ตอนที่ 1848 เรเวน
ภายในฐานทัพ ผู้คนยังคงติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นอยากจะพานางฟ้า ซีโร่และพวกพ้องคนอื่นๆของเขาไปจากที่นี่ แต่เขาไม่แน่ใจว่าเชื้อประหลาดนี้ได้แพร่ไปยังพวกพ้องของเขาหรือยัง ถ้าหานเซิ่นพาพวกเขาไปจากที่นี่พร้อมกับเชื้อ สถานการณ์ก็จะเลวร้ายไปมากกว่านี้
แต่ถ้าพวกเขาอยู่ในฐานทัพต่อ ถึงพวกเขาจะติดเชื้อ แต่อย่างน้อยๆไวเคานต์ดีปบลูก็อาจจะหาทางหยุดมันได้
ไวเคานต์ดีปบลูบอกว่าหลังจากเขาติดเชื้อและมีเครื่องหมายปรากฏบนหน้าผากนั้น เขาได้ไปกินรากของดอกบัวที่พบในปราสาท เขาเชื่อว่านั่นคือเหตุผลที่เครื่องหมายรูปไข่ไม่มีผลกับเขา ขุนนางคนอื่นๆที่เดินทางไปพร้อมกับเขาตายไปจนหมด และมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่รอดกลับมา แต่ตอนนี้เครื่องหมายปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขาอีกครั้ง และมันก็ดำมืดขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องการกลับมาที่ดาวดวงนี้ เพื่อกินรากของดอกบัวอีกครั้ง
แต่มันมีกลุ่มซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่ที่ทางเข้าของปราสาท และในหมู่พวกมันก็มีระดับเอิร์ลอยู่ด้วย ดังนั้นไวเคานต์ดีปบลูจึงยังไม่สามารถหาทางเข้าไปในปราสาทได้
ไวเคานต์ดีปบลูคิดว่าไวเคานต์วินด์น่าจะได้เครื่องหมายมาจากปราสาทแห่งนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าไวเคานต์วินด์เข้าไปในปราสาทได้ยังไง
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็คิดคำถามที่สำคัญขึ้นมาได้ ในตอนที่ไวเคานต์เข้าไปในปราสาทครั้งแรก เขายังเป็นแค่สามัญชนที่มีแค่ชุดเกราะจีโน แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงไวเคานต์ ซึ่งการที่สามัญชนจะกลายเป็นขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แม้แต่คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายอย่างอี๋ซาก็ยังมีจีโนฟลูอิดเพียงแค่ไม่กี่ 10 ขวดเท่านั้น ดังนั้นไวเคานต์ดีปบลูจะสามารถไต่ระดับจนมาถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
เมื่อหานเซิ่นถามคำถามนี้ออกมา ไวเคานต์ดีปบลูก็ตอบกลับมาว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิวัฒนาการขั้นที่ 2 ได้ยังไง เขาวิวัฒนาการขั้นที่ 2 หลังจากที่เดินทางออกจากดวงดาวแห่งนี้ไปได้ไม่นาน ดังนั้นเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะรากของดอกบัวที่กินเข้าไป
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่กู่ชิงเฉิงก็มีเครื่องหมายปรากฏขึ้นมาบนหน้าผากของเธอ หานเซิ่นบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องของปราสาทและรากดอกบัว และเขาก็บอกเธอว่าไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะออกไปหารากดอกบัวพร้อมๆกัน
หลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง ยานอวกาศของแบล็คสตีลก็ลงมาจอดตรงหน้าทางเข้าของฐานทัพ แต่นอกจากแบล็คสตีลแล้ว ยังมีรีเบทอีกหลายคนที่เดินทางมาพร้อมกับเขา เมื่อดูจากออร่าของพวกเขาแล้ว หานเซิ่นก็สามารถบอกได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ
“หานเซิ่น! ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง?” แบล็คสตีลมองไปที่หน้าผากของหานเซิ่น
“เลวร้ายมากๆ! คนของข้ากว่าครึ่งติดเชื้อและมีเครื่องหมายรูปไข่อยู่บนหน้าผาก” หานเซิ่นพูด
รีเบทคนอื่นๆเข้าไปตรวจสอบหน้าผากของผู้หญิงและเด็กๆ ในขณะที่แบล็คสตีลเข้าไปที่ออฟฟิศของหานเซิ่น เขาพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เจ้ากำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้าข้าดูไม่ผิด ไวเคานต์คนนั้นคงจะไปสัมผัสบางสิ่งที่เป็นของของเรเวน”
“เรเวน?” หานเซิ่นดูสับสน
แบล็คสตีลอธิบาย “ก่อนที่รีเบทจะเข้ายึดครองแนร์โรว์มูน เผ่าพันธุ์ที่เป็นเจ้าของที่แห่งนี้ก็คือเรเวน พวกเขาเป็นกลุ่มซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่ง และพวกเขาก็มีความสามารถในการทำเครื่องหมายบนร่างของคนอื่นๆเพื่อควบคุมอีกฝ่าย”
แบล็คสตีลพูดต่อ “ในตอนที่พวกเราเข้ายึดครองแนร์โรว์มูน มันแลกมาด้วยการสูญเสียอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสระดับเทพเจ้า มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะชนะการต่อสู้ พวกเราคิดว่าเรเวนถูกทำลายล้างไปแล้วหลังจากการต่อสู้นั้น ข้าไม่ได้คิดว่ามันจะยังมีร่องรอยของพวกเขาหลงเหลืออยู่อีก”
“เจ้ามีหนทางที่จะลบเครื่องหมายของเรเวนไหม?”
หานเซิ่นคิดว่าถ้ารีเบทโค้นล้มเรเวนและยึดครองแนร์โรว์มูนได้ พวกเขาก็ต้องมีหนทางรับมือกับมัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะติดเชื้อและตายไปจนหมด
“ยังไม่มี” แบล็คสตีลส่ายหัว
“หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มี?” หานเซิ่นสับสน
“เผ่าพันธุ์ของพวกเราสูญเสียไปมากจากเครื่องหมายนี้ พวกเราค้นพบว่าการฆ่าเรเวนและดื่มเลือดของพวกเขาเป็นทางเดียวที่จะลบเครื่องหมายนี้ออกไป ถ้าเจ้าต้องการจะกำจัดพวกมัน หนทางเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือการหาสิ่งที่ไวเคานต์คนนั้นไปติดเชื้อมา”
แบล็คสตีลมองมาที่หานเซิ่นและพูดต่อ “ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าติดเชื้อด้วยหรือเปล่า แต่พวกเราจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าทุกคนที่ติดเชื้อจะไม่ออกไปจากที่แห่งนี้ และพวกเรายังต้องหาต้นตอของเชื้อนี้ให้ได้ไม่ว่ามันจะมาจากที่ไหนก็ตาม”
หานเซิ่นบอกแบล็คสตีลถึงเรื่องเล่าของไวเคานต์ดีปบลู แบล็คสตีลพยักหน้าและพูด “ถ้าเขามีข้อมูลแบบนี้ มันก็ถือเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก ข้าพาหนึ่งในองครักษ์ของพ่อข้าติดตามมาด้วย กัปตันวูดเป็นถึงดยุก ส่วนคนที่เหลือเป็นมาร์ควิส พวกเราพร้อมที่จะเดินทางไปที่ปราสาทของเรเวน”
แบล็คสตีลออกไปตามกัปตันวูดและไวเคานต์ดีปบลู หลังจากนั้นเขาก็ขอให้ไวเคานต์ดีปบลูอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
กัปตันวูดมองหน้าไวเคานต์ดีปบลูและถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่บอกคนอื่นให้เร็วกว่านี้?”
ไวเคานต์ดีปบลูยิ้มแห้งๆออกมา “คนอื่นๆเสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงข้าคนเดียวที่เหลือรอด ข้ากังวลว่าจะเจอเข้ากับปัญหา ถ้าเกิดข้าบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเครื่องหมายมันหายไปแล้ว”
หานเซิ่นเข้าใจถึงเหตุผลของไวเคานต์ดีปบลู ถ้าเขายอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น มันมีความเป็นไปได้สูงที่รีเบทคนอื่นจะเกิดความสงสัย เหตุผลที่เขายอมบอกเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้ก็เพราะเขาต้องการจะกลับไปที่ปราสาทแห่งนั้น ซึ่งถ้าเครื่องหมายไม่กลับมา เขาก็ไม่มีทางกลับมายังสถานที่ที่เลวร้ายแบบนี้
หลังจากที่กัปตันวูดถามรายละเอียดหลายอย่างกับไวเคานต์ดีปบลู เขาก็ตัดสินใจไปที่ปราสาทของเรเวนด้วยเช่นกัน
ครั้งก่อนเอิร์ลไครอทมีไวเคานต์และเอิร์ลติดตามไปไม่มากนัก ซึ่งครั้งนี้พวกเขามีกัปตันวูดและมาร์ควิสอีก 4 คน ดังนั้นมันควรจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
กัปตันวูดอนุญาตให้หานเซิ่นเลือกคนของเขาติดตามไปด้วย และเนื่องจากกู่ชิงเฉิงมีเครื่องหมายบนหน้าผาก ดังนั้นเธอจึงเลือกจะติดตามไปด้วย เซี่ยชิงเองก็ต้องการไปด้วยเช่นเดียวกัน หานเซิ่นจึงให้นางฟ้าและซีโร่รออยู่ที่ฐานทัพ ถ้าไม่มีใครคอยเฝ้าฐานทัพเอาไว้ มันก็ยากที่จะบอกได้ว่าพวกบารอนจะทำอะไร มันมีโอกาสสูงที่ผู้หญิงและเด็กๆจะตกอยู่ในอันตราย
นอกจากพวกเขาแล้ว หานเซิ่นเลือกบารอน 10 คนให้ติดตามไปด้วย อย่างน้อยๆพวกเขาก็สามารถช่วยเก็บรากดอกบัวกลับมา มันมีคนที่มีเครื่องหมายบนหน้าผากอยู่มาก ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องนำรากดอกบัวกลับมาให้ได้มากที่สุด
หานเซิ่นพาไวเคานต์เลคไปด้วยเช่นกัน ด้วยการที่กัปตันวูดอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่กล้าขัดคำสั่งของหานเซิ่น