ตอนที่ 7 ถังโม่ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!
เหมือนเธอจะแค่ต้องการแสดงความเหยียดหยามออกมาจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยกลับมาเป็นเหมือนเดิมทันทีที่พูดจบ เธอยื่นไม้ขีดไฟอันใหญ่ให้ถังโม่แล้ววิ่งกลับเข้าไปในซอกของชั้นหนังสือ จากนั้นก็หายไปในเงาของชั้น
“ดิ๊งด่อง! เกม ‘ใครขโมยหนังสือของหนูไป’ เสร็จสิ้นแล้ว”
“คำนวณรางวัลจากการเคลียร์เกม…”
“ผู้เล่น ถังโม่ ชนะเกม ได้รับรางวัล ‘ไม้ขีดไฟยักษ์’ และ ‘ความเหยียดหยามของโมเสก’”
“ผู้เล่น เฉินฟางจือ ทำภารกิจล้มเหลว”
เสียงเด็กก้องไปมาในห้องสมุด เข้าหูถังโม่และร่างทรง เหมือนปกติที่ทุกเกมจะต้องมีรางวัลให้ผู้ชนะ ถังโม่เดาได้อยู่แล้วว่าไม้ขีดไฟอันนี้คือรางวัลของเขา
แต่ไม่ใช่ว่าไอ้ ‘ความเหยียดหยามของโมเสก’ เป็นคำใบ้ของภารกิจ? มันเป็นรางวัลด้วยงั้นเหรอ?
ถังโม่หน้าซีดแล้วก็สับสนในหัวใจ แต่ถ้าเทียบกับเขาแล้วร่างทรงแย่กว่าเยอะ
ร่างทรงแพ้เกม ตามปกติแล้ว นอกจากรางวัลแล้วก็ยังมีบทลงโทษด้วย แพ้ในเกมปกติอาจจะเป็นการเสียเงินในเกมนิดหน่อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าถ้าแพ้เกมของหอคอยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
หอคอยดำไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องบทลงโทษ ร่างทรงนิ่งอยู่นานแล้วหันมามองถังโม่ “…ฉันจะตายเหรอ?”
ถังโม่ไม่มีคำตอบให้ เลยเลือกจะปลอบอีกฝ่ายแทน “มันไม่น่าจะแย่ขนาดนั้นนะครับ”
ร่างทรงเรียกความมั่นใจกลับมาได้ “ฉันเชื่อนายนะ เพราะนายฉลาดมาก แล้วคำพูดนายก็ฟังดูเป็นไปได้ พระเจ้าไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก เขาจะนำความหวังและการกำเนิดใหม่มา นั่นแหล่ะคือพระเจ้าของฉัน…”
ถังโม่ถือกำไม้ขีดไฟแล้วมองร่างทรงที่เอาแต่งึมงำเป็นบ้าเป็นเป็นหลัง
การไม่รู้บทลงโทษที่จะตามมาของเกมแรกทำให้ถังโม่กังวลอยู่ไม่น้อย รู้สึกเหมือนลมสงบก่อนพายุจะมาอย่างไรชอบกล ลักษณะแบบนี้ต่างจากเกมทั่วไป ส่งผลให้เกิดความกลัวและผลลัพธ์ที่คากดเดาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามปลอบใจตัวเอง ถ้าการแพ้เกมหมายถึงความตายจริงๆ ไม่ใช่ว่าคนจะตายกันไปครึ่งโลกเลยหรือ?
คนเป็นพันล้านคนจะตายง่ายๆ ได้ยังไงกัน?
เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้…
เกมจบลงแล้ว แต่ห้องสมุดก็ยังไม่ได้กลับสู่สภาพปกติ ถังโม่กับร่างทรงยังคงลงบันไดไม่ได้ และนอกหน้าต่างก็ยังคงเป็นอากาศว่างเปล่า
พวกเขายังไม่ได้กลับไปที่เมืองซูโจว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่ถังโม่กับร่างทรงถูกขังอยู่ที่ชั้นสามของห้องสมุด
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาว่าเพิ่งผ่านหกโมงเช้าไปไม่นานตอนที่ทั้งร่างของถังโม่ตึงเครียด ความแตกตื่นไร้ที่มายึดครองสติของเขา
ชีพจรเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
หัวใจเขาเต้นแรงจนเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอก ถังโม่คว้าชั้นหนังสือ แต่ร่างกายเขาไม่มั่นคงจนร่วงลงไปกระแทกกับพื้นในที่สุด ร่างทรงรีบวิ่งมาจากที่ไกลๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
เลือดสูบฉีดจนหน้าถังโม่แดงก่ำในเวลาไม่กี่นาที ทุกตารางนิ้วบนผิวเนื้อแดงจนเหมือนปูสุก ร่างทรงเองก็หวาดวิตก แต่ก็ดึงสติรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาถังโม่ “นายโอเครึเปล่า? นายตัวแดงแถมหน้ายังร้อนมากอีก…เป็นไข้เหรอ?”
ชีพจรถังโม่สูงเกินไปแต่เขาก็ยังประคองสติไว้ได้ ถังโม่พยายามพูด “หัวใจ…”
ร่างทรงเข้าใจทันที แล้วรีบเอามือทาบอกถังโม่ “ทำไมหัวใจเต้นเร็วขนาดนี้ล่ะ? นี่มัน200ครั้ง… ไม่สิ 300ครั้งต่อนาทีแล้วมั้ง”
ถังโม่พูดไม่ออกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องแก้มันเป็น 394
พวกเขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้แถมยังมีกันอยู่แค่สองคน จู่ๆ ถังโม่ก็กลายเป็นแบบนี้ ร่างทรงเลยทำอะไรไม่ถูก เขาทำได้แค่กวาดของบนโต๊ะลงมาแล้วพาถังโม่ไปนอน จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องน้ำ จุ่มทิชชู่จนเปียกแล้วเอามาแปะที่หน้าผาก หวังว่ามันจะพอช่วยอะไรได้สักอย่าง
ชีพจรถังโม่ตอนนี้อยู่ที่ 532ครั้งต่อนาที เขาไม่รู้ว่าหัวใจมนุษย์จะเต้นได้เร็วขนาดนี้มาก่อน แล้วก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เพราะอะไรบางอย่างหัวใจเขาถึงได้เต้นขัดกับหลักการทางการแพทย์ แถมยังต่อต้านความเป็นจริงนั้นอย่างเหนียวแน่นอีก
ร่างทรงวิ่งไปกลับเอาทิชชู่เปียกมาวางแปะตามเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าของถังโม่แทบทุกส่วน
ถังโม่รู้สึกว่าทำแบบนี้ไปก็คงไม่ช่วยอะไรหรอก แต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายพยายามช่วย เขาพูดไม่ออก เลยได้แต่มองร่างทรงที่ร่างชุ่มเหงื่อแถมนัยน์ตายังแดงก่ำ
ผ่านไปชั่วโมงเต็มๆ ถังโม่ถึงรู้สึกว่าชีพจรเขาเริ่มตกลงมาแล้ว
ร่างทรงคิดว่าไข้เขาเริ่มลดแล้ว เลยวิ่งไปเอาทิชชู่เปียกๆ มาแปะทับเปลือกตาของถังโม่เพิ่ม
ถังโม่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเขาถึงได้ขยับตัวได้อีกรอบ เขากวาดทิชชู่เปียกๆ ออกจากตัวแล้วใช้มือสั่นๆ พยุงตัวลงจากโต๊ะ
ร่างทรงเพิ่งออกจากห้องน้ำมาเห็นพอดี เขารีบวิ่งเข้ามาถาม “เป็นยังไงบ้าง?”
ถังโม่เปิดปากจะพูดแต่พบว่าคอแห้งจนไม่มีเสียง เขากลืนน้ำลายอยู่สองสามรอบแล้วพยักหน้ายิ้มๆ “อา รู้สึกจะดีขึ้นแล้วครับ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย กลัวแทบตายเลย” อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถังโม่มองร่างทรงด้วยสายตาจริงจัง “ขอบคุณนะครับ”
อีกฝ่ายคลอนศีรษะ “ไม่เป็นไร ฉันทิ้งนายนอนอยู่แบบนั้นเฉยๆ ไม่ได้หรอก”
ความสัมพันธ์ของทั้งสองค่อนข้างสับสน ในมุมหนึ่งร่างทรงเป็นคนดึงถังโม่เข้ามาเล่นในเกมที่เขาไม่รู้จัก บังคับให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ตอนนี้ทั้งสองควรจะรักษาระยะห่าง หวาดระแวงกัน แต่ในขณะเดียวกัน เกมมันก็จบไปแล้ว แล้วเกมที่เล่นก็เป็นแค่เกมปกติธรรมดา พอร่างกายถังโม่เป็นแบบนั้น ร่างทรงก็ไม่ได้ทำเฉย ไอ้ที่เขาทำให้อาจจะไม่ได้ช่วยได้จริงๆ แต่ถังโม่ก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดี
หลังจากอุบัติการณ์ผ่านไปสายสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แน่นแฟ้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ว่าแต่ ทำไมจู่ๆ ชีพจรนายก็พุ่งขึ้นขนาดนั้นล่ะ? พ่อฉันเป็นหมอ แบบนั้นน่ะไม่ปกติเลยนะ คนปกติถ้าชีพจรพุ่งเกิน250ครั้งต่อนาทีหัวใจหัวใจจะส่งเลือดไม่ทัน คนปกติคงจะตายไปตั้งแต่นาทีแรกแล้ว”
ถังโม่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจถาม “หัวใจของคุณไม่เต้นเร็วขึ้นเลยเหรอในช่วงสองสามวันมานี้?”
ร่างทรงส่ายหน้า “ไม่เลย”
ถังโม่หน้าบึ้ง “ตั้งแต่สามวันก่อนหัวใจผมก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่เร็วเท่านี้แต่ก็เกิน300ครั้งต่อนาทีแน่ๆ แล้วตอนนั้นผมก็จะหงุดหงิดมากๆ บางทีความหงุดหงิดนี้อาจจะมาจากหอคอยก็ได้ ผมไม่ใช่พวกที่จะบอกว่า ‘หอคอยดำมันอันตราย’ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนกัน ก็เลยพอจะยังเข้าใจได้เรื่องที่หงุดหงิด แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องชีพจรตัวเองเลย”
“นายมีโรคอะไรหรือเปล่า?”
“ผมเริ่มมีอาการหลังจากเกิดเรื่องหอคอย ก็เลยยังไม่ได้ไปตรวจที่โรงพยาบาล”
ร่างทรงคิด “บางทีนายก็ไม่ควรจะไปหาหมอจริงๆ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโรคแบบนี้มาก่อน ไม่ตายถึงแม้หัวใจจะเต้นเกิน300ครั้งต่อนาที คิดว่าคงมีแค่นายคนเดียวในโลกแล้วล่ะ” ร่างทรงหยอก “บางทีอาจจะโดนทางการลักพาตัวไปเป็นหนูทดลองก็ได้ คงจะดีกว่าถ้านายไม่ไปโรงพยาบาล”
ถังโม่ยิ้มรับ
กริ๊ก
ท่ามกลางความเงียบของห้องสมุด จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ถังโม่กับร่างทรงสบตากันครั้งหนึ่ง เสียงประตูเปิดจากชั้นหนึ่งของห้องสมุด!
ทั้งสองรีบวิ่งลงบันได กำแพงประหลาดที่ขังพวกเขาไว้ที่ชั้นสามหายไปแล้ว พวกเขาวิ่งเต็มแรงไปที่ทางเข้าหลักที่เป็นประตูไม้มะฮอกกานี
กุญแจถูกไขแล้วประตูก็ผลักเปิด แสงอาทิตย์ที่หายไปนานอาบไล้ร่างของถังโม่กับร่างทรง ความอบอุ่นของพระอาทิตย์จริงๆ ไม่ใช่แสงเทียมที่เกิดในช่วงกลางวันของเกม
ถังโม่กระพริบตา ตอนที่อากาศอบอุ่นปลอบประโลมผิว
“ถังโม่ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?” เสียงสดใสของผู้หญิงดังขึ้น “มาเก็บของเช้าขนาดนี้เลยเหรอ?”
“เสี่ยวจ้าว?” ถังโม่เบิกตา
ถังโม่จำได้ว่าเขาเข้าห้องสมุดมาเก็บของเมื่อวานเพราะคำสั่งของผู้อำนวยการหวังว่าห้องสมุดจะถูกใช้เป็นศูนย์วิจัย ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าเขาจะจัดการความคิดตัวเองได้ “เธอมาเก็บของเหรอ?”
เสี่ยวจ้าวยิ้มแย้ม “ใช่ พ่อแม่ฉันบอกว่าไอ้เรื่องหอคอยนี่มันชักจะแปลกไปสักหน่อยแล้ว เราเลยจะกลับไปอยู่บ้านเกิดสักพักน่ะ รถจะออกตอนสิบโมงนี้แล้วฉันเลยรีบมาเก็บของ แต่เดี๋ยว ฉันถามก่อนไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาเช้านักล่ะ? แล้วนั่นนายถืออะไร ไม้ขีดไฟเหรอ? อ้าว ร่างทร… อ่า ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
เสี่ยวจ้าวมองร่างทรงทรงที่กำลังกลืนน้ำลายเพราะความวิตก
ถังโม่อธิบาย “ผมเจอเขาตอนมาเอาของ เราเลยแวะคุยกันนิดหน่อยน่ะ”
“นายคุยกับเขาอ่ะน่ะ…?” เสี่ยวจ้าวพึมพำ “งั้นฉันขอไปเก็บของก่อนนะ” เด็กสาวพูดแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ตอนที่ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในประตู ถังโม่ก็เบิกตากว้าง
“จ้าวย่าน!”
จ้าวย่านคือชื่อจริงของเสี่ยวจ้าว ตั้งแต่เธอมาทำงานที่ห้องสมุดนี้เมื่อหกเดือนก่อนก็แทบจะไม่มีใครเรียกเธอด้วยชื่อนี้เลย พอถังโม่ตะโกนชื่อนี้ออกมาเสี่ยวจ้าวเลยหันไปมองแปลกๆ “มีอะไรเหรอ?”
ถังโม่อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก เขามองร่างกายครึ่งท่อนล่างของเสี่ยวจ้าวด้วยสีหน้าที่ประหลาดสุดๆ เสี่ยวจ้าวเลยก้มลงมองตามแล้วล้มลง
“อะไร นี่มันอะไรน่ะ? ขาฉัน! ขาของฉัน!!!”
แล้วใบหน้าของเธอท่วมไปด้วยน้ำตา
เด็กสาวเกิดในปี1996 เพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ แต่ตอนนี้เธอจับท่อนล่างของตัวเองแต่พบว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น
ในสายตาของถังโม่ เขาเห็นเส้นที่ล่องหนที่วิ่งขึ้นไปตามร่างกายของเธอ ไม่ว่าเส้นนี้จะวิ่งไปที่ตรงไหนทุกอย่างก็จะหายไป เหมือนมีบางอย่างกำลังลบเสี่ยวจ้าวไปจากโลก
เขาไม่รู้ว่าเส้นนี้มาจากไหน แต่ตอนที่เขาสังเกตเห็นน่องของเสี่ยวจ้าวก็หายไปแล้ว เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำและยังคงพูดคุยกับถังโม่เหมือนปกติ
น้ำตาหยดลงจากใบหน้าตอนที่เอวของเธอหายไป เธอย้ายตัวมาทางถังโม่ กำลายกางเกงเขาด้วยสองมือ แล้วร้องตะโกน “ช่วยด้วย พี่ถัง ช่วยฉันด้วย! เกิดอะไรขึ้นกับฉันน่ะ? พี่ถังช่วยฉันด้วย!”
ถังโม่ยื่นมือออกไปจับมือของเสี่ยวจ้าวไว้ แต่จับไว้ได้แค่สองวินาที แขนของเสี้ยวจ้าวก็หายไปแล้ว
เส้นที่มองไม่เห็นขึ้นไปถึงคอของเสี่ยวจ้าว
หัวเธอวางอยู่ที่พื้น นัยน์ตาที่มองถังโม่มีน้ำตาคลออยู่เต็มหน่วย เป็นภาพทั้งแปลก ทั้งน่ากลัว
“ฉันยังไม่อยากตาย…ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังเคยมีความรักหรือว่าชอบใครเลย ฉันยังอยากกลับบ้านไปดูการ์ตูน ฉันยังอ่านนิยายเล่มเมื่อวานไม่จบเลย แม่…พ่อ…ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่อยากตาย พี่ถัง ช่วย…”
ปากของเธอหายไปแล้ว
นัยน์ตาที่เปียกชื้นจ้องถังโม่อยู่อย่างนั้นจนหายไป
คนเป็นๆ คนหนึ่งหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
สมองถังโม่ว่างเปล่า วินาทีนี้สิ่งที่ทำให้เขากลัวที่สุดคงจะเป็นความใจเย็นของตัวเองนี่แหล่ะ เขามองที่ที่เสี่ยวจ้าวหายไปอยู่เกือบครึ่งนาที แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้แล้วหันไปมองร่างทรงที่อยู่ข้างหลัง
ในห้องสมุดมืดๆ พื้นที่ตั้งแต่เอวของร่างทรงลงไปหายไปแล้ว หน้าซีดเซียวมองถังโม่ ส่งยิ้มที่ทั้งหวาดกลัวทั้งน่าสมเพชมาให้ “ถัง…ถังโม่ นี่คือบทลงโทษของการแพ้เกม…”
“ร่างทรง!”
ปัง!
ร่างอีกฝ่ายร่วงไปกองกับพื้น
ถังโม่รีบพุ่งมาคว้ามือเขาไว้
ร่างทรงร้องไห้ น้ำตาไหลอาบหน้า น้ำมูกไหลจากจมูก เขายึดมือถังโม่ไว้เหมือนที่เสี่ยวจ้าวทำแล้วพูดซ้ำแล้วซ้ำแล้ว “ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย… ถังโม่ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย…”
ถังโม่ไร้ซึ่งหนทาง เขากดมือไปตามร่างกายส่วนที่ยังไม่หายไป แต่พอเส้นนั้นลากผ่าน พื้นที่นั่นก็จะหายไปเหลือแต่อากาศ
เหลือแค่ครึ่งท่อนบนแล้ว
ถังโม่ร้องออกมา “ไม่ ไม่ต้องกลัว มันจะต้องมีสักทาง”
อีกฝ่ายร้อง “มีวิธีไหนบ้าง ฉันยังไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตายจริงๆ นะ ถังโม่ ช่วยที นายคือคนที่กำจัดฉัน ดังนั้นช่วยฉัน ได้โปรด ช่วยฉันหน่อย”
ถังโม่ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ร่างทรงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเอาแต่ร้องไห้แล้วก็ร้องไห้ เวลาเดินช้าเหลือเกิน ตอนที่ช่วงอกเขาเริ่มหายไป ร่างทรงก็คว้ามือของถังโม่แล้วมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ฉันมีลูกสาว เธออยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ฉันหย่ากับแม่เธอแล้ว ช่วยไปดูให้ทีว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เธอชื่อชานชาน เฉินชานชาน เธอจะต้องยังอยู่แน่ๆ เธอจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ! ได้โปรด ไปตามหาเธอที!”
มือของร่างทรงหายไปแล้ว
“ช่วยฉันเถอะนะถังโม่ ฉันขอร้อง ช่วยฉันเถอะ เธอจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ!”
ถังโม่รีบถาม “เธออยู่ที่ไหน”
“เธออยู่ที่เชตจิ้งอัน เรียนเกรด 1 อยู่ที่โรงเรียนมัธยมชือเปย เธอ…”
ปากร่างทรงหายไปแล้ว แต่ตายังจับจ้องอยู่ที่ถังโม่
เส้นที่มองไม่เห็นขึ้นมาถึงใบหูเขาจ้องถังโม่ไม่กระพริบตา ความกลัวอัดแน่นอยู่ในสายตาเหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
“ผมจะตามหาเธอ เธอจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ”
เส้นนั้นผ่านหูเขาไปแล้ว แต่สายตาผ่อนคลายลง นัยน์ตาเขาร้องไห้โดยไม่มีคำพูดใด เขาเอาแต่จ้องถังโม่ และกระพริบตาครั้งสุดท้ายก่อนจะหายไป พร้อมหยดน้ำตาที่หล่นกระทบพื้น
ถังโม่คุกเข่าอยู่ที่ทางเข้าห้องสมุด เสี่ยวจ้าวหายไปที่นอกประตู ส่วนร่างทรงหายไปในประตู
เสียงระฆังบอกเวลาแปดโมงดังก้องห้องสมุด ถังโม่ยังคุกเข่าอยู่อย่างนั้นจนถึงเสียงเคาะครั้งที่แปด
“จงหลับ จงหลับ เด็กน้อยของฉัน มือที่แสนอ่อนโยนของแม่…”
เสียงนุ่มนวลและเมตตาดังทั่วทั้งเมืองซูโจว
ถังโม่แหงนคอ มองหอคอยดำที่อยู่ห่างไป200เมตรจากห้องสมุด
แสงสีมากมายสาดไปทั่วหอคอย หนึ่งวันที่แล้วมีผู้คนหลายพันคนอยู่รอบหอคอย ตอนนี้เหลือคนแค่เจ็ดหรือแปดคนนั่งอยู่ที่พื้นเหมือนถังโม่ พวกเขาเงยหน้ามองหอคอยร้องเพลงกล่อมด้วยสายตาว่างเปล่า
พอเสียงของผู้หญิงจบลง ก็มีเสียงของเด็กๆ หหลายคนร้องคลอไปด้วย
“จงหลับ จงหลับ เด็กน้อยของฉัน
มือที่แสนอ่อนโยนของแม่จะขับกล่อมเจ้า
เปลจะไกว และเจ้าจะหลับใหล
ค่ำคืนนี้จะเงียบสงัดและอบอุ่น…”
เสียงนั้นร้องเพลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สายลมลากผ่านผืนโลก พัดพาบทเพลงไปในที่ที่ไกลแสนไกล
เมื่อเพลงจบลง เสียงเด็กที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ดิ๊งด่อง! ผู้เล่น 498.16 ล้านคนโหลดเกมสำเร็จ…”
“กำลังเซฟ…”
“กำลังโหลดข้อมูลเกม…”
“กำลังโหลดข้อมูลผู้เล่น…”
“เซฟสำเร็จ”
“โหลดสำเร็จ”
“โหลดสำเร็จ”
“ดิ๊งด่อง! 19 พฤศจิกายน 2017 ขอต้อนรับผู้เล่นทุกท่านเข้าสู่เกม”
“ประกาศกฎเหล็กสามข้อของหอคอยดำ---”
“ข้อแรก หอคอยดำจะเป็นผู้อธิบายทุกสิ่งอย่าง”
“ข้อสอง หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็นคือเวลาเล่นเกม”
“ข้อสาม ผู้เล่นทุกคนได้โปรดพยายามโจมตีหอคอย”
“ดิ๊งด่อง! เล่นเกมให้สนุกนะ!”