23 กินไม่เลือก
23 กินไม่เลือก
ในมุมมองของหลี่เย้า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและเกินจะจินตนาการได้
ทั้งหมดที่เขาจำได้ ก็คือตัวเขาได้ถูกชายหน้ากากตัวตลกซัดจนฟกช้ำดำเขียว และเป็นลมหมดสติไปอย่างหน้าขายหน้า จากนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนมีใครใส่ตัวเขาเข้าไปในห้องอบซาวนา เขารู้สึกราวกับว่า ตัวเองกำลังลอยอยู่ในลาวาที่ร้อนระอุ
เขาได้แช่ตัวอยู่ในนั้นนานถึง 5 ชั่วโมงเต็ม ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา หลี่เย้าไม่เคยรู้สึกสุขสม และพึงพอใจได้มากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิตของเขา!
ความรู้สึกพึงพอใจนี้ มันยากที่จะอธิบายออกมาด้วยคำพูด และเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ปากกาและหมึกเขียนบรรยายความรู้สึกออกมา มันสามารถอธิบายออกมาได้แค่ว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าในร่างกายของเขา ทุกมัดกล้าม เส้นเลือดทุกเส้น และเซลล์ทุกเซลล์ต่างพึงพอใจ กับการที่ได้แช่ตัวอยู่ในน้ำที่ให้ความรู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด และได้รับการนวดอย่างพิถีพิถันทั่วทั้งร่างกาย ยาวนานถึงสามชั่วโมง ความพึงพอใจนี้ ได้ทำให้เขารู้สึกราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆ!
มีเพียงสิ่งเดียวคือ...ใบหน้าดำทะมึนของชายหัวล้านเจ้าของยิม เจ้าของยิมได้จ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่ดูเลวร้าย มันราวกับว่า หลี่เย้าได้ไปโกงเงินเขามา 900,00 เหรียญยังไงยังงั้น!
แต่เมื่อผ่านไปได้ 30 วินาทีที่หลี่เย้า ได้จ้วงเอาซุปข้าวโพดสองถ้วย, กลืนไส้กรอกยักษ์ที่ใหญ่เท่าแขนไปสี่อัน, ซัดซาลาเปาเนื้อเข้าไป 20 ลูก สีหน้าของเจ้าของยิมก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
“นายทำงานให้กับกองทัพรึเปล่า?” เจ้าของยิมถามเขาในทันที
หลี่เย้ามองเขา แล้วส่ายหน้า
“วิธีการกินของนาย คล้ายกับพวกทหารในกองกำลังพิเศษมาก พวกกองกำลังพิเศษที่ต้องเอาชีวิตรอดในสนามรบที่อันตราย ต่างก็รู้วิธีการกินแบบนี้กันทั้งนั้น พวกเขารู้ว่าจะต้องกินพลังงานจำนวนมากในเวลาสั้นๆได้ยังไง มันเป็นทักษะสำคัญ ที่จะทำให้โอกาสรอดชีวิตพวกเขาสูงขึ้น! ดูจากท่าทางการกินของนายแล้ว นายก็คงจะได้รับการฝึกพิเศษมาด้วยสินะ ถ้านายไม่ได้ทำงานให้กับกองทัพ ก็แสดงว่า คนในครอบครัวของนายจะต้องเป็นทหารเก่า และอาจจะเป็นใครบางคนที่ทำงานเป็นกองกำลังลับในระดับสูงมาก่อน!” ชายหัวล้านอธิบายพร้อมกับสังเกตดูสีหน้าของหลี่เย้า และทำตัวอย่างเป็นกันเอง
เขาไม่ได้พยายามขุดคุ้ยเบื้องหลังของหลี่เย้าอีก และทำเพียงดึงเอาสัญญาออกมาเท่านั้น
“สมาชิกที่นายซ้อมด้วยเมื่อกี้ รู้สึกพอใจในตัวนายมาก แล้วเขาก็ต้องการเซ็นสัญญา ให้นายเป็นคู่ซ้อมของเขาหนึ่งเดือน นายสนใจไหม?”
......
แล้วหลังจากนั้น ในเช้าตรู่ของวันที่สอง ในเวลาเดียวกันนี้ หลี่เย้าก็ได้ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าประตูของโรงเรียนมัธยมซื่อเซียว ด้วยท่าทีที่กระฉับกระเฉงและมั่นใจ พร้อมกับเงินในบันชีที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 11,000 เหรียญและสัญญาอันแสนสำคัญที่นอนอยู่ในกระเป๋าของเขา เส้นเลือดของเขาเต้นเร็วแรงจนแทบจะระเบิดออกมา มันราวกับว่า หน้าอกของเขาถูกฝังเอาไว้ด้วยระเบิดคริสตัล แต่ละครั้งที่หัวใจของเขาเต้น มันราวกับโลกกำลังสั่นสะเทือนอยู่!
“เหลือเวลา 97 วัน 18 ชั่วโมง 33 นาที และ 45 วินาที จนกว่าจะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย!”
หลี่เย้ายืนอยู่ใต้ป้ายที่กำลังนับถอยเวลาการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดวงตาที่กำลังมองตัวเลขเหล่านั้น มีเปลวเพลิงที่บ้าคลั่งฉายออกมา เขาชูกำปั้นขึ้นอย่างมั่นใจ ด้วยหวังว่าตัวเองจะสามารถบินขึ้นไปเตะป้ายนับถอยหลังเวลาให้แหลกละเอียด!
“เสี่ยวเย้า เมื่อวานนายไปที่ไหนมา? นายไม่เห็นตอบข้อความของฉันเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เสียงพูดของเมิ่งเจียงดังมาจากด้านหลังของหลี่เย้า
หลี่เย้าไม่ได้หันกลับไปมอง เขาได้โยนถุงกระดาษที่อยู่ในมือของเขาไปที่ข้างหลัง ถุงได้ลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเมิ่งเจียง “เมื่อวาน อยู่ๆฉันก็ไข้ขึ้น ฉันเลยต้องนอนพักอยู่ที่บ้านน่ะ นี่เป็นแพนเค้กจากร้านฝ่ามือเพลิงเมฆา!”
เมิ่งเจียงส่งเสียงร้อง “โอ้ย โอ้ย” เพราะโดนความร้อนของถุงลวกเอา จากนั้น เขาก็เปิดปากถุงออก เขาพูดออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกายว่า “ว้าว นายรวยจริงๆ! นายให้แพนเค้กฉันมาตั้งสิบชิ้น แล้วฉันจะกินหมดได้ยังไงกัน?”
“กินแค่ห้าชิ้น แล้วโยนที่เหลือทิ้งก็ได้นะ” หลี่เย้าหัวเราะออกมา แล้วเอาแขนพาดไปรอบคอเพื่อนสนิทของเขา ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันไปด้วย ในขณะที่เดินไปยังห้องเรียน
“นี่ เสี่ยวเย้า นายได้ยินข่าวลือรึยัง? มีข่าวสะเทือนโลกเกี่ยวกับโรงเรียนของเรา เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วยล่ะ!” เมิ่งเจียงพูดพร้อมกับขยิบตา
“ข่าวอะไรเหรอ?” หลี่เย้ากัดแพนเค้กไปทีละชิ้น ไม่นาน เขาก็กินแพนเค้กใส่ไข้หมดไปแล้วสามชิ้น และมองดูเมิ่งเจียงด้วยท่าทีมึนงง
เมิ่งเจียงสำรวมกาย แล้วพูดออกมาว่า “ข่าวลือมีอยู่ว่า เมื่อคืนก่อน มีเด็กคลาสสามัญของเราคนหนึ่ง ดันปัญญาอ่อนไปหาเรื่องเฮ่อเหลียนเลี่ย มือหนึ่งของโรงเรียนเราเข้า ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการอะไร แต่เขาได้สร้างความอับอายให้กับเฮ่อเหลียนเลี่ย และทำให้เขาต้องขายหน้า พอเฮ่อเหลียนเลี่ยกลับไปที่บ้าน เขาก็ถูกผู้ใหญ่ที่บ้านตำหนิเอา แล้วที่แย่ก็คือ เขาถูกกักบริเวณให้อยู่ที่บ้านหนึ่งสัปดาห์เต็มเลยล่ะ! พวกเขาห้ามไม่ให้เขาออกไปข้างนอก แล้วไปสร้างปัญหาอะไรอีก!”
“โอ้?” หลี่เย้าก้าวเท้าช้าลง และสีหน้าของเขาก็ดูแปลกไป
เมิ่งเจียงไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าท่าทางของเพื่อนรัก เขายิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อไปว่า “ฉันได้ยินมาว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะซือเจียเสวี่ย แต่สุดท้าย เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใครในคลาสสามัญของเรา ที่กล้าหาญได้ขนาดนั้น ถึงขนาดทำให้เฮ่อเหลียนเลี่ยเผด็จการของโรงเรียนเรา ต้องพ่ายแพ้ไป แต่ถึงยังไง คนคนนั้นคงต้องเดือดร้อนกับการโต้กลับของเฮ่อเหลียนเลี่ยครั้งหน้าอย่างแน่นอน ฉันคิดว่า วันนี้เราคงจะมีอะไรดีดีให้ได้ดูกันแล้วล่ะ!”
หลี่เย้าถามออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ “ไม่ใช่ว่านายบอกว่า เฮ่อเหลียนเลี่ยถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้านหรอกเหรอ? แสดงว่าเขาก็ต้องไม่ได้มาโรงเรียนด้วยน่ะสิ แล้วมันจะไปมีโชว์อะไรให้เราได้ดูกันล่ะ?”
เมิ่งเจียงส่ายหัว “เสี่ยวเย้า ปกตินายก็ไม่ค่อยจะสนใจกฎเกณฑ์ภายในโรงเรียนของเราอยู่แล้วละนะ นายเลยไม่รู้ว่า เฮ่อเหลียนเลี่ยนั้นมีอิทธิพลในโรงเรียนเรามากแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยล่ะ! ยังไม่ต้องไปพูดถึงพ่อของเขา แค่เฮ่อเหลัยนเลี่ยคนเดียว เขาก็เป็นถึงเบอร์หนึ่งของโรงเรียน และมีอำนาจอยู่ล้นมือแล้ว เขาเป็นประธานสภาของนักเรียนโรงเรียนเรา และยังเป็นหัวหน้าชมรมอีกหลายชมรม ดังนั้น เขาจึงมีลูกน้องและคนติดตามที่แข็งแกร่งอยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะแข่งอะไรกับเขา ก็ไม่มีใครก้าวข้ามเขาไปได้เลย!”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วเมิ่งเจียงก็พูดเสียงกระซิบและดูมีลับลมคมในว่า “นายยังจำได้ไหม? เมื่อปีก่อน มีเด็กนักเรียนคลาสธรรมดาได้ไปหาเรื่องเฮ่อเหลียนเลี่ยเข้า ไม่เพียงแค่เขาจะถูกซัดจนหมอบเท่านั้น แต่ตอนที่เขารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พวกเขาก็ ‘บังเอิญ’ ให้ยาเขาผิดตัว เขาต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน กว่าที่เขาจะหายดีได้ จากนั้น โรงเรียนก็หาเรื่องไล่เขาออกไป จุ๊ๆๆๆ มันเป็นชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตายซะอีกนะ!”
หลี่เย้าเบิกตากว้างขึ้น “เฮ่อเหลียนเลี่ยมีอิทธิพลมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เมิ่งเจียงพยักหน้าและเผยสีหน้าเห็นใจออกมา เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “นายเพิ่งจะรู้เหรอ? ถ้าเขาไม่ตอบโต้กลับ คนอื่นจะกลัวเขาไปทำไมกัน? สรุปสั้นๆนะ มันไม่เกี่ยวว่าใครเป็นคนที่ไปท้าทายเขาเมื่อคืน แต่คนคนนั้นจะต้องชิงลาออกไปจากโรงเรียนให้เร็วที่สุด อย่างน้อยที่สุด คนคนนั้นก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการโดนทำร้ายร่างกายได้ หืม? เสี่ยวเย้า ทำไมสีหน้าของนายมันดูแย่ขนาดนั้นล่ะ?”
“จริงเหรอ มันแย่เหรอ?” หลี่เย้าเคี้ยวขนมอย่างไม่ใส่ใจ และเรอเสียงดังออกมา
“ใช่ ใครใช่ให้นาย กินแพนเค้กหกอันภายในหนึ่งลมหายใจกันล่ะ! อันสุดท้ายที่นายกินเข้าไป คงจะไปติดคอล่ะสิ!” อยู่ๆเมิ่งเจียงก็ตบไปที่หลังของหลี่เย้า “แปลก นายได้ใส่แผ่นรองอะไรไว้ที่หลังของนายรึเปล่า? ทำไมหลังนายมันดูแข็งๆจัง? มันดูหนาอย่างกับก้อนหินแน่ะ!”...
สิบนาทีต่อมา ที่ยิมหมายเลข 9
ภายในโรงเรียนมัธยมซื่อเซียวนั้นมีโรงยิมอยู่เก้าโรงด้วยกัน และโรงยิมที่เก้าก็เป็นโรงยิมที่เก่าแก่ที่สุด อุปกรณส่วนใหญ่ล้าสมัย และประสิทธิภาพการใช้งานก็อยู่ในระดับต่ำ มันคือสถานที่ฝึกสำหรับเด็กในคลาสสามัญ
โรงยิมนั้นมีพื้นที่โล่งกว้าง อุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในนั้น เด็กนักเรียนของคลาสสามัญได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์ม และกำลังฝึกฝนกันด้วยความยากลำบาก มีทั้งเสียงของการต่อสู้ เสียงบางอย่างฟาดกับพื้น และเสียงของแผ่นเหล็กจากบาร์เบลที่กระทบลงกับพื้น เสียงทุกเสียงได้ผสมคละเคล้ากันไป และสะท้อนเข้ากับฝาเพดานที่ชำรุดทรุดโทรม
หลี่เย้าได้เข้าไปในเครื่องทำการทดสอบ และเตรียมพร้อมที่จะตรวจวัดค่าการตื่นของรากวิญญาณ
เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ค่าการตื่นของรากวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราวกับว่า เขาได้เกิดใหม่และกลายเป็นอีกคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!