บทที่ 114 กับดักเคลื่อนย้ายและกับดักมรณะ
ซูรั่วเสวี่ยค่อนข้างรู้สึกสับสนกับเจียงอี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ผ่านเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันหลายครั้ง ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูไม่เหมือนกับศิษย์และอาจารย์รวมไปถึงเพื่อน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพี่น้องหรือคนรัก
รองเจ้าสำนักฉีไม่ต้องการให้ซูรั่วเสวี่ยเข้ามาเสี่ยงชีวิตในที่แห่งนี้ แต่นางก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเจียงอี้ นางรู้ดีว่าหากไม่เข้ามาพร้อมกับเจียงอี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะหลังจากที่เขาปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาแล้ว เขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนกว่าซูรั่วเสวี่ยจะใช้ศาสตร์ลับของตระกูลออกมา เขาอาจจะตายจากการต่อสู้หรือไม่ก็ตายเพราะความเหนื่อยล้า
ในความเป็นจริงซูรั่วเสวี่ยรู้ดีว่านางอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่พร้อมกับเจียงอี้ แต่นางก็ไม่ต้องการที่จะรู้สึกเสียใจภายหลัง นางคิดอยู่เสมอว่าให้ทำตามหัวใจของตัวเองโดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิด ขอเพียงแค่ได้ทำมันก็พอแล้ว!
เจียงอี้พ่ายแพ้ต่อความดื้อรั้นของซูรั่วเสวี่ยโดยสมบูรณ์ เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของนางจากนั้นก็ถอนหายใจ “ซูรั่วเสวี่ย หากพวกเราไม่ตายในครั้งนี้ ข้า เจียงอี้ จะติดค้างท่านไปตลอดชีวิต!”
กล่าวจบ เจียงอี้ก็หันหลังและเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องการสำรวจพื้นที่เพื่อที่จะหาทางหนีทีไล่ เมื่อมีซูรั่วเสวี่ยอยู่ด้วย เขาก็รู้สึกว่าตัวเองแบกความรับผิดชอบมากขึ้น เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดไปพร้อมกับอาจารย์สุดสวยผู้นี้ให้ได้
“สุสานราชันสวรรค์อยู่ที่ใด?”
เมื่อเดินไปได้หนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ สภาพแวดล้อมโดยรอบยังคงเป็นป่าทึบ ไม่มีแม้แต่สัตว์อสูรหรือมนุษย์
ซูรั่วเสวี่ยกระพริบตาปริบๆขณะกล่าว “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร? สุสานราชันสวรรค์จะเปิดขึ้นในทุกๆห้าสิบปี แล้วข้าดูเหมือนคนที่มีอายุมากกว่าห้าสิบปีหรือ?”
"…"
เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออก เขามองไปยังซูรั่วเสวี่ยด้วยความสงสัยและเอ่ยถาม “ก่อนที่จะเข้ามาในสุสาน ท่านไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนหรือ?”
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยเผยให้เห็นความอึดอัดใจ นางกัดริมฝีปากและกล่าวด้วยความเขินอาย “ก็ข้าไม่ได้ต้องการที่จะเข้ามาตั้งแต่แรก…”
“พอแล้ว! ไม่ถามแล้ว!”
เจียงอี้เดินหน้าต่อไปขณะครุ่นคิด ข้อมูลที่ได้รับจากเฉียนว่านก้วนมีน้อยเกินไป เขารู้แต่เพียงว่าสุสานมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ส่วนสุสานราชันสวรรค์ที่แท้จริงนั้นจะอยู่ด้านใน หลังจากที่เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง มันจะเผยตัวออกมาพร้อมกับสมบัติมากมาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคนว่าจะได้ครอบครองสมบัติเหล่านั้นหรือไม่
ปัญหาก็คือ… ไม่มีข้อมูลเจาะจงว่าแท้จริงแล้วสุสานมันอยู่ที่ใดกันแน่และไม่มีแผนที่ด้วยเช่นกัน!
“เดี๋ยวก่อน!”
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั้น เจียงอี้ก็หยุดกะทันหันซึ่งทำให้หน้าอกของซูรั่วเสวี่ยแทบจะชนกับหลังของเขาอยู่แล้ว นางมองมาที่เขาด้วยความสงสัยและเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีกับดับอยู่ข้างหน้า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคือกับดักมรณะหรือว่ากับดักเคลื่อนย้ายกันแน่?”
เจียงอี้กล่าวด้วยท่าทีราวกับผู้เชี่ยวชาญ ซูรั่วเสวี่ยทำหน้าฉงนเพราะไม่เห็นสิ่งใด แต่เจียงอี้ใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อปรับปรุงวิสัยทัศน์ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งผิดปกติอยู่ด้านหน้าและกระแสลมก็ไม่ได้พัดในทิศทางปกติ หากไม่อยู่ใกล้พอแล้วล่ะก็ มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็น
ฟิ้วว!
เจียงอี้โยนหินไปข้างหน้า แต่นั้นใดนั้นพื้นที่ดังกล่าวก็ปลดปล่อยแสงสีขาวออกมาและทำให้หินก้อนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“กับดักเคลื่อนย้าย!” ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง นางหันไปมองเจียงอี้และเร่งเอ่ยถาม “เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“ข้าเดาเอาน่ะ”
เจียงอี้หัวเราะขณะที่กระโจนขึ้นไปบนยอดสุดของต้นไม้โบราณ จากนั้นเขาก็นำดาบสั้นสีนวลออกมาและตัดบางส่วนของต้นไม้ออกก่อนที่จะกลับลงมาด้วยความคล่องแคล่ว
ซูรั่วเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ทำเครื่องหมาย หากถูกศัตรูไล่ล่า พวกเราจะสามารถใช้มันหลบหนีได้” เจียงอี้กล่าว จากนั้นก็นำซูรั่วเสวี่ยอ้อมไปอีกทาง
ระหว่างทางพวกเขาก็ได้เจอกับกับดักอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นกับดักเคลื่อนย้าย มีเพียงแค่สองสามแห่งที่เป็นกับดักมรณะ
กับดักมรณะมีพลังอันลึกลับ เมื่อเจียงอี้โยนก้อนหินเข้าไปในนั้น มันก็จะสูญสลายกลายเป็นฝุ่นในทันที ดูเหมือนว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดก็อาจจะตายได้หากเผลอไปสัมผัสมัน
“มีใครบางคนอยู่ที่นี่!”
เจียงอี้หยุดชะงักอีกครั้ง โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เขารีบดึงร่างของซูรั่วเสวี่ยไปทางด้านซ้าย จากนั้นทั้งเขาและนางต่างก็หลบซ่อนอยู่ด้านบนของต้นไม้โบราณด้วยกัน
ตึก! ตึก!
ไม่นานนัก ร่างเงาทั้งแปดร่างพุ่งเข้ามาในบริเวณที่พวกเขาเคยอยู่ พวกมันทั้งแปดสวมเสื้อคลุมสีเขียว เห็นได้ชัดว่าพวกมันมาจากขั้วอำนาจเดียวกัน
“เจียงอี้ เจ้าเป็นพระเจ้าหรือยังไง? ทำไมถึงได้รู้ว่ามีคนกำลังมา?”
ดวงตาอันงดงามของซูรั่วเสวี่ยเผยให้เห็นความประหลาดใจ นางจ้องมองเจียงอี้ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด นางรู้ว่าภายนอกเจียงอี้อาจจะเหมือนกับจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกทั่วไป แต่แท้จริงแล้วพลังต่อสู้โดยรวมของเขาเทียบได้กับจอมยุทธในขอบเขตจื่อฝู่เลยทีเดียว
ซูรั่วเสวี่ยคิดว่านางรู้จักเจียงอี้ดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจผิดไป ภายในร่างกายของเขาจะต้องเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ มิฉะนั้นเขาแข็งแกร่งจนผิดปกติเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ฮิฮิ! อาจารย์ซู ท่านคงไม่คิดว่าข้ากล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงในนี้โดยไม่เตรียมตัวมาเลยหรอกนะ?”
มุมปากของเจียงอี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันลึกลับ จากนั้นก็ลงมาจากต้นไม้ แก่นแท้พลังสีดำเป็นไพ่ตายลับสุดยอดของเขา เขามั่นใจว่าจะสามารถอยู่รอดได้โดยการเพิ่มความสามารถใช้การได้ยิน
เนื่องจากสุสานมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเข้ามาได้มีเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดเท่านั้น เจียงอี้มั่นใจว่าความสามารถในการได้ยินของเขาดีกว่าคนเหล่านั้นแน่นอน มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาสัมผัสถึงคนที่กำลังเข้ามาใกล้ล่วงหน้าและซ่อนตัวได้อย่างง่ายดาย!
“เด็กคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ?”
ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเจียงอี้ แต่นางก็พอจะคาดเดาได้อย่างเลือนรางว่าเขาจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา นางพบเขาครั้งแรกที่เมืองเทียนอวี่ แต่ด้วยบุคลิกที่เย็นชาของนางทำให้นางไม่สนใจที่จะทราบข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่านางอยากจะรู้เกี่ยวกับเขามากขึ้นเสียแล้ว
พวกเขาทั้งสองเดินตรงไปข้างหน้า แต่ในไม่ช้าเจียงอี้ก็เริ่มเดินเป็นวงกลม เขาไม่ได้ไปข้างหน้าอีกต่อไปและเลือกที่จะอ้อยอิ่งอยู่รอบๆแทน ซูรั่วเสวี่ยเดินตามมาติดๆและท้ายที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าจะไปไหนกัน? ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังมองหาสุสานราชันสวรรค์อยู่หรอกหรือ?”
“ไม่จำเป็นต้องมองหา!”
เจียงอี้ส่ายศีรษะขณะที่กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ข้าคิดว่าคงจะใช้เวลาเป็นเดือนในการสำรวจมิติลึกลับแห่งนี้ แทนที่จะค้นหาอย่างคนตาบอด ทำไมถึงไม่ไขว่คว้าโอกาสที่จะมาถึง? ข้าเชื่อว่าสุสานราชันสวรรค์จะเผยตัวออกมาเองในเวลาไม่นาน!”
แม้ว่าเจียงอี้จะกล่าวด้วยความเชื่อมั่น แต่ซูรั่วเสวี่ยก็ยังคงกังขาในคำพูดของเขาอยู่บ้าง พวกเขาเดินวนในพื้นที่เดิมสองรอบ เจียงอี้พบต้นไม้โบราณยักษ์ต้นหนึ่ง พวกเขาทั้งสองซ่อนตัวอยู่ที่นั่นและเริ่มนำเสบียงออกมากิน
ครื้นนนนน!
แต่ทันใดนั้นเอง คลื่นความผันผวนบางอย่างก็ปรากฏขึ้นและทำให้พวกเขาทั้งสองตื่นตัว “สุสานราชันสวรรค์เผยตัวออกมาแล้ว!”
“เอ่ออ…”
ซูรั่วเสวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ ท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้มืดครึ้ม จู่ๆมันก็สว่างจ้าด้วยแสงสีทอง ทันใดนั้นเองเจดีย์อันงดงามหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาและปลดปล่อยแสงซึ่งทะลวงเข้าไปในร่างกายและจิตใจของผู้คน
เจดีย์ทองคำมีความสูงอย่างน้อยหลายร้อยเมตรและกว้างสามสิบเมตร มันลอยอยู่กลางอากาศราวกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าเกรงขามออกมา
ครื้นนนนน!
แสงสีทองกระจายออกมาจากเจดีย์ ที่ด้านล่างของมันปรากฏประตูขนาดเล็กแปดบานซึ่งกำลังเปิดออก ในขณะเดียวกันวัตถุนับสิบชิ้นก็ลอยออกมาจากประตูแต่ละบานและกระจายไปในทิศทางที่แตกต่างกัน จากนั้นเจดีย์ทองคำก็ค่อยๆจางหายไป พริบตาเดียวท้องฟ้าก็กลับสู่สภาพเดิม
“สมบัติ! ไปกันเถอะ!”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกาย เขามองเห็นวัตถุสี่ชิ้นลอยไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีคนมากนัก เขาต้องการครอบครองเพียงสามชิ้นเท่านั้น หากเขาโชคดีก็อาจจะสามารถสำเร็จภารกิจของสำนักด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
“เจียงอี้ โชคของเจ้านั้นไม่เลวเลย!”
ซูรั่วเสวี่ยกระโดดลงจากต้นไม้ หากพวกเขาสามารถจบภารกิจได้เสียตั้งแต่ตอนนี้ พวกเขาก็เพียงแค่ต้องหาที่ซ่อนและหลบอยู่ในนั้นเพียงแค่สองสัปดาห์ จากนั้นสุสานราชันสวรรค์ก็จะเคลื่อนย้ายพวกเขาออกมาโดยอัตโนมัติ
“บัดซบ!”
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในขณะที่เจียงอี้กำลังตรงไปยังทิศทางของสมบัติ จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเส้นทางขณะตะโกน “ไปเร็ว มีผู้คนจำนวนมากอยู่ด้านหน้า อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยคน บางทีพวกมันอาจจะเป็นคนของเจียงนี่หลิว!”
หากว่าไม่มีพลังเพียงพอก็อย่าได้ทำสิ่งที่เกินความสามารถ