือที่รวดเร็วของชายหนุ่ม
กู่สือหมิงคิดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเข้าใจในทันที [สัตว์เลี้ยงของเผ่าโลหิตสามารถดูดเลือดได้ ในขณะที่ซัมมอนเนอร์เผ่าปีศาจก็เอาตัวรอดสูง ดังนั้นความเร็วมือที่ต้องการของสองเผ่านี้ถึงได้ไม่สูงเท่ากับเผ่าเอลฟ์ เพราะฉะนั้นซัมมอนเนอร์เผ่าโลหิตและเผ่าปีศาจถึงเป็นที่นิยมกว่างั้นสินะครับ?]
ไป๋เซวียนส่งไอค่อนหน้ายิ้มให้ [ฉลาดมาก]
กู่สือหมิงดีใจที่ได้รับคำชม มือของเขากระทบกับคีย์บอร์ดอย่างตื่นเต้นในขณะที่พิมพ์ถาม [จริงสิ! พูดถึงเรื่องความเร็วมือแล้ว คนที่ความเร็วมือสูงที่สุดในตอนนี้คือ หลิงเสวียเฟิง?]
ไป๋เซวียนชะงักไปหลังจากที่เห็นชื่อที่ตนเองคุ้นเคย อารมณ์ของเขาซับซ้อนขึ้นนิดหน่อย...
หลังจากที่เงียบไปสักพัก ไป๋เซวียนก็พิมพ์ตอบกลับไป [ดูเหมือนว่านายจะรู้เกี่ยวกับมิราเคิลเยอะเลยนี่ รวมถึงเรื่องหลิงเสวียเฟิงด้วย?]
กู่สือหมิงพิมพ์ตอบอย่างจริงจัง [ผมอาจจะเป็นหน้าใหม่ที่ค่ายฝึกฝน แต่ผมต้องเล่นเกมนี้ในอนาคต ดังนั้นผมก็ต้องรู้เกี่ยวกับคู่ต่อสู้สิ อีกอย่างนึง กัปตันหลิงก็ดังมากด้วย เขาเป็นกัปตันของทีมวินด์คัลเลอร์ แถมยังเป็นซัมมอนเนอร์เผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในลีกอีกด้วย!]
ไป๋เซวียนส่งไอค่อนหน้ายิ้ม [ใช่แล้ว เขาเป็นผู้เล่นที่เร็วที่สุดในลีกมิราเคิลตอนนี้ ความเร็วมือของเขาพอๆกับแคทก็อดเลย]
กู่สือหมิงตื่นเต้นขึ้นเมื่อหาหัวข้อพูดคุยได้ [ผมดูวิดิโอที่กัปตันหลิงเล่นมาเยอะมากเลย การใช้งานสัตว์เลี้ยงปีศาจเพื่อกดดันคู่ต่อสู้เป็นรูปแบบการเล่นที่มีพลังมาก ทำให้คู่ต่อสู้ต้องใจหายใจคว่ำเลย! อัตราการชนะของเขาในการเล่นแบบเดี่ยวกับสูงมากๆด้วย แน่นอนว่าเขาเป็นอันดับหนึ่งในหมู่เผ่าปีศาจด้วยกัน แฟนๆเรียกเขาว่าปีศาจ!]
ไป๋เซวียนชักจะสงสัย [นายรู้จักเขาดีนี่ เป็นแฟนบอยเขาเหรอ?]
กู่สือหมิงรู้สึกอายเมื่ออีกฝ่ายมองทะลุความคิดของตัวเองได้ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัว [แหะๆ ผมชอบสไตล์การเล่นของเขาจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันเท่มาก!]
[ซัมมอนเนอร์เผ่าปีศาจเท่จริงๆ แต่นายจะร้องไห้ถ้าได้เจอกับเขาบนสนามต่อสู้] ไป๋เซวียนพูดล้อเล่น
[แน่นอนครับ! ผมไม่มีทางเอาชนะกัปตันหลิงได้อยู่แล้ว!] หลังจากที่คิดอยู่สักพัก กู่สือหมิงก็ถามออกมาด้วยดวงตาเปล่งประกาย [แคทก็อดเอาชนะกัปตันหลิงได้ไหมครับ?]
[ไม่แน่ใจ] ไป๋เซวียนไม่ได้ให้คำตอบกับเด็กหนุ่ม แต่พูดต่อไปอีกว่า [พวกเขาไม่ค่อยได้สู้กันแบบเดี่ยวๆสักเท่าไหร่]
กู่สือหมิงชะงักกับประโยคเสริมนี้ของไป๋เซวียน ตามที่เขารู้มา หลิงเสวียเฟิงกับหลี่ชางอวี๋น่าจะเล่นเกมในช่วงเวลาเดียวกัน ในตอนที่หลี่ชางอวี๋เล่นมิราเคิลมาตั้งสองปี เขาจะไม่เคยสู้แบบเดี่ยวๆกับหลิงเสวียเฟิงเลยงั้นเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองต่างเล่นซัมมอนเนอร์เหมือนกัน พวกเขาไม่เคยแข่งแบบ 1ต่อ1 ในการแข่งขันซัมมอนเนอร์งั้นเหรอ?
สมองของกู่สือหมิงเต็มไปด้วยความสงสัย และอยากจะถามรายละเอียดอีก แต่หลี่ชางอวี๋กลับพูดขึ้นมาในช่องสนทนาเสียก่อน “พวกนายยังคุยกันอยู่เหรอ? จะได้เวลาสู้กับบอสแล้วนะ”
“...” เหงื่อเย็นๆไหลลงจากหน้าผากของกู่สือหมิงทันที!
พวกเขาตามแคทก็อดมาตลอด แถมยังทำตัวไร้ประโยชน์ด้วย ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาสู้กับบอสแล้ว แต่ทั้งสองกลับยืนคุยกันเฉยๆเสียนี่
[เข้าใจแล้วครับ!] กู่สือหมิงยกโล่ของไนท์ขึ้นมาทันที ก่อนจะพุ่งเข้าหาบอสอย่างคล่องแคล่ว