บทที่ 120 สมบัติล้ำค่า
ครื้นนนน
รูปปั้นลอยขึ้นและส่องสว่างราวกับดวงอาทิตย์ทำให้เจียงอี้ไม่สามารถลืมตาได้ชั่วขณะ
ตัวของรูปปั้นยังคงสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความแตกต่างเดียวก็คือบัดนี้ได้ปรากฏประตูบานหนึ่งอยู่ด้านล่างของรูปปั้นตัวนั้น แม้ว่ามันจะยังปิดอยู่แต่เจียงอี้ก็มองเห็นความหวังแล้ว
เขาไม่ได้ดันทุรังเพื่อเปิดประตูในทันที แต่กลับไปนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังแทน เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรอเขาอยู่ที่หลังประตูบานนั้น ดังนั้นการฟื้นฟูพลังเพื่อเตรียมรับมือกับอันตรายจึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดมากที่สุด
ในครั้งนี้เจียงอี้ใช้เวลาไปถึงสี่ชั่วโมง หลังจากที่ดูดซับเม็ดยาระดับพิภพ เขาก็สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้เจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว
สีหน้าของเจียงอี้เคร่งขรึมขณะที่เดินตรงไปยังประตูลึกลับ เขากัดฟันแน่นและใช้แรงผลักประตู ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเขาจึงโคจรแก่นแท้พลังและกระแทกใส่ประตูอย่างรุนแรง
ปังงงง!
เสียงกระแทกดังสนั่น แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าประตูจะเปิดเลยแม้แต่น้อย ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้แต่ร่อยรองความเสียหายจากการกระแทกก็ไม่มีให้เห็น
“แก่นแท้พลังสีดำ!”
ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นประกายแห่งความหวัง เขาโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่มือและใช้มันเปิดประตู เป็นไปตามคาด ทันทีที่แก่นแท้พลังสีดำสัมผัสกับประตูลึกลับ มันก็ส่องแสงและเริ่มเปิดออก
ฟึ่บบ!
เจียงอี้รีบถอยไปด้านหลังแทนที่จะก้าวไปข้างหน้า เขาสัมผัสถึงแรงกดดันอันมหาศาล เพราะเพียงแค่เศษเสี้ยวของมันก็ทำให้ร่างของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ มันราวกับว่าสิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นคือ… ตัวตนระดับราชาปีศาจจากยุคบรรพกาล!
เมื่อเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็พบว่ามันมีเพียงแค่ความเงียบงัน จากนั้นเขาจึงตัดสินใจก้าวผ่านประตูและไปโผล่อยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง จากจุดที่เขายืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นเสาที่มีรูปสลัก นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
“ใครคือผู้ที่ปล่อยแรงกดดันเมื่อครู่ออกมากันนะ? เป็นไปได้หรือที่มีคนอยู่ที่นี่?”
ประกายแสงแวบผ่านม่านตาของเจียงอี้ เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆซึ่งทำให้เขาเกิดความกังวล
“คงได้แต่ลองดู!”
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู หากไม่ว่ายังไงก็จะต้องตาย เช่นนั้นเขาก็จะลองเดินออกมาห้องโถงแปลกๆแห่งนี้และไปเผชิญกับชะตากรรมที่อยู่เบื้องหน้า
เขาเดินเข้าไปในประตูหินอย่างช้าๆและไปโผล่ที่ห้องโถงซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ทันใดนั้นเองประตูหินที่อยู่ด้านหลังเขาก็ปิดลงด้วยตัวเองโดยปราศจากเสียงเตือนใดๆ มันทำให้เจียงอี้ตกใจจนแทบจะสะดุ้งโหยง
“เอ่อ…”
เขารีบกวาดสายตามองรอบๆ วินาทีต่อมาสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวขณะที่จับจ้องไปยังทะเลสมบัติที่อยู่เบื้องหน้า พวกมันส่องแสงระยิบระยับราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปสัมผัส
แต่น่าแปลกที่ดวงตาของเจียงอี้หาได้หยุดอยู่ที่กองสมบัติไม่ กลับกัน ดวงตาของเขาตกกระทบอยู่บนเตียงหยกหลังหนึ่ง สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความตื่นตกใจ บนเตียงหยก มีร่างของคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ อีกทั้งรอบกายของเขายังอบอวนไปด้วยกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว
มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง!
เจียงอี้เดินเข้ามาดูใกล้ๆและตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คนผู้นั้นหันหลังให้กับเจียงอี้และสวมใส่เสื้อคลุมสีเหลืองสว่าง แต่เมื่อเจียงอี้เหลือบมองไปที่มือของคนผู้นั้นก็ปรากฏว่า… มันเป็นกระดูก!
มันคือศพ… เป็นศพที่อยู่มานานจนเหลือเพียงแค่โครงกระดูก!
“นะ… นี่มัน!!”
เจียงอี้รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว แม้ว่าคนผู้นี้จะเหลือเพียงแค่โครงกระดูก แต่แรงกดดันและกลิ่นอายที่จะปล่อยออกมากลับน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด!
เป็นซากศพของปรมาจารย์ท่านใด? โถงแห่งนี้มันอะไรกัน? แล้วยังรูปปั้นนั่นอีก?
สมองของเจียงอี้รีบประมวลผลและได้ข้อสรุปในที่สุด ดูเหมือนว่าเขาจะเดาออกแล้วว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนและซากศพที่อยู่ตรงหน้าเป็นของใคร
เขามีความมั่นใจถึงเก้าส่วนว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นราชันสวรรค์หมื่นมังกร!
ดูแล้วเจียงอี้คงถูกเคลื่อนย้ายมาในสุสานราชันสวรรค์ที่แท้จริงซึ่งก็หมายความว่าตอนนี้เขาได้อยู่ในเจดีย์ทองคำ
ทำไมกับดักมรณะถึงได้กลายเป็นกับดักเคลื่อนย้ายและส่งเข้ามาในสุสานที่แท้จริง? เจียงอี้ไม่สามารถหาเหตุผลได้แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างแล้ว อย่างน้อยเขาก็ยังปลอดภัยและยังได้โชคครั้งใหญ่โดยการถูกส่งเข้ามาในห้องเก็บสมบัติ!
เจียงอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า เขาไม่ได้แตะต้องสมบัติเหล่านั้นในทันที แต่เลือกที่จะโค้งคำนับและแสดงความเคารพต่อโครงกระดูกตรงหน้าก่อนจะกล่าว
“ผู้อาวุโส ข้าน้อย เจียงอี้ ไม่ได้ตั้งใจที่จะรบกวนการพักผ่อนของท่าน โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย”
จากนั้นเจียงอี้ก็ละสายตาจากโครงกระดูกและเริ่มตรวจสอบรอบๆ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นห้องนอนของราชันสวรรค์หมื่นมังกร มีสมบัติแทบจะทุกแขนงถูกแขวนไว้บนผนัง มีทั้งกระบี่ยักษ์โบราณ, หยกที่ส่องประกายความบริสุทธิ์, กู่ฉิน[1]ที่ทำจากหยกและดาบสงคราม
ด้วยการประมาณอย่างคร่าวๆดูเหมือนว่าจะมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยชิ้น…
“พวกมันเหล่านี้คือสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณ? หรือจะเป็นระดับสวรรค์? คงไม่ใช่ว่า… พวกมันจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ในตำนานหรอกนะ?!”
เจียงอี้รู้สึกตาลายจนแทบจะเป็นลม ราชันสวรรค์หมื่นมังกรเป็นยอดคนผู้ทรงพลังซึ่งยากจะหาผู้ใดเทียบเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ในยุคนั้น เขาชื่นชอบสมบัติและแทบจะกวาดสมบัติทั่วทั้งทวีปมาเป็นของตน
หากที่นี่เป็นห้องนอนของราชันสวรรค์จริงอย่างที่เขาคิด เช่นนั้นสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดจะต้องเป็นสมบัติที่สามารถสั่นสะเทือนยุทธภพได้อย่างแน่นอน!
มนุษย์ทุกคนผู้ซึ่งยังละกิเลสไม่ได้ต่างก็ชื่นชอบสมบัติ มันคือสัญชาตญาณขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับเผ่ามังกรที่ชอบเก็บสะสมวัตถุที่ส่องแสงมันวาว เจียงอี้ไม่มันใจว่าจะเกิดอันตรายหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถระงับความปรารถนาไว้ได้
เขาตรงดิ่งไปยังโต๊ะตัวหนึ่งและมองเห็นดาบซึ่งมีสีเขียว เพียงแค่มองแวบเดียวเขาก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดา
เจียงอี้ยืนอยู่ถัดจากโต๊ะตัวนั้น เขาโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่ดวงตาจากนั้นก็ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัย จากนั้นเขาถึงจะยื่นมือไปจับดาบ
ทันทีที่มือของเจียงอี้สัมผัสกับดาบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้น เขาค้นพบว่าตัวเขาที่เป็นจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกซึ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าหกตัว สามารถยกของที่หนักสามร้อยห้าสิบกิโลกรัมได้ด้วยมือข้างเดียวกลับไม่สามารถยกดาบเล่มนี้ได้!
สวรรค์… นี่มัน!!
เจียงอี้หมุนเวียนแก่นแท้พลังอย่างบ้าคลั่งและลองยกดาบขึ้นอีกครั้ง ปรากฏว่ามันไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
มันคือข้อจำกัด มันจะต้องเป็นข้อจำกัดของดาบเล่มนี้! ใช่แล้ว… แก่นแท้พลังสีดำ!
เจียงอี้รีบโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่ฝ่ามือและยกดาบขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด เพราะดาบยังคงตั้งอยู่บนโต๊ะเช่นเดิมและไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว
เช่นนั้นก็ลองกู่ฉินหยก!
เจียงอี้หันไปทางกู่ฉินหยกที่แขวนอยู่บนกำแพง เขาลองใช้มือสัมผัสมัน แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ มันราวกับว่ากู่ฉินตัวนี้ได้ผสานเป็นส่วนหนึ่งกับกำแพงและไม่สามารถยกออกมาได้
“บัดซบ!” เจียงอี้คร่ำครวญในใจ เขาโคจรแก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือและกระแทกใส่กู่ฉินหยกด้วยความหงุดหงิด
ปังงงง!
ทันใดนั้นเองกู่ฉินหยกก็เปล่งแสงสีขาวออกมาพร้อมกับพลังอันน่ากลัวซึ่งซัดเจียงอี้ลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร แต่สิ่งนี้ก็ยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มีข้อจำกัดในการใช้อยู่!
เมื่อกู่ฉินหยกหม่นแสงลง เจียงอี้ที่ตั้งหลักได้แล้วก็รีบทะยานเข้ามาและพยายามออกแรงดึงมันอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สัมฤทธิ์ผล
“ต้องลองอันอื่น!”
เจียงอี้ไม่เชื่อว่าเขาจะโชคร้ายเช่นนี้ เขาเดินไปรอบๆและลองเสี่ยงโชคกับสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดในห้องโถง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มันช่างน่าเศร้านักที่ได้เข้ามาในห้องเก็บสมบัติแต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายสมบัติใดๆได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
มันไม่ถูกต้อง!
เจียงอี้ผู้กำลังท้อใจบังเอิญนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาถูกดึงดูดความสนใจโดยโครงกระดูกและสมบัตินานๆชนิด แต่เขากลับหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
ดูเหมือนว่า… ห้องโถงด้านในก็จะเป็นเหมือนกับห้องโถงขนาดใหญ่ มันคือพื้นที่ที่ถูกปิดตาย เขาก็แค่หลบหนีออกจากคุกแห่งหนึ่งและมาโผล่ยังคุกอีกแห่งหนึ่งก็เท่านั้น แม้ว่าจะมีสมบัติมากมายแต่หากไม่สามารถนำมันออกจากที่นี่ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
[1] กู่ฉิน – เครื่องดนตรีที่คล้ายกับพิณ