25 อสูรเหล็ก พายุกำลังมา
25 อสูรเหล็ก พายุกำลังมา
นักเรียนคลาสสามัญหลายสิบคน ต่างกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่ใกล้กับบริเวณทางเข้ายิม ในเวลานั้นเอง พวกเขาก็สังเกตได้ถึงบางอย่าง จนทำให้แต่ละคนทำบาร์เบลหลุดมือ พวกเขามองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว และกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เป็นพลังที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้ นี่คือ...?”
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านเข้ามาทางประตูบานใหญ่ ร่างยักษ์ใหญ่ร่างหนึ่งได้เดินเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์จนหายลับไปครึ่งหนึ่ง กลายเป็นภาพเงาร่างที่น่าหวาดกลัวสำหรับนักเรียนที่อยู่ภายในยิม และทำให้พวกเขาต่างตัวสั่นไปด้วยความกลัว
“เขา...เขาคือ เว่ยเถีย!”
เด็กนักเรียนบางคนพูดพึมพำออกมาอย่างไร้สติ ก่อนที่จะหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเอง พวกเขารีบเอามือปิดปากของตัวเอง เกิดเป็นเสียงดัง “กึก กึก” ของฟันที่กำลังกระทบกัน ดังออกมาจากช่องว่างของนิ้วมือที่ใช้ปิดปากเอาไว้
คนคนนี้มีส่วนสูงถึง 210 เซนติเมตรและทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาดูราวกับสัตย์อสูรร่างยักษ์ที่สวมเกราะเหล็กเอาไว้ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “อสูรเหล็ก” เว่ยเถีย เว่ยเถียเป็นเด็กนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในคลาสปกติ และยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความร้ายกาจด้วย!
มีข่าวลือว่า เขาได้รับยาเสริมความแข็งแกร่งในปริมาณที่มากเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้ร่างกายของเขาเกิดการทำงานผิดปกติ กล้ามเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การตื่นของรากวิญญาณกลับตรงกันข้าม ดังนั้น เขาจึงไม่ได้รับสิทธิในการเข้าเรียนในคลาสพิเศษ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาเลย เพราะสิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือพละกำลังของเขา และเขายังแข็งแกร่งกว่านักเรียนชั้นยอดบางคนในคลาสพิเศษด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า ความแข็งแกร่งและอารมณ์โมโหร้ายของเขา ก็คือการที่เขาชื่นชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า หลังจากที่เขาเรียนมาจนถึงชั้นปีที่สาม และเพราะเขาไม่ได้รับสิทธิให้เข้าเรียนในคลาสพิเศษ มันจึงทำให้อารมณ์ของเขาเลวร้ายลงกว่าเดิมมาก เขากระหายเลือดอย่างบ้าคลั่ง เขาบ้าคลั่งถึงขนาดที่ว่า ได้ชกต่อยครูในโรงเรียนไปหลายคน!
หากพูดให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น นักเรียนทุกคนในคลาสพิเศษ ต่างก็เป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง จึงมีโอกาสน้อยมาก ที่พวกเขาจะเดินสวนกับเด็กปลายแถวอย่างนักเรียนของคลาสสามัญ ด้วยความถือตัวของพวกเขา จึงไม่มีใครในคลาสพิเศษเต็มใจที่จะลงมารังแกเด็กในคลาสสามัญ
ดังนั้น ในสายตาของเด็กคลาสสามัญ การมาถึงของอสูรเหล็กเว่ยเถียนั้น น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเฮ่อเหลียนเลี่ยด้วยซ้ำไป!
“ฉันได้ยินมาว่า อสูรเหล็กเว่ยเถี่ยได้พกสมุดเล่มหนึ่งไว้กับตัว เอาไว้สำหรับจดบันทึกลงไปว่า ในแต่ละเดือนเขาได้หักกระดูกคนไปแล้วกี่ท่อน มีข่าวลือมาว่า เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้หักกระดูกคนไปถึง 22 ท่อน และเดือนนี้เขาก็ต้องการที่จะทำลายสถิติของเดือนก่อนอีกด้วย!”
นักเรียนหลายคนในคลาสสามัญต่างมองหน้ากัน พวกเขาได้ส่งสายตาให้กันเป็นสัญญาณเตือนกลายๆ พวกเขาแยกออกเป็นสองฝั่งโดยที่ไม่ต้องมีใครบอก
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาช้ากว่าเพื่อน เขาได้นอนยกดัมเบลและเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง ศีรษะของเขาก็ถูกฝ่ามือยักษ์ของเว่ยเถียจับเอาไว้แล้ว เว่ยเถียยกชายคนนั้นขึ้นมาและพูดออกไปว่า “เพื่อน ในคลาสของนาย มีใครที่ชื่อว่าหลี่เย้าบ้างไหม?”
นักเรียนที่น่าสงสารคนนี้มีส่วนสูงอยู่ที่ 189 เซนติเมตร และถือเป็นคนที่สูงมากคนหนึ่งในคลาสสามัญ แต่เมื่ออยู่ภายใต้ฝ่ามือยักษ์ของเว่ยเถียแล้ว เขาก็ไม่ต่างไปจากของเล่นชิ้นเล็กๆเลย เขาสะบัดขาไปมาด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของเขาแดงก่ำจากการหายใจไม่ออก เขาถูกมือใหญ่บีบไปที่ศีรษะ แล้วได้ตะโกนออกมาว่า “พี่ใหญ่เถีย ผม...ผมไม่รู้! ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย!”
“ฮึ่ม!” เพียงชำเลืองตามอง เขาก็โยนร่างของนักเรียนที่หนัก 75กิโลกรัมออกไปราวกับขยะชิ้นหนึ่ง ร่างของนักเรียนคนนั้นปลิวไปไกลกว่า 20 เมตรและชนเข้ากับกลุ่มนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง จนทำให้นักเรียนหญิงเหล่านั้นกรีดร้องออกมา
แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นหน้าของเว่ยเถีย ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พวกเขาก็รีบหุบปาก ราวกับแม่ไก่ที่ถูกเชือดคอด้วยมีดที่คมกริบ
ทั่วทั้งยิมเงียบสงัดจนน่าขนลุก นักเรียนทุกคนที่อยู่ภายในยิมพากันตัวสั่นงันงก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ และแม้แต่ครูก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างหวั่นใจ ภายในหัวของทุกคนมีความคิดหนึ่งวนเวียนอยู่:
“ปีศาจตัวนี้มาที่นี่เพื่อหาเรื่องใครบางคน? คนที่ชื่อหลี่เย้า? เจ้าหลี่เย้าโชคร้ายซะแล้วล่ะ!”
“พี่ใหญ่เถีย พี่ใหญ่เถีย!” เมิ่งเจียงได้ยินเสียงซุบซิบจากนักเรียนรอบๆ
เขาได้ยินว่า อสูรเหล็กคนนี้กำลังมองหาเพื่อนสนิทของเขาอยู่? ใบหน้าของเมิ่งเจียงก็ซีดลง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังรีบวิ่งออกไปจากฝูงชน เขาได้เข้าไปขว้างทางเว่ยเถียเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และพูดออกมาว่า “พี่ใหญ่เถียครับ คุณกำลังมองหาคนที่ชื่อหลี่เย้าอยู่เหรอครับ? ดูเหมือนว่าเขาจะปวดท้อง แล้วเพิ่งจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้นี้เองครับ!”
“อ้อ?”
เว่ยเถียหยุดก้าวเดิน เขาเหลือบสายตาไปจ้องหน้าเมิ่งเจียงและหัวเราะออกมา แล้วอยู่ๆ เขาก็ส่งลูกเตะเข้าใส่หน้าท้องของเมิ่งเจียง!
ดวงตาของเมิ่งเจียงแทบถลนออกมา เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วอาเจียนออกมา
“ไร้สาระ ฉันไปถามแกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เว่ยเถียพูดอย่างเย็นชา เขาหันหน้าออกไปมองดูรอบๆและเลือกใครบางคนในกลุ่มนักเรียน จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เธอ ออกมา!”
กลุ่มนักเรียนได้แยกตัวกันออก เผยให้เห็นนักเรียนหญิงร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่ออยู่ภายใต้รังสีที่น่าหวาดหวั่น เธอก็ดูราวกับดอกไม้ที่ไร้สีสัน เธอไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเดินตรงเข้าไปหาเว่ยเถียด้วยร่างกายที่สั่นเทาไปด้วยความกลัว เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทีที่ดูแย่ยิ่งกว่าการร้องไห “เถีย พี่ใหญ่เถีย”
“เด็กดี บอกพี่ใหญ่เถียมาซิ เธอบอกฉันมาได้ไหมว่าหลี่เย้ามันอยู่ที่ไหน?” เว่ยเถียยิ้มออกมา เผยให้เห็นฟันกลามที่แข็งแกร่ง
“ฉัน...ฉันไม่รู้” เด็กสาวส่ายหัวของเธอด้วยความหวาดกลัว
“เธอไม่รู้เหรอ? ถ้าเธอไม่รู้ เธอก็ไม่ถามคนอื่นมาเซ่!” เว่ยเถียจ้องเขม็งไปที่เธอ และส่งเสียงคำรามออกมา
เด็กสาวขาอ่อนยวบจนแทบจะล้มลงไปบนพื้น เขาค่อยๆเคลื่อนตัวกลับไปที่กลุ่มเพื่อนของเธอด้วยความหวาดกลัว แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ทุกคน มีใครในนี้เคยเห็นหลี่เย้าไหม?”
โรงยิมนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก และส่วนที่หลี่เย้ากำลังฝึกอยู่ก็ไม่ใช่ที่ลับสายตาคน ไม่นาน เขาจึงถูกค้นพบ
เว่ยเถียพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา เขาหันคอที่หน้าพอๆกับช่วงเอาของเด็กผู้หญิงไปทางนั้น แล้วจึงก้าวขายาวๆตรงไปยังมุมที่หลี่เย้าอยู่
ทุกคนต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้เว่ยเถียและหลี่เย้า และยิ่งไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปเตือนหลี่เย้าเลย เด็กสาวบางคนที่ขวัญอ่อนได้เอามือปิดตาของตัวเองไว้ เพราะกลัวว่าจะได้เห็นภาพเหตุการณนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้น คนที่ขาดกลัวบางคนได้พยายามแอบหนีออกไปจากโรงยิม ไม่มีใครรู้ได้ว่า พวกเขาออกไปเพื่อเรียกครูหรือตั้งใจหนีไปจริงๆ
สำหรับหลี่เย้านั้น เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการรัวหมัดของเขาอยู่ จิตใจของเขาลอยไปอยู่กับเสียงเพลงจนสามารถทะลุเมฆและแยกหินได้ เขาปล่อยใจไปกับการระเบิดพลังตามจังหวะของเสียงเพลง และเขาก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านหลังเขาเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุด เว่ยเถียก็เดินไปถึงด้านหลังของหลี่เย้า ด้วยรังสีสังหารที่ลอยวนอยู่รอบกายเขา เขาดูไม่ต่างไปจากสิงโตตัวหนึ่ง ที่ท้องกำลังร่ำร้องไปด้วยความหิวกระหาย และกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเจ้ากระต่ายน้อยตัวหนึ่ง
“นายคือหลี่เย้าเหรอ? มีคนให้เงินฉันมา 50,000 เหรียญ เพื่อมาหักกระดูกนาย 10 ท่อน สุดท้ายแล้ว ฉันควรจะหักกระดูกส่วนไหนของนายดีล่ะ?”
ในตอนที่เว่ยเถียพูดประโยคนี้ออกมา ถ่อนสุดท้ายของเพลง “พิชิตจักรวาล” ของลู่ยินชี ก็บรรเลงอยู่ในหูของหลี่เย้า
“เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกสิ้นหวัง ก็จะมีเพลงเพลงหนึ่งที่ฉันจะร้องออกมาดังๆ!”
“แม้ว่าโชคชะตาของเธอจะโหดร้ายสักแค่ไหน เธอก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก!”
เสียงเพลงที่กระตุ้นจิตใจ เป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่โพรงกระดูกของหลี่เย้า มันคล้ายกับมีโซ่ตรวนในจิตใจของหลี่เย้า ที่ถูกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
ความแข็งแกร่งที่ไร้รูปร่างจากพื้นดินได้ไหลผ่านเข้าไปในเท้าของหลี่เย้า กระเทือนไปถึงกระดูกและได้กระจายไปทั่วร่าง มันวิ่งเข้าสู่แขนทั้งสองข้างของเขาราวกับภูเขาที่กำลังถล่มลงมา เทคนิคค้อน108ฝ่ามือพัวพัน ได้กลายมาเป็นเทคนิคการชกไปแทน เขาชกรัวซ้ายขวาด้วยแรงระเบิดที่ราวกับของปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกไป!
“ปังปังปังปังปังปังปัง!”
“357กก.!411กก.!397กก.!”
เขาชกออกไปสามสิบกว่าหมัดจนเกิดเป็นประกายไฟขึ้นมา ในทุกๆหมัดที่ถูกชกออกไป ใช้แรงไม่ต่ำกว่า 350กก.เลยสักครั้ง และหมัดที่หนักที่สุดคือ 458 กก. เครื่องทดสอบความแข็งแกร่งถูกชกจนโยกตัวไปข้างหน้าและข้างหลังอยู่ซ้ำๆ น๊อตที่ยึดเครื่องเอาไว้ให้อยู่กับที่ส่งเสียงดัง “เอี๊ยด เอี๊ยด” ออกมา พวกมันเริ่มบิดเบี้ยวและเสียรูปทรงไป
เมื่อจบการชก กำปั้นทั้งสองข้างของหลี่เย้าก็มีควันไหลวนออกมาเป็นเกลียว ราวกับน้ำเย็นที่ราดลงไปบนเหล็กร้อน และเป้าชกของตัวเครื่อง ก็เกิดเป็นโพรงลึกเข้าไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็คงจะไม่สามารถกลับไปเป็นทรงเดิมได้อีกต่อไป
หลี่เย้าเอาหูฟังออกและหมุนตัวไป เขามองไปที่เว่ยเถียอย่างระแวง “เมื่อกี้นี้ นายพูดว่าอะไรนะ?”
เว่ยเถียได้แต่ตะลึงงัน