ตอนที่ 7 : คืนวิกฤติ
ช่วงเวลากลางคืน มีเพียงความเงียบสงบ
ภายในวิลล่า เหล่าผู้รอดชีวิตจับกลุ่มอาศัยอยู่ด้วยกันภายใต้แสงเทียน
“นายบอกว่าสองคนนั้นอยากจะสร้างฐานที่มั่นที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
“อย่ามาตลกไปหน่อยเลย ฐานที่มั่นมันไม่ได้สร้างง่ายๆหรอก แล้วนี่มีกันแค่สองคน ถึงพวกเขาจะแข็งแกร่งแล้วไง การสร้างฐานที่มั่นมันไม่ได้ใช้แค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นนะ”
“ลืมสองคนนั้นไปได้เลย สนใจแค่ตัวเราเองก่อน พวกเราควรจะทำยังไงดี? ตอนนี้ที่นี่มันไม่ปลอดภัย ทำไมเราถึงไม่ไปที่ฐานที่มั่นหลินตงล่ะ? มันเป็นฐานที่มั่นขนาดใหญ่ที่มีกองทัพคอยดูแล เมื่อเราไปถึงที่นั่น พวกเราก็คงไม่ต้องกังวลว่าพวกปิศาจมันจะโจมตีมาหรอก”
บางคนแสดงความคิดเห็น แต่หลายๆคนไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฐานที่มั่นหลินตงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เราจะไปที่นั่นได้อย่างไร? มันห่างออกไปจากที่นี่ 60 กว่ากิโลถ้าวัดจากทางตรง ถ้าเราสามารถไปถึงที่นั่นได้ง่ายๆ เราคงไม่เลือกที่จะอยู่ในฐานที่มั่นเล็กๆนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ทุกคนหันกลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าหดหู่
ในตอนแรก ขณะที่ทุกคนหลบซ่อนตัวอยู่ที่ห้องเย็นชั้นใต้ดิน พวกเขาคิดว่ามันปลอดภัยแล้ว แต่ปิศาจที่ลาดตระเวนเกือบจะฆ่าพวกเขา ถ้าไม่มีสองท่านนั้นผ่านมา…
คนหนึ่งพูดขึ้นทันที “ถ้าสองท่านนั้นจะเดินทางไปฐานที่มั่นหลินตงเช่นกัน พวกเราก็ตามเขาไปได้”
“ฮืมม.. แต่ถ้าพวกเขาต้องการที่จะสร้างฐานที่มั่น มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องไปหลินตง หรือถ้าพวกเขาจะไป พวกเขาก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะพาพวกเราไปกับเขา ฉันคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ ที่เราจะหาทางไปที่ฐานที่มั่นใกล้ๆที่มันเล็กกว่านี้”
“แต่ทำไมเราถึงไม่อยู่ที่นี่? สองท่านนั้นรับประกันว่าพวกเราจะปลอดภัย ถ้าเราอยู่ในพื้นที่ของวิลล่านี้”
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่มีคนที่เชื่อจริงๆ
ในความคิดของพวกเขา มีเพียงสองคนที่อยู่ฝ่ายถังหยู และดูเหมือนจะไม่มีใครเพิ่ม ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาจะต้องเจอกับอันตราย สองท่านนั้นจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เหรอ? แม้ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ ก็คงช่วยไม่ทัน เหตุผลที่พวกเขาไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการสร้างฐานที่มั่นก็คือการที่มีบุคลากรน้อยเกินไป ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างได้ด้วยคนเพียงหยิบมือ
ในความเป็นจริง พวกเขารู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีเหตุผลที่ทีมอื่นๆจะต้องมาคุ้มกันพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งอารมณ์และความคิด ทุกๆคนก็ต้องการใครสักคนที่จะมาปกป้องพวกเขาจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น
มันคือสัญชาตญาณของมนุษย์
ในที่สุด เฉินไฮปิงก็ปิดหัวข้อนี้ด้วยคำพูดว่า “แทนที่เราจะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ มันจะดีกว่าไหมถ้าเราไปฝึกยิงปืนหรือฟันดาบ ถึงแม้ว่านายจะไม่สามารถปลุกพลังได้ แต่มันก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้นิดหน่อย”
แสงเทียนบางๆส่องแสงนวลๆอยู่บนโต๊ะ
ขณะที่เฉินไฮปิงกำลังเช็ดทำความสะอาดอาวุธของเขาและกำลังจะอ้าปากพูดต่อ
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“ระวัง!”
เฉินไฮปิงรีบคว้ามีดยาวและมองออกไปที่ระเบียงด้านนอกหน้าต่างอย่างเคร่งขรึม
แสงไฟสีเขียวรางๆสองดวงสว่างขึ้นในค่ำคืนที่มืดมิด
“มันคือปิศาจ!” มีคนตะโกนด้วยความตื่นกลัว
“พวกเขาไม่ได้บอกเราเหรอ ว่าพวกปิศาจในพื้นที่แถวนี้ถูกกำจัดหมดแล้ว?!”
อีกคนหนึ่งตะโกนด้วยความสงสัย
“ฉันคิดแล้วเชียว ด้วยจำนวนคนแค่นิดเดียว พวกเขาจะสามารถกำจัดเหล่าปิศาจที่หลงเข้ามาได้ยังไง? ถ้าไม่มีกำแพงที่แข็งแรงกับแนวป้องกันที่สมบูรณ์ มันจะเรียกว่าเป็นสถานที่ๆปลอดภัยได้ยังไง?!”
เฉินไฮปิงไม่ได้พูดอะไร เขาแค่โบกมือส่งสัญญาณให้คนอื่นๆถอยหลังไป เขารู้ดีว่าแค่หน้าต่างระเบียงเล็กๆนี้คงไม่สามารถป้องกันการโจมตีจองปิศาจได้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้น “ตู้มมมมม!”
ทั้งวิลล่าสั่นสะเทือน เทียนตกลงบนพื้น
บางคนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่พวกเขาร้องไห้ออกมาเพราะความกลัว เฉินไฮปิงผู้ที่จ้องมองไปที่ปิศาจตลอดเวลา ก็ทำได้เพียงเห็นเงารางๆร่วงลงมาจากท้องฟ้า กระแทกปิศาจลงไปกองอยู่บนพื้นดิน
เมื่อเฉินไฮปิงมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร เขาจำได้ว่านั่นคือชายลึกลับที่อยู่ในชุดเกราะเมื่อตอนกลางวัน เขาสังหารปิศาจด้วยการกระทืบเพียงครั้งเดียว
คนอื่นๆอ้าปากค้าง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เห็นฉากทั้งหมด แต่ชะตาของปิศาจตัวนั้นมันเหมือนกับเป็นเพียงแมลงที่ถูกขยี้อยู่ด้านใต้ของรองเท้า
หลายคนแสดงออกด้วยท่าทีที่สับสน เมื่อครู่พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่เชื่อใจถังหยูและต่อว่าเขาลับหลัง พวกเขาคิดว่าทีมอื่นๆจะใช้พวกเขาเป็นเพียงคนงานโดยไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตายเท่านั้น แต่ตอนนี้…
ทันทีที่ปิศาจปรากฎตัว มันจะถูกบดขยี้โดยท่านผู้ที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าของท่านผู้นี้ แต่ภาพของแผ่นหลังของท่านผู้นั้นก็เป็นที่จดจำของพวกเขา
แทนที่หุ่นหมายเลขสองจะกลับไปทันทีที่เสร็จภารกิจ มันชักหอกยาวไปด้านหลังและแทงไปที่กอหญ้าสูง
เสียงของหอกราวกับเสียงฟ้าผ่า!
การโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง!
ก่อนที่ผู้คนในวิลล่าจะรู้ตัว พวกเขาเห็นปิศาจตัวเล็กๆถูกแทงทะลุอยู่ที่ปลายของหอกยาวนั่น มันดูเหมือนเนื้อที่เสียบอยู่บนไม้ พร้อมที่จะเอาไปย่างบนไฟ
ผู้รอดชีวิตแทบไม่เื่อว่ามันจะมีปิศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้า!
หลายคนยังมีอาการหวาดกลัว พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าปิศาจมันคืออะไร รู้เพียงแค่ว่าโลกใบนี้กลายเป็นที่ๆอันตรายเกินไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เฉินไฮปิงมองไปที่ปิศาจตัวนั้น เขาไม่สามารถละสายตาได้
มันคือแมลงที่มีเหล็กในอยู่ที่ปลายก้น!
รู้กันว่ามันคือนักฆ่ายามราตรี!
ที่เฉินไฮปิงรู้จักมันก็เพราะว่าผู้ปลุกพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานที่มั่นก่อนหน้านี้ถูกลอบฆ่าด้วยโจมตีจากเหล็กในของมัน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะความสามารถของมัน ผู้ปลุกพลังคนนั้นคงไม่ตาย และถ้ามันไม่ได้ฆ่าเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานที่มั่น แนวรับของฐานที่มั่นคงไม่กลายเป็นเพียงซากหักพัง
แต่แมลงตัวนี้มันไม่สามารถต่อกรกับท่านที่อยู่ในชุดเกราะได้ มันจึงเป็นเพียงเนื้อที่ถูกเสียบเหมือนเคบับที่อยู่บนหอกยาวเท่านั้นเอง
เฉินไฮปิงหายใจไม่ทั่วท้อง ดวงตาเปิดกว้าง ความช็อคที่เกิดขึ้นกับเขามันมากมายกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์วันโลกาวินาศเป็นไหนๆ
หมายเลขสองลากแมลงปิศาจตัวนั้นหายเข้าไปในความมืด ทิ้งไว้แค่เหล่าผู้รอดชีวิตที่ได้เห็นเหตุการณ์ พวกเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกไม่ชั่วขณะหนึ่ง
หลายนาทีผ่านไป พวกเขาค่อยๆได้สติจากสิ่งที่เห็น
“พวกเรา...รอดแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” บางคนมองไปทางที่หมายเลขสองหายไปพร้อมกับความรู้สึกผิด “บางที..พวกเราก็ไม่ควรสงสัยในตัวของสองท่านนั้นนะ ฉันจำสิ่งที่เขากล่าวไว้ได้ ตราบใดที่เราอยู่ที่นี่และช่วยพวกเขาทำงาน พวกเขาจะรับประกันว่าพวกเราจะมีอาหารกินและปลอดภัยจากอันตราย บางทีฉันก็คิดว่าเราควรจะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว ทุกๆที่ที่เราจะไปมันก็มีแต่ความหายนะทั้งนั้น อย่างน้อยการที่ได้อยู่ที่นี่เราก็ยังมีอาหารเพียงพอ”
บนแผนที่อาณาเขต จุดสีแดงสองจุดค่อยๆหายไป ในขณะที่อีกฝากหนึ่ง มีจุดสีเหลืองหลายจุดที่แสดงถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งศัตรูและมิตรก่อนที่จะค่อยๆกลายเป็นสีเขียวที่หมายถึงความคิดมิตรหรือฝ่ายเดียวกัน
การที่เป็นจุดสีเขียวไม่ได้หมายความว่าผู้คนเหล่านี้เชื่อใจถังหยูเต็มร้อย ความเชื่อใจในสถานการณ์แบบนี้มันไม่สามารถให้กันได้ง่ายๆ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มันแสดงให้เห็นถึงการได้รับการยอมรับ
นี่น่าจะพอแล้วหล่ะ!
ถังหยูกำลังเก็บกวาดอยู่ด้านหลังของปราสาท เขาเห็นกองไม้ผุพังอยู่ที่พื้น ในช่วงบ่าย หลังจากที่ผู้รอดชีวิตได้ขนอาหารไปที่วิลล่า เขาขอให้คนเหล่านั้นช่วยขนย้ายไม้พวกนั้นไปที่ประตูที่หมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองประจำการ
“ในที่สุด ฉันก็เสร็จภารกิจแรกในการสร้างอาณาเขตสักที”
ปราสาทนั้นไม่ใช่สิ่งก่อสร้างของจริง แต่เป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมต่อกับระดับของอาณาเขต มันเป็นเพียงวันที่สองหลังจากที่เขาได้พบกับซิสเทมและหาทรัพยากรมาสร้างอาคารหลังแรกได้เสร็จ ถังหยูรู้ว่าก่อนหน้านี้ความคืบหน้ามันค่อนข้างช้า เขารู้สึกขอบคุณที่ได้เจอกับเหล่าผู้รอดชีวิตเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเสียโอกาสที่จะให้หมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองมาขนย้ายทรัพยากรแทนที่จะไปใช้เวลาอันมีค่าในการล่าปิศาจ สวรรค์คงรู้ว่าความคืบหน้าจะล่าช้าแน่ๆ
เขาเปิดแผงควบคุมการก่อสร้างขึ้นมาและเลือกไปที่ผับ
สร้าง!
“ติ๊ง.. ในการสร้างผับจะต้องใช้คริสตัลจำนวน 200 หน่วยและไม้จำนวน 100 หน่วย”
มันเหมือนกับมีพลังที่มองไม่เห็นกำลังดึงดูด ไม้ที่กองอยู่บนพื้นลอยขึ้นไปบนอากาศและประกอบเป็นโครงร่างสำหรับการก่อสร้างผับ
จากนั้นคริสตัลต้นกำเนิดในกระเป๋าของเขาก็ค่อยๆกระจายไปเป็นดวงไฟหลอมรวมเข้ากับโครงของสิ่งก่อสร้าง มันเหมือนกับตอนที่สร้างโถงหลักก่อนหน้านี้ โครงของผับด้านหน้าเขาค่อยๆเปลี่ยนรูป ในที่สุดผับสไตล์ยุคกลางของยุโรปก็ปรากฎขึ้นด้านหน้าของถังหยู
เขาอยากจะเข้าไปแทบทนไม่ไหว
ผับมันมีขนาดใหญ่มาก มันมีแค่ชั้นเดียวแต่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 50 คูณ 60 ตารางเมตร มีโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวและเคาน์เตอร์หนึ่งชุด เขายังสังเกตุเห็นว่าบนชั้นหลังเคาน์เตอร์ได้ถูกเรียงเอาไว้ด้วยเครื่องดื่มต่างๆ
มันดูเหมือนผับทั่วๆไป ไม่ได้ดูหรูหราเหมือนปราสาทของหลอด แต่นี่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ ฟังก์ชันจริงๆของผับคือการรับสมัครนักผจญภัย
นี่คือสิ่งที่ถังหยูต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ตราบใดที่เขาจ่ายค่าแรงให้อย่างงาม เขาก็สามารถทำสัญญากับนักผจญภัยและได้รับความจงรักภักดีจากพวกเขา
ไม่ว่าจะเพื่อนพัฒนาอาณาเขตหรือการดำเนินตามแผนการของเขา เขาต้องมีกำลังคนที่เพียงพอในการทำงานต่างๆ ซึ่งงานเหล่านี้ บุคลากรที่เชื่อใจได้เป็นสิ่งที่จำเป็น