ตอนที่ 3 : แม่จะฆ่าหนู!
พวกคนที่ไม่เชื่อเรื่องหอคอยดำยังคงเอาแต่หัวเราะตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาเชื่อว่าหอคอยดำเป็นผลจากการวิจัยสุดไฮเท็คของรัฐบาล แน่ล่ะว่ารัฐบาลไม่มีทางทำร้ายประชาชนอยู่แล้ว และต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ พวกเขาก็ยังมีสุดยอดผู้นำของตัวเองอยู่ ตราบเท่าที่ผู้นำยังอยู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ตาม
ส่วนคนที่เชื่อหอคอยดำหวาดวิตกถึงขีดสุดในวันที่สาม
“อะไรคือเกมน่ะ? แล้วอะไรคือการกำจัด? พวกเราต้องการแถลงการณ์อะไรสักอย่างนะ!”
“แถลงการณ์! ออกมาอธิบายหน่อย!”
“ออกมาอธิบายอะไรสักอย่างสักที!”
คนเริ่มแห่กันออกมาชุมนุม ถนนถูกปิดกั้นมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนใช้โอกาสนี้มองหาช่องทางเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ถึงจะมีตำรวจติดอาวุธคอยกันเอาไว้ แต่ด้วยจำนวนคนที่มากกว่า ดื้อดึงปฏิเสธไม่ยอมกลับ เกาะเกี่ยวกับกำแพงสีขาวจนทำพังไปหลายส่วน
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นรอบโลกเลยทีเดียว
สถานการณ์ในจีนนั้นนับว่าดีแล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์หอคอยดำ ประเทศนี้นับได้ว่ามีเสถียรภาพและความมั่นคงสูง ในประเทศที่ยากจนและอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศที่รัฐบาลมีมาตรการการป้องกันและปราบปรามที่อ่อนแอ พวกกลุ่ม ‘หอคอยดำมันอันตราย’ ก็แทบจะยึดอำนาจรัฐเหล่านั้นได้ตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ
“หอคอยดำคือพระเจ้า มันจะนำพาเราไปสู่ศตวรรษใหม่ เวลาแห่งหอคอยดำมาถึงแล้ว นายท่านผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวของพวกเรา ได้โปรดมอบพลังแห่งชีวิตใหม่ให้เราด้วย!”
“มอบพลังให้เราด้วย!”
คนมากมายคุกเข่าหน้าหอคอยดำ อ้อนวอนขอศตวรรษใหม่ที่ดีกว่าเดิม
แต่ถังโม่ไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้หรอก
เขากำกระบอกป้องกันตัวในมือแน่น ถึงจะไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาๆ แต่หน้าผากก็ยังเคลือบด้วยชั้นเหงื่อ เสียงเด็กร้องเพลงจบไปแล้ว แต่ยังมีเสียงสะท้อนก้องในห้องสมุดที่ว่างเปล่าอยู่อีกสักพัก
“ได้ยินใช่ไหม?” ถังโม่กัดฟันถาม
ร่างทรงนอนขดตัวอยู่ที่พื้น ผมเขายุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตา พอเขาเงยหน้าสายตาถังโม่ก็สบเข้ากับดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัว อีกฝ่ายกลัวจนพูดอะไรไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ เขาหดตัวเหมือนจะมุดหายเข้าไปในกำแพง มือสั่นๆ กำรอบศีรษะ “อะไร…ไอ้นั่นมันคืออะไรน่ะ…?”
ถังโม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน
พอเพลงจบลง ก็ไม่มีเสียงอื่นใดในห้องสมุดแล้ว
ถังโม่ใจเย็นลงมาก
หลายคนคงจะเสียสติถ้าเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ แต่ถังโม่ต่างออกไป
ถังโม่เป็นคนมีสติมาก ตอนที่พ่อแม่เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย แต่เขาก็ต่างจากคนอื่นที่คงจะเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ถังโม่จัดงานศพให้ทั้งสองอย่างถูกต้องตามขนบ พอทุกอย่างจบลงนั่นแหล่ะเขาถึงได้ไปแอบนั่งร้องไห้คนเดียว พร้อมกับเริ่มคิดถึงชีวิตในวันหน้า
ถ้าไม่นับหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นและความวิตกแบบแปลกๆ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาก็พบว่าตัวเองใจเย็นยิ่งกว่าที่เคยเสียอีก
ถังโม่กำกระบองแน่น จากนั้นก็คว้าหนังสือหนาๆ จากชั้นหนังสือหมวด G ขึ้นมาใช้ต่างโล่ เริ่มเดินไปสำรวจที่หน้าต่าง
นอกหน้าต่างมีแต่สีขาว
นี่เป็นหน้าต่างทางฝั่งตะวันออกของห้องสมุด ปกติเขาจะสามารถเห็นถนนสายหลักของเมืองซูโจวและสวนโบราณที่มีชื่อเสียงหลายที่ได้จากตรงนี้
ถังโม่กำมือแน่นยิ่งกว่าเก่า ถึงจะดูใจเย็นแต่เขาก็ระแวดระวังกับทุกสิ่งรอบตัวมาก ทุกครั้งที่ก้าวผ่านชั้นหนังสือก็พร้อมจะโต้กลับทุกอย่างที่อาจพุ่งเข้ามา
เขามองไปที่หน้าต่างฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ชั้นสามก่อนจะเดินกลับมาที่จุดเริ่มต้น
“พวกเราไม่ได้อยู่ที่เมืองซูโจวแล้ว”
ร่างทรงเบียดร่างกับกำแพง มองถังโม่ด้วยความหวาดกลัว
ถังโม่ไม่ได้มีอารมณ์มานั่งอธิบาย แต่สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องพูดอย่างขมขื่น “พวกเราโดนล้อมด้วยความว่างเปล่าเลย แต่ที่นี่ก็เป็นห้องสมุดจริงๆ เหมือนยกห้องสมุดไปใส่ในห้องเปล่าๆ เลย ผมทำงานที่นี่มาปีหนึ่งแล้ว พอไปดูที่โต๊ะศูนย์ช่วยเหลือ แก้วน้ำของมหาวิทยาลัยผมยังวางอยู่ที่เดิมเลย”
ร่างทรงเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวเลยออกแรงพยุงตัวเองขึ้นมา เขามองไปรอบๆ แล้วร้องขึ้นว่า “อา นี่มันหนังสือที่ฉันเอามาซ่อนไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้!”
ถังโม่มองตามปลายนิ้วเขาไป
“ฉันกลัวว่าจะมีใครมายืมหนังสือเล่มนั้นไป เลยเอาไปซ่อนตรงช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือ”
“…”
ไอ้หมอนี่เองที่เป็นคนทำ!
แต่ถึงจะอย่างไร ถังโม่ก็เป็นบรรณารักษ์และคุณร่างทรงก็เป็นขาประจำของห้องสมุด ถ้าทั้งสองยืนยันว่าที่นี่คือห้องสมุดจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะผิดพลาดไปได้
ถังโม่พาร่างทรงไปที่ตู้เก็บอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย หยิบกระบองป้องกันตัวออกมาอีกัน ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ สิ่งนี้จะช่วยทั้งปกป้องตัวเองและอีกฝ่ายถ้าทั้งสองเผชิญหน้าเข้ากับอันตรายใดๆ ก็ตาม
ทั้งสองพากันมาถึงโต๊ะศูนย์ช่วยเหลือตอนที่มีเสียงฝีเท้าดังมาจากส่วนลึกของชั้นหนังสือในชั้นสาม
ร่างทรงเบิกตากว้างด้วยความสะพรึงกลัว ถังโม่เองก็เริ่มเหงื่อออก
ในเมื่อเขาเพิ่งเดินเช็คมาว่าที่นี่ไม่มีคนอื่นแล้ว แล้วเสียงฝีเท้านั้นเป็นของใคร?
ทั้งสองคนกำกระบองในมือแน่น จ้องไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง พวกเขาถอยหลังจนชนกำแพงแล้วขณะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้านั้นประหลาดมาก เหมือนเสียงเด็กกระโดดไปมาบนพื้น ผ่านไปครึ่งนาทีก็มีเงาร่างเล็กๆ โผล่พ้นชั้นหนังสือออกมา เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่รวบผมเป็นหางม้าสองข้าง แม้ช่วงเดือนพฤศจิกายนอากาศจะหนาว แต่เธอก็ยังสวมชุดกระโปรงสีแดงกับรองเท้าหนังสีเดียวกันที่ถูกขัดจนเป็นมันวาว
เสียงที่ได้ยินคือเสียงรองเท้าของเธอกระทบพื้นนั่นเอง
“ผ…ผี! ผีเหรอ!”
ร่างทรงรีบไปหลบหลังถังโม่ทันใด
แต่คือถังโม่ก็กลัวเหมือนกันไง!
ไม่ใช่เรื่องของความใจเย็นอะไร ไอ้โมเสกนั่นมันอะไรกันน่ะ?
เด็กหญิงชุดแดงอายุน่าจะราวเจ็ดหรือแปดปี กระโปรงสั้นที่เย็บปักอย่างประณีต รองเท้าคู่เล็ก และกระเป๋านักเรียนรูปมินนี่เม้าส์สีชมพู ทุกอย่างมีรายละเอียดสูงมากจนทำให้เธอไม่ได้ดูต่างจากคนปกติเลย ติดแค่ที่ใบหน้าของเธอมีชั้นโมเสกหนาๆ ปิดไว้
ไม่มีคิ้ว ไม่มีตา ไม่มีจมูก ไม่มีปาก
มีแต่โมเสกเท่านั้น
ถังโม่กัดฟัน ข่มกลั้นความรู้สึกอยากฟาดเด็กหญิงคนนี้ให้สลบด้วยไม้ในมือ
“พี่ชาย เห็นหนังสือของหนูไหม?”
ไม่ว่าเสียงจะใสและไพเราะสักเท่าไหร่ ถังโม่ก็ยังหวาดกลัวเวลาเห็นใบหน้านั้นอยู่ดี
ถังโม่จ้องเด็กหญิงอย่างเย็นชา เขาไม่ตอบอะไรกลับไป
เด็กหญิงตัวน้อยถามอีกครั้ง “พี่ชาย เห็นหนังสือของหนูไหม?”
เด็กคนนั้นดูอ่อนแอมาก คงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จัดการเธอ แต่ที่นี่แปลกเกินไปและเด็กผู้หญิงที่มีใบหน้าเป็นโมเสกคนนี้ก็ไม่ใช่คนปกติแน่ๆ ถังโม่ไม่กล้าลดความระแวงลง ได้แต่เล่นตามน้ำไป เขาพยายามฉีกยิ้มให้เธอ “เพื่อนตัวน้อย เธอทำหนังสืออะไรหายเหรอ?”
“พี่ชาย ยิ้มน่าเกลียดจัง”
“…”
“หนังสือหนูหาย ช่วยตามหาให้หน่อยได้ไหม? แม่โกรธมาก หนูเกลียดหนังสือแต่เธอก็เอาแต่ซื้อหนังสือมาให้อ่าน หนังสือพวกนั้นน่าเกลียดก็จริงแต่แม่จะโมโหมากๆ ถ้าหนูทำมันหาย แม่จะฆ่าหนูแน่ถ้าหนูหามันไม่เจอ พี่ชาย ช่วยหาหนังสือให้หนูหน่อยได้ไหม?”
ถังโม่เลิกส่งยิ้มปลอมๆ “แม่เธอเป็นใครเหรอ?”
“แม่ก็คือแม่ไง พี่ชายทำไมแปลกจัง”
ร่างทรงพูดเสียงสั่นๆ มาจากข้างหลัง “ถ้าหาหนังสือไม่เจอ… แม่จะฆ่าเธอเหรอ”
“ใช่ แม่จะโกรธมากๆ แล้วแม่ก็เลวร้ายสุดๆ เวลาโกรธ”
ร่างทรงแย้ง “แม่เธอไม่ฆ่าเธอหรอกน่า…ใช่ไหม?”
เด็กหญิงเอียงศีรษะ แล้วหางม้าข้างหนึ่งก็ตกลงมาปรกหน้า ถังโม่ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีโมเสกปิดหน้าอยู่แล้วล่ะก็ เด็กหญิงต้องกำลังหัวเราะอยู่แน่ๆ เธอมองมาที่ถังโม่และร่างทรง “โอ้ แต่ถ้าพี่ชายไม่ช่วยหนูตามหาหนังสือ หนูก็จะฆ่าพี่ชายเอง”
เหมือนโดนถังน้ำแข็งราดหัว ถังโม่เม้มปากขณะจ้องเด็กหญิงคนนั้น
ครู่หนึ่งเขาก็ถามเบาๆ “พอจะจำได้หรือเปล่าว่ามันคือหนังสืออะไร? ผมจะได้หาให้”
“อืม…” เด็กหญิงโยกศีรษะ ผมหางม้าของเธอสะบัดไปมาเบาๆ เหมือนจะคิดหนักเอาการ เอาแต่ส่งเสียง ‘อืม’ ยาวๆ ออกมา ในที่สุดก็ตะโกนว่า “หนูจำไม่ได้!”
ถังโม่เดาได้อยู่แล้วว่าคำตอบต้องออกมาเป็นแบบนี้
แต่แล้วจู่ๆ เด็กหญิงก็โพล่งขึ้นมา “อ๊ะ! หนูต้องไปโรงเรียนแล้ว ครูจะต้องฆ่าหนูแน่ๆ ถ้าหนูไปสาย ไปก่อนนะพี่ชาย อย่าลืมช่วยหนูหาหนังสือล่ะ” เธอยกกระเป๋านักเรียนขึ้นแล้ววิ่งหายลับเข้าไปในชั้นหนังสือ
เด็กหญิงหายไปแล้ว และเกมประหลาดๆ นี่ก็เริ่มอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้ถังโม่และร่างทรงซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะศูนย์ช่วยเหลือและยังไม่ได้ขยับไปไหนตอนที่คุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้น วินาทีที่เด็กคนนั้นหายไปหน้าจอคอมพิวเตอร์ของถังโม่บนโต๊ะก็เปิดพรึ่บ เรียกให้ทั้งสองเข้าไปมุงดู
บนพื้นหลังสีน้ำเงินมีข้อความที่ดูเหมือนเป็นไดอารี่โผล่ขึ้นมา
ถังโม่อ่านออกเสียง “วันที่ 15 พฤศจิกายน ท้องฟ้าแจ่มใส หนูทำหนังสือของแม่หาย! แม่จะต้องฆ่าหนูแน่ๆ!”
ร่างทรงอุทานออกมา “ข้อความเปลี่ยนไปแล้ว! 16 พฤศจิกายน วันนี้ฟ้าครึ้ม หนูเดินผ่านแม่ไปแต่แม่ก็ยังไม่รู้ว่าหนังสือหาย หนังสืออยู่ที่ไหนกันนะ? แม่จะต้องฆ่าหนูแน่ๆ!”
ข้อความเปลี่ยนไปอีกรอบ
ถังโม่เป็นฝ่ายอ่าน “17 พฤศจิกายน วันนี้ท้องฟ้าก็ยังครึ้มอยู่ แม่เหมือนจะรู้แล้วเลย เธอรู้แล้วจริงๆ ไหมนะ?” ข้อความเปลี่ยนไป “วันที่ 18 พฤศจิกายน วันนี้ฝนตก ฮิฮิฮิ…แม่จะฆ่าหนูจริงๆนั่นแหล่ะ”
ถังโม่กับร่างทรงเงียบไปทันใด
“…นี่เราจะตายจริงๆ เหรอ?” ร่างทรงงึมงำกับตัวเอง
ถังโม่หันมองอีกฝ่าย
งานในห้องสมุดจริงๆ แล้วน่าเบื่อไม่น้อย เขาต้องคอยช่วยคนนู้นคนนี้อยู่ทุกวัน พอได้พักพวกบรรณารักษ์ก็ชอบมาคุยกันถึงเรื่องนู้นเรื่องนี่ที่ได้เจอมาในแต่ละวัน ร่างทรงเป็นหนึ่งในความบันเทิงเหล่านั้น เขาเหมือนจะไม่เคยไปทำงานเลย เอาแต่ขลุกตัวอ่านหนังสือที่ห้องสมุดทุกวัน เสี่ยวจ้าวเดาว่าเขาจะต้องถูกแฟนทิ้งแน่ๆ สภาพจิตใจเลยกลายเป็นแบบนี้
ในหัวใจของสตาฟทั้งหลาย ร่างทรงเป็นคนที่แปลกมากๆ แต่ก็ทั้งตลกและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้ในสายตาถังโม่เขาดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ถังโม่มองไปที่เขาอย่างไร้แววหวาดกลัว จริงๆ เขาก็กลัวนะ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งตัวสั่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เลือกตอบตามจริง “บางทีเราอาจจะตายจริงๆ ก็ได้”
ร่างทรงจ้องกลับมาอย่างสิ้นหวัง
“เดี๋ยวก่อน ข้อความเปลี่ยนไปอีกแล้ว เด็กหญิงโมเสกเป็นเด็กที่มีเหตุผลแล้วก็เชื่อฟัง…” สีหน้าถังโม่บิดเบี้ยวตอนที่เริ่มอ่านต่อ “ข้อเสียเดียวของเธอคือเธอไม่ชอบอ่านหนังสือ แม่ของเธอเกลียดเด็กที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะเด็กที่แอบเอาหนังสือไปทิ้งแล้วบอกว่ามันโดนขโมยไป แต่แม่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเด็กหญิงโมเสกไม่ได้โกหก เธอไม่ได้เอาหนังสือไปทิ้ง ปีศาจเป็นคนขโมยมันไป”
ถังโม่หน้าบึ้งให้คำว่า ‘ปีศาจ’
“ปีศาจเกลียดหนังสือที่สุด พวกมันอ่านหนังสือไม่ออก ทำไมมันต้องอ่านหนังสือด้วยล่ะ? มีแค่เจ้านกมีปีกเท่านั้นที่อ่านหนังสือได้? ปีศาจร้ายขโมยหนังสือแต่ถูกนางฟ้าจับได้ มันไม่ได้เผาหนังสือแต่เอาไปซ่อนไว้ในห้องสมุด แต่ชั้นหนังสือในห้องสมุดหน้าตาเหมือนกันหมดเลย พอนางฟ้าจากไป เจ้าปีศาจหน้าโง่ก็หาหนังสือไม่เจอ แล้วคำรามออกมาเสียงดัง—”
“ไอ้หนังสือบ้านี่!”
พอถังโม่อ่านจบก็มีเสียงเด็กดังขึ้นในห้องสมุด
“ดิ๊งด่อง! เกม ‘ใครขโมยหนังสือของหนูไป?’ เริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว ในระหว่างเกมนั้น—”
“ข้อหนึ่ง การใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งต้องห้าม”
“ข้อสอง นางฟ้าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือในเวลากลางวัน”
“ข้อสาม ปีศาจสามารถเลือกเผาชั้นหนังสือชั้นไหนก็ได้ในเวลากลางคืน”
“นางฟ้าที่แสนฉลาดและใจดี เด็กหญิงโมเสกจะถูกแม่ที่โกรธเกรี้ยวฆ่าในสามวัน คุณใจดำมองเด็กผู้หญิงน่ารักๆ แบบนั้นตายได้เหรอ?”
ถังโม่ “…”
เด็กนั่นน่ารักตรงไหน!!!