ตอนที่ 19: ลุ่ยลุ่ย เจ้าหัวขโมย! [ฟรี 02 พ.ค. 63]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 19: ลุ่ยลุ่ย เจ้าหัวขโมย!
ในที่สุด เขามีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเป็นของตัวเองเสียที
ยวินหยางอ่านสารานุกรมพร้อมภาพประกอบสัตว์ร้ายนานาชนิดของวายุยิ่งใหญ่ก่อนเริ่มศึกษาสิ่งมีชีวิต เขาดึงหูพวกมัน มองท้อง พลิกเปลือกตา มองเข้าไปในรูจมูก ดูลำคอและแม้กระทั่งส่งลมปราณวิเศษจำนวนน้อยเข้าสู่ร่างกายขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบ การทดสอบทั้งหมดนี้ตรงกับคุณลักษณะที่อยู่ในตำรา
สุดท้าย เขายืนยันได้ว่านี่คือลูกของสัตว์ร้ายวิเศษเริ่มต้นชั้นที่เก้า เสือดำคราส!
เสือดำคราสรวดเร็วดุจสายลม ปรับสภาพด้วยการพรางตัวและปกปิดได้ดียิ่ง ปราดเปรียวมากยามล่าเหยื่อ ไม่น่าแปลกที่มันจะมีฉายาว่า “นักฆ่าในหมู่สัตว์ร้ายวิเศษ” เสือดำคราสโตเต็มวัยสามารถกินทองและหยกยังชีพได้ ไม่อาจถูกทำลายได้ด้วยผิวหนังที่อ่อนนุ่มดุจสัมฤทธิ์ กระดูกที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า
ยวินหยางดีอกดีใจ
กระแสความอยากรู้อยากเห็นน้อยกว่าความสุขที่เขารู้สึกได้จากการค้นพบ ตัวตนที่แท้จริงของพี่แปด วายุยิ่งใหญ่ คืออะไร? ตระกูลซีเหมิน ติดอยู่ในแปดอันดับต้น ๆ รวมถึงสหายของซีเหมินวั่นไต้ดูให้ความสำคัญกับสถานะของนายน้อยไม่น้อย แม้กระทั่งอารักขาและข้ารับใช้ล้วนเป็นยอดฝีมือ พวกเขาไม่สงสัยสิ่งใดขณะสิ่งมีชีวิตหายากยิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ใต้จมูก แต่ละครอบครัวมีปัญญาที่สั่งสมมานับพันปี แต่ความรู้กลับตื้นเขินเมื่อเทียบกับตำราที่ถูกโยนอย่างมักง่ายมาอยู่ข้างหมอนของวายุยิ่งใหญ่!
ต่อให้แต่ละพื้นที่มีเจ้านาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียบง่าย
ยวินหยางเก็บคำถามเอาไว้ในใจ ตั้งใจจะหาตัวตนของพี่แปดและทำภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้นของพี่น้องให้เสร็จสิ้น
ทว่า ต้องเรียงตามลำดับก่อน เขาต้องฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บและยกระดับการฝึกฝนก่อนจึงสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูซึ่ง ๆ หน้าได้!
“นายน้อย ท่าน…” เหล่าเหมยตกตะลึง
เมื่อหนึ่งวันก่อน นายน้อยของเขาออกไปแล้วกลับมาพร้อมลิงกับหญิงสาวกระตือรือร้น วันนี้ นายน้อยออกไปอีกครั้ง คราวนี้ เขานำแมวห้าตัวกลับบ้าน… รวมถึงคนใกล้ตายอีกคน
“นายน้อย ครั้งต่อไปที่กลับบ้าน ท่านจะเอาฝูงหมาป่านับร้อยหรือนับพันกลับมาด้วยหรือเปล่า? หรืออาจจะเป็นกลุ่มชายหญิงขนาดใหญ่อีกกลุ่มหรือไม่?” เหล่าเหมยทั้งขบขันและสยองกับความคิดดังกล่าว
“ไม่มีอะไรจริง ๆ แค่สัตว์เลี้ยงนิดหน่อยเอง” ยวินหยางแจ้งข้ารับใช้ชายด้วยความจริงจังยิ่ง “แจ้งหม่าและฉินว่าให้มาที่พักยวินคืนนี้ บอกพวกเขาว่ามีบางสิ่ง อะแฮ่ม มีของดีให้พวกเขาในครั้งนี้”
เหล่าเหมยอยากส่ายหน้า
แจ้งพวกเขาหรือ?
พวกเขายังกล้ามาอีกหรือ?
นายน้อยพวกนี้ยังบอบช้ำไม่มากพออีกหรือ?
“ข้ามั่นใจว่าครั้งนี้พวกเขาจะมา” ยวินหยางประกาศอย่างมั่นใจ
“…” เหล่าเหมยสับสนกับการโน้มน้าวของยวินหยาง เมื่อกำลังจะไป ยวินหยางหยิบถุงใบเล็กออกมาแล้วส่งให้เขา
“มีทรัพยากรการฝึกฝนบางส่วนอยู่ข้างใน โปรดใช้พวกมัน ไม่ช้าเจ้าจะสามารถพัฒนาสู่ระดับที่หกขั้นสูงสุดหรือดีกว่านั้นได้”
หลังจากคำนับ เหล่าเหมยรับถุงแล้วจากไป เมื่อเขาไปพ้นจากสายตาของยวินหยางแล้วจึงเปิดถุงก่อนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มือสั่นเทาอย่างรุนแรงจนแทบทำถุงตก
ข้างใน หินวิเศษ 50 ก้อนและคริสตัลวิเศษ 10 ก้อนทอประกายระยิบระยับสดใสพร้อมแผ่ลมปราณวิญญาณออกมา นี่คือมณีประมาณค่ามิได้ที่จะช่วยเร่งการฝึกฝนได้ดียิ่ง!
“นายน้อยไปได้ของพวกนี้มาจากไหน? แถมยังได้มาเยอะอีก!” เหล่าเหมยครุ่นคิด หัวใจเอ่อล้นด้วยความอบอุ่น เป็นเวลายาวนานมาห้าปี เขาติดอยู่ที่ระดับที่ห้าขั้นสูงสุด แต่ด้วยสิ่งนี้ ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับที่หกได้!
มีหลักฐานสำหรับผู้ฝึกยุทธผู้อยากฝึกฝนถึงระดับของยอดฝีมือที่แท้จริงกล่าวไว้ว่า “หกจักระที่ถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เกิดคือสิ่งเหลือเชื่อ ด้วยสิ่งนั้น สามารถก้าวเข้าสู่ระดับฌานได้ ทว่าสวรรค์กำหนดชะตากรรมเอาไว้เพียงสามส่วน อีกเจ็ดส่วนจะก่อเกิดหรือถูกทำลายนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
นี่หมายความว่ามีเพียงหกจักระที่ถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เกิดเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธลมปราณวิเศษได้ แม้จะเป็นเช่นนั้น หกจักระที่ถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เกิดเป็นเพียงของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ ไม่มีสิ่งใดก่อเกิดหากไร้ซึ่งความพยายาม
ยังมีสุภาษิตที่เกี่ยวข้องอีกว่า… “จุดสูงสุดทั้งสิบสองของระดับทักษะ คือความแตกต่างของสวรรค์แต่ละชั้น!”
ปราชญ์เคยประกาศว่า “การฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธคล้ายกับการแบกเขาไว้บนบ่า มีเพียงการเดินทางสู่จุดสูงสุดเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเห็นจุดสูงสุดต่อไปได้”
สุภาษิตโบราณเก่าแก่นี้หมายความว่าผู้คนจะต้องเชื่อเสมอว่าไม่มีภูเขาลูกไหนสูงไปกว่าลูกที่ตัวเองรู้จัก ก่อนมาถึงจุดสูงสุดลูกแรก เจ้าจะไม่มีวันรู้ว่ายังมีเขาลูกที่สูงกว่าอยู่ในโลกใบนี้จนกว่าจะไปถึงลูกแรกได้ ความลึกลับนี้เป็นความรู้สามัญที่เรียกกันว่าอุปสรรคความรู้
จากนั้นยังมีคำกล่าวอีกว่า “เพื่อไปถึงสวรรค์ ต้องไขว่คว้าจุดสูงสุดมาให้ได้ เมื่อนั้น สวรรค์จะคงอยู่” มันหมายความว่า “โลกใบใหม่รอคอยผู้ที่ไปถึงจุดสูงสุดของภูเขา” ดังนั้น “มีจุดสูงสุดทั้งสิบสองของระดับทักษะกับความแตกต่างของสวรรค์แต่ละชั้น จงพิชิตทั้งสิบสองระดับ จงหาญกล้าพอที่สวรรค์ชั้นเก้าจะปรากฏ!”
มันคล้ายกับเรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย เจือไปด้วยความขบขัน ไร้อารมณ์ แต่มันเป็นความจริงที่ผสานกันอย่างลงตัว!
…
“ข้ากลับมาแล้ว!” จี้หลิงมีสัตว์สีเงินตัวน้อยผู้ขลาดกลัวนั่งอยู่บนไหล่ขณะพุ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“ดูสิ ข้าซื้อหมาป่าสวรรค์จันทราเงินมาด้วย! เจ้าคิดว่าไง? เจ้าหมายถึงสหายตัวน้อยนี้ใช่หรือไม่?”
ยวินหยางก้าวไปข้างหน้าขณะมองดูก่อนพยักหน้าเพื่อยืนยัน “ใช่ ใช่ นั่นแหละ! เจ้าโชคดีนะที่ก่อนหน้านี้ไม่โดนแย่งไปเสียก่อน”
ดวงตาของจี้หลิงทอประกายอย่างยินดี “ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้านั่นแหละ! ทั้งตลาดยังพูดถึงเรื่องการเดิมพันอันน่าตกตะลึงของเจ้าจนไม่มีใครมีอารมณ์ทำธุรกิจต่อแล้ว…” นางยอมรับ
“ฮ่าฮ่า…” ยวินหยางหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเริ่มฝึกสัตว์เลี้ยงของเจ้าพรุ่งนี้”
“พวกเราเริ่มตอนนี้เลยไม่…”
ยวินหยางขัดคำขอนางก่อนจะทันกล่าวจบด้วยบรรยากาศดูแคลน
“ยังมีหลายอย่างที่ข้ายังทำไม่เสร็จในวันนี้ เจ้าไม่เห็นว่ามีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
“เจ้าสารเลวคนนี้เห็นแก่ตัวจริง เขาเสียมารยาทและไม่โอนอ่อนกับสาวน่ารักได้ยังไงกัน?” จี้หลิงพึมพำใต้จมูกขณะกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจก่อนทำหน้ามุ่ยแล้วจากไป
นางไม่ได้พูดเบาอย่างที่คิด ดังนั้นยวินหยางย่อมได้ยิน มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
ความไม่เห็นแก่ตัวคืออะไร? กินได้หรือเปล่า? ทำไมผู้ชายต้องไม่เห็นแก่ตัวกับสาวน่ารักด้วย? ทำไมพวกเขาต้องประนีประนอม? ถ้าสาวน่ารักคนนี้จะกลายเป็นภรรยาของชายผู้นี้ในตอนท้าย อาจจะเป็นเรื่องถูกที่ยอมถอยให้ แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะเป็นภรรยา ข้าควรถอยเพียงเพราะเจ้าเป็นผู้หญิงงั้นหรือ?
ข้ายอมขุดหลุมฝังตัวเองดีกว่าจะแสดงความไม่เห็นแก่ตัว!
ยวินหยางไม่พูดประโยคเหล่านี้ออกไป แน่นอน ถ้าเหล่าเหมยรู้ความคิดของยวินหยางเข้า เขาจะต้องตอบอย่างโกรธาว่า “นายน้อย มีเหตุผลที่ทำไมท่านยังไม่เนื้อหอมทั้งที่อายุปาเข้าไป 19 แล้ว!”
…
ยวินหยางมุ่งหน้าสู่ห้องจนกระทั่งรู้สึกถึงความไม่สบายเลือนราง เป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขาไม่สามารถจับได้ว่าความรู้สึกดังกล่าวมาจากไหน แต่เมื่อไปถึงข้างชายผู้บาดเจ็บสาหัสก็ทำให้เกิดความคิดขึ้นมา
ทำไมมีผงหล่นลงมาจากท้องของข้าล่ะ?
เขาเอามือเข้าไปในชุดคลุมตามสัญชาตญาณ ขณะสูดดมฟุดฟิด เขาหยิบถุงที่อยู่ข้างในทันที ของทุกอย่างเหมือนเดิม… เว้นแต่ว่าถุงที่มีขนาดใหญ่เมื่อครู่นี้หดจนเหลือขนาดไม่ถึงครึ่งของขนาดเดิม
ดวงตาของยวินหยางเบิกกว้างเท่ากระดิ่งทองแดงสองใบ มันเกิดอะไรขึ้น?
ขณะเปิดถุง เขามองเห็นได้ว่าข้างในยังเหมือนเดิม หินวิเศษ คริสตัลวิเศษและยาเม็ดวิเศษที่ได้มาจากการเดิมพันในวันนี้
ยาเม็ดวิเศษไม่แปรเปลี่ยน ยังเหลืออยู่อีกสองเม็ด
ทว่า หินวิเศษ… พวกมันไม่ได้มีมากเท่าแต่ก่อน พวกมันทั้งสองร้อยก้อนกำลังหายไปได้อย่างไร? หินที่เหลืออยู่คล้ายกับมีขนาดหดลงไปด้วยเช่นกัน!
คริสตัลวิเศษก็ด้วย น่าจะเหลืออีกสามสิบก้อน ข้าให้เหล่าเหมยไปห้าก้อน น่าจะเหลืออีกยี่สิบห้าก้อนสิ ทำไมถึงเหลือแค่… สิบสามก้อนล่ะ?
อีกสิบสองก้อนหายไปไหน?
ข้างของเหล่านี้ มีผงจำนวนมากอยู่ในห่อ
ยวินหยางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยขณะมองดู
หินวิเศษและคริสตัลวิเศษของข้า… ล้วนกลายเป็นผงงั้นหรือ?
ยวินหยางเข้าสู่จิตใต้สำนึกอย่างบอบช้ำจนเห็นว่าใบบัวแห่งโชคชะตาอนันต์กำลังแกว่งไกวด้วยความยินดี ถึงแม้ใบบัวใบที่สองจะยังไม่เติบใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่าเฉดสีมีความเข้มคมชัดมากขึ้น หมอกใสกระจ่างดุจคริสตัลควบรวมอยู่ที่รากของดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์ ยวินหยางสั่นสะท้านจนปวดหัวขณะมองดู
นี่ไม่ใช่ลมปราณวิเศษที่ถูกขัดเกลาละเอียดที่สุดภายในคริสตัลวิเศษและหินวิเศษหรอกหรือ?
ข้ากำลังสงสัยอยู่เลยว่าพวกมันกลายเป็นผงได้อย่างไร…พวกมันถึงกับถูกขโมย!
“เจ้าหัวขโมยน่ารังเกียจ!” ยวินหยางชำเลืองมองต้นอ่อนอย่างคลุ้มคลั่ง
ทรัพยากรการฝึกฝนที่หามาได้จากการผิดใจกับครอบครัวซีเหมินในเกมแห่งการช่วงชิงถึงกับหายไปเพราะดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์ดอกนี้ในพริบตา!
ราวกับสัมผัสถึงความโกรธของยวินหยางได้ ต้นอ่อนขนาดเล็กแกว่งไกวแผ่วเบา ใบขดไปมาราวกับสำนึกผิด ด้วยท่วงท่าดังกล่าว มันถึงกับหาทางแสดงอาการประหม่า ราวกับเด็กเกเรที่ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ “อา ข้ารู้ว่าข้าผิด…”
ภาพอันมีเสน่ห์ทำให้อารมณ์ของยวินหยางหายไปในอากาศทันที
“หยกเยือกแข็งที่ทำให้ข้าสงบลงได้บนคอ แขน ใต้หมอนและในช่วงที่ข้าเล่าเรียนก่อนหน้านี้… เจ้าขโมยพวกมันไปหมดงั้นหรือ?”
ใบของต้นอ่อนโค้งมากขึ้นจนแทบจะเป็นกระดิ่งขณะแกว่งไกวเล็กน้อย
ถึงจะรู้สึกขบขันแต่ก็น่าหงุดหงิดเหลือคณา ในที่สุดยวินหยางเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ดูท่าเจ้าตัวน้อยนี้ไม่ได้ต้องการเพียงความอยุติธรรมเพื่อเติบใหญ่ แต่รวมถึงลมปราณวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีด้วย นั่นหมายรวมถึงอากาศบริสุทธิ์จากวัตถุดิบและมณีล้ำค่าจากปฐพี
สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคืออากาศแห่งความอยุติธรรมสามารถเพิ่มการเติบโตของใบและเร่งความเร็วของกระบวนการยกระดับ ขณะที่ลมปราณวิญญาณจากทั้งสวรรค์และปฐพี รวมถึงวัตถุดิบกับมณีล้ำค่า สามารถช่วยให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้
“เหมือนกับเด็กที่อยากตัวสูงและแข็งแกร่งขึ้นเลย…” ยวินหยางยอมรับ “เอาล่ะ คราวหน้าอย่าแอบทำอีก บอกมาตรง ๆ เลย แต่ถ้าเจ้าแตะต้องของที่ข้าต้องใช้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
สิ้นเสียง ‘หวา’ แผ่วเบา ใบไม้คลายการขดทันทีขณะต้นอ่อนแกว่งไกวอย่างมีความสุข ร่ายรำเพื่อเฉลิมฉลอง
ยวินหยางสามารถรู้สึกถึงความยินดีที่แผ่ออกจากต้นอ่อนอย่างชัดเจนจนมุมปากของเขาอดที่จะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างแห่งความสุขไม่ได้
ดอกบัวที่สามารถเข้าใจคำพูดของข้าได้อย่างนั้นหรือ?
ยวินหยางรู้สึกอยากหัวเราะมากขึ้นเมื่อคิดแบบนั้น ใครจะเชื่อข้าล่ะหากกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป? ยวินหยางมองต้นอ่อนสันไหวก่อนลำแสงสีเขียวสาดส่องตรงไปที่เส้นลมปราณราวกับเป็นรางวัล จากนั้น ยวินหยางรู้สึกถึงสัมผัสเย็นสบายทั่วร่างกายขณะพลังชีวิตยากจะบรรยายปกคลุมเส้นลมปราณ บาดแผลที่เขาได้รับจากการโจมตีของซีเหมินวั่นไต้หายไป ความเจ็บปวดทุเลา ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกมีชีวิตชีวา จิตใจถูกชะล้างจนกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง
สหายตัวน้อยนี้สามารถรักษาข้าได้งั้นหรือ? ยวินหยางยินดีขณะถามว่า “รากฐานการฝึกฝนของข้าจะฟื้นคืนเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ด้วยหรือเปล่า?” ยวินหยางปรารถนาความสามารถเช่นนั้นมานานแล้ว! หากไม่มีพวกมัน เขาไม่สามารถแม้แต่จะหวังให้อะไรสำเร็จได้
ต้นอ่อนแกว่งไกว คล้ายกับส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง
ในที่สุดยวินหยางถามจนได้คำตอบคลายความสงสัย
ดูท่ารากฐานการฝึกฝนของเขาจะไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก หลังจากดอกบัวหลอมรวมเข้ากับเลือดและเส้นลมปราณ มันกลืนกินรากฐานการฝึกฝนเข้าไป โอกาสที่จะเกิดใหม่คล้ายกับกลุ่มควัน เมื่ออากาศแห่งความอยุติธรรมมาเยือน เมื่อนั้นมันจะบานสะพรั่ง
ที่น่าแปลกก็คือเขาสามารถสัมผัสได้ว่าต้นอ่อนพยายามส่งสารมีนัยมาให้ “พลังของเจ้าเน่าเฟะไปแล้ว… มันไม่มีผลอะไรหรอกต่อให้เจ้ามีหรือไม่มี”
ยวินหยางรู้สึกคลุมเครือกับเรื่องนี้ก่อนยอมรับความจริงที่เขาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
“มันลำบากใจที่จะเรียกเจ้าว่าต้นอ่อนหรือดอกบัวแห่งโชคชะตาอนันต์ทุกวัน ทำไมไม่ให้ข้าตั้งชื่อใหม่ให้ล่ะ?” ยวินหยางถามอย่างเป็นมิตร “เจ้ามีรูปทรงแบบหวายที่มีดอกและใบ เถิงเถิง? มั่นมั่น? ฮัวฮัว? เย่เย่? เหลียนเหลียน? ลุ่ยลุ่ย?”
ต้นอ่อนแกว่งไกวด้วยความไม่เห็นด้วยจนกระทั่งถึงชื่อสุดท้าย ‘ลุ่ยลุ่ย’ ถูกพูดขึ้นมา มันไม่ขยับสักพักก่อนทำท่าพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย
มันถึงกับต้องการชื่อนี้งั้นหรือ?
ยวินหยางรู้สึกถึงอาการปวดหัวที่ใกล้เข้ามา ในบรรดาทุกชื่อ ชื่อที่เขาคิดว่าแย่ที่สุดและไม่อยากยอมรับมากที่สุดถึงกับเป็นลุ่ยลุ่ย ด้วยเหตุนี้เขาเลยจัดไว้อยู่อันดับสุดท้าย
ใครจะรู้ล่ะว่าชื่อที่เขาตัดทิ้งไปเพราะแย่ที่สุดจะถึงกับได้รับการยินยอม?
ลุ่ยลุ่ย…
“โอไม่… ลุ่ยลุ่ย…” ยวินหยางตบหน้าผาก รู้สึกจนคำพูด “นี่ข้าตั้งชื่อน่ารังเกียจให้เจ้าไปได้อย่างไร?”
ในจิตใต้สำนึกของเขา ลุ่ยลุ่ยหมายถึงลูกคลื่นรื่นเริง หนึ่งในไม้เลื้อยที่ม้วนและบิดงอเป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลอง นั่นทำให้เกิดความคิดตั้งชื่อดังกล่าวขึ้นมา
“ลุ่ยลุ่ย!” ยวินหยางนึกออกว่ายังมีงานต้องทำ “เจ้าคิดหาทางหน่อยสิ ชายที่อยู่ในห้องของข้าต้องรอด!”
ลุ่ยลุ่ยคล้ายกับตกตะลึง แต่ไม้เลื้อยยังโบกไปมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีปัญหา!”