ตอนที่ 20 หัวใจคุณสกปรกเกินไป!!!
ถังโม่ตั้งใจฟังเสียงกรอบแกรบจากอีกฝั่ง
เสียงนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันแปลกมาก ไม่ใช่เสียงของลมหรือใบไม้ เหมือนเสียงทีวีจอขาวดำเก่าๆ ที่เขาเคยได้ยินตอนยังเด็กมากกว่า
ตั้งแต่หอคอยดำเริ่มเกม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายก็ไม่มีสัญญาณอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทีวี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ของพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากก้อนอิฐก้อนหนึ่งสักเท่าไหร่ ไม่มีใครใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกแล้ว ลืมทีวีขาวดำเก่าๆ ไปได้เลย
ถังโม่มั่นใจไป80% ว่าเสียงที่เขาได้ยินคือเสียงทีวีขาวดำ
“เสียงดังในหัวนาย?”
แทนที่จะตอบ อีกฝ่ายดันถามกลับเสียอย่างนั้น “ใช่ มันดังในหัวผมเลย”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันติดต่อไปคนละวิธีกับคราวที่แล้ว” เสียงประหลาดนั่นเพิ่มเสียงขึ้น พอเขาตั้งใจฟังก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน แต่เสียงอีกฝ่ายก็ยังเรียบนิ่งมาก “ฉันไม่ได้เคาะไข่ไก่งวงสามครั้ง”
ถังโม่สัมผัสได้ถึงอะไรแปลกๆ “คุณหมายถึง…”
“ฉันอยากใช้ไข่นี่คุณโม่ ตั้งแต่เข้ามาในเกมโจมตีหอคอยแปลกๆ อันนี้ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่เกมนี้ไม่ปกติ อยากจะขอให้นายช่วยเปิดอุปกรณ์นี้ที”
ถังโม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไรแล้ว เขาหรี่ตาตอนที่อีกฝ่ายยอมคายข้อมูลที่เขาต้องการออกมา “ไข่นี้เรียกว่าโมโม่ มันคือจุดเซฟเกม ถ้านายเคยเล่นเกม นายน่าจะเข้าใจว่าจุดเซฟคืออะไรนะ”
ถังโม่ไม่คิดเลยว่าอุปกรณ์ระดับแรร์จะมีฟังก์ชันอะไรแบบนั้น!
เกมผู้เล่นคนเดียวส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชั่นเซฟเกมให้ผู้เล่นเลือกเซฟเมื่อไหร่ก็ได้ พอเซฟเสร็จก็สามารถปิดเกมแล้วค่อยโหลดไฟล์ที่เซฟไว้ขึ้นมาตอนที่อยากเล่นต่อ หรือถ้าตาย พวกเขาก็สามารถกลับไปโหลดจุดเซฟแล้วเริ่มเล่นใหม่จากตรงนั้นได้
ที่เซฟเกม ฟังดูเข้าใจง่าย แต่เป็นอะไรที่มีค่ามากๆ ในเกมของหอคอยดำ!
เลือดสูบฉีดแล้วอะดรีนาลีนก็เริ่มหลั่ง แน่ล่ะ ใครที่ได้ยินเรื่องที่เซฟเกมคงไม่มีทางใจเย็นได้หรอก ถังโม่ไม่ได้พูดอะไร แล้วอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดสำคัญแค่ไหน เขาให้เวลาถังโม่คิดโดยไม่ได้แทรกอะไร เขาเองก็คงเป็นแบบเดียวกันตอนที่ได้มันมา
ผ่านไปนาทีหนึ่งถังโม่ก็ใจเย็นลง “อะไรคือข้อจำกัดเหรอ?”
หอคอยดำไม่มีทางให้จุดเซฟไร้ขีดจำกัดกับผู้เล่นหรอก ถ้าไม่มีข้อจำกัดเลย มันก็คงไม่ต่างจากสูตรโกงที่จะทำลายเกม
อีกฝ่ายพร้อมจะตอบอยู่แล้ว “มีสามข้อ ข้อแรก สามารถใช้เซฟได้ครั้งเดียวในรอบเจ็ดวันโดยไม่สามารถเก็บรอบที่ไม่ใช้มาใช้ทีหลังได้ ข้อสอง ระยะเวลาในการเซฟอยู่ที่หนึ่งชั่วโมง และเซฟได้เฉพาะในเกมของหอคอยเท่านั้น สามารถอ่านจุดเซฟตอนไหนก็ได้ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังเซฟ ข้อสามคือเหตุผลที่ฉันทักนายมา”
ถังโม่ขมวดคิ้ว “เหตุผลคืออะไรน่ะ?”
“ถ้าจะใช้โม… ถ้าจะใช้จุดเซฟ เจ้าของอุปกรณ์นี้ทั้งสองคนจะต้องเปิดมันพร้อมกัน หมายถึงทั้งฉันและนายไม่สามารถใช้มันด้วยตัวคนเดียวได้” เสียงนั้นหยุดไปแวบหนึ่ง “คุณโม่ วิธีที่จะเปิดจุดเซฟคือการวาดตัว ‘S’ ลงบนไข่ไก่งวง”
ถังโม่เข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทักมาเปิดเผยความลับเรื่องไข่ไก่งวงกับเขา
ถ้าเขาไม่ยอมพูด ไข่ไก่งวงในมือเขาก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ ไข่นี่ฟักไม่ได้แถมยังไม่รู้ว่าเอาไปทำอาหารแล้วจะอร่อยจริงไหม แค่วางไว้เฉยๆ กินเนื้อที่กระเป๋าเท่านั้น
ถังโม่เลือกถามตรงๆ “คุณอยากจะเปิดจุดเซฟตอนไหน?”
ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ในโลกใบนี้
ถังโม่รู้เหตุผลดีว่าอีกฝ่ายบอกเขาเพื่อที่จะสามารถเปิดจุดเซฟได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมพูดหรอก และพอถังโม่ได้ข้อมูลมาแล้ว เขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนข้อมูลนั้น
ก็คือการเปิดจุดเซฟนั่นแหล่ะ
อีกฝ่ายชะงักไปเหมือนไม่คิดว่าถังโม่จะเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ แล้วก็กระซิบ “ตอนนี้เลย ขอบคุณ”
ถังโม่ถือไข่ไก่งวงไว้ในมือซ้าย แล้ววาดตัว ‘S’ บนไข่ด้วยนิ้วชี้
พอวาดเสร็จ ตัวอักษรภาษาอังกฤษก็กระพริบบนไข่ตรงที่ถังโม่เพิ่งวาดไป ตัว S ส่องแสงสีน้ำเงินวูบวาบ เหมือนกำลังบอกว่าตอนนี้มันกำลังทำงานอยู่
“ระหว่างการบันทึกเจ้าของทั้งสองฝั่งจะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ขอโทษที แต่นายคงต้องทนฟังเสียงฉันไปอีกชั่วโมงนึง”
ถังโม่ไม่ได้ว่าอะไร เด็กๆ กำลังนอนหลับอยู่ในโรงยิม หลี่เหวินเองก็เพิ่งกลับมา เขาเลยออกไปเดินรอบๆ วิทยาเขต ฝ่าเท้าเหยียบบนใบแปะก๊วย ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะต้องฟังการเล่นเกมของอีกฝ่ายตลอดหนึ่งชั่วโมง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถามออกไป “ทำไมถึงไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะครับคุณฟู่”
ในโลกสีขาวที่ดูกว้างใหญ่จนเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด เป็นเหมือนโลกที่ว่างเปล่าเพราะจะพื้นหรือท้องฟ้าก็ล้วนเป็นสีขาว เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกองกันเป็นภูเขา มีทั้งเครื่องซักผ้า จักรเย็บผ้า วิทยุ แล้วก็ทีวีเก่าเป็นร้อยๆ อัน ของทั้งหมดนี้ถูกโยนไปทั่วโลกสีขาวใบนี้เหมือนเทขยะ
ผู้ชายท่าทางหล่อเหลาเดินผ่านของเก่าเหล่านั้น ในมือซ้ายถือไข่สีขาวที่มีตัว ‘S’ อยู่ พอประโยค ‘คุณไม่บอกผมก่อนหน้านี้’ ดังออกมาจากไข่ ฟู่เหวินตั๋วก็ก้าวช้าลง แล้วเลิกคิ้วขึ้น
“ฉันไม่รู้เรื่องข้อจำกัดนี้ จนตัดสินใจเปิดจุดเซฟนี่แหล่ะ”
ถังโม่ตอบเบาๆ “แต่คุณรบกวนเวลาผมนะเนี่ย”
ฟู่เหวินตั๋วหัวเราะแล้วเลิกพูดไป เขาเดินลึกเข้าไปในโลกของเครื่องใช้ไฟฟ้าประหลาดพวกนี้
ถังโม่เก็บไข่ใส่กระเป๋า แล้วเดินต่อ หูเขาตั้งใจฟังเสียงประหลาดเหล่านั้น บางทีก็มีเสียงจักรเย็บผ้า หรือเครื่องซักผ้ากำลังปั่นผ้าอยู่ แต่ที่แปลกคือคุณฟู่ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
ที่ถังโม่พูดไปว่ารบกวนนั่นเขาโกหก เขาไม่ได้พูดเพราะอยากแหย่อีกฝ่าย แต่เพื่อบอกเขาว่า: คุณติดหนี้ผมอยู่นะ
เจ้าของไข่ไก่งวงแลกเปลี่ยนวิธีการใช้กับการให้ถังโม่เปิดจุดเซฟ
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว
แต่ตอนนี้คุณฟู่ก็ติดหนี้ถังโม่เพิ่มอีกอย่าง และอาจจะเป็นประโยชน์กับถังโม่ในอนาคตก็ได้
คุณฟู่ไม่ได้พูดอะไร ถังโม่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดเหมือนกัน เขาเดินวนไปมาอยู่เกือบ20นาที ถึงตัดสินใจเดินกลับห้องสมุด ไปนั่งอยู่หน้าบ่อน้ำ มองแสงสะท้อนของพระจันทร์เสี้ยว
เหลืออีก40นาที
ถังโม่กำลังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรดีตลอด40นาทีที่เหลือ แต่ฟู่เหวินตั๋วก็ไม่ทำให้เขาต้องรอนานเกินไปนัก ห้านาทีถัดมาก็มีเสียงปะทะกันอย่างรุนแรง จนถังโม่ต้องตั้งใจฟัง
เขาได้ยินเสียงโลหะกระทบกันรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างการโจมตีแต่ละครั้งไม่เกินครึ่งวินาทีด้วยซ้ำ ถังโม่ได้รู้สึกเหมือนมีอะไรหลายอย่างมากที่กำลังโจมตีคุณฟู่ ตลอดห้านาทีนั้นที่อีกฝ่ายไม่ส่งเสียงอะไร พอผ่านไปสิบนาทีเขาก็เริ่มหอบนิดๆ
เสียงวัตถุหนักๆ ทำให้เดาได้ว่าคุณฟู่คนนี้คงเอาชนะศัตรูไปหลายคนแล้ว
แต่การโจมตีไม่เคยหยุดลง
เสียงกระทบกระแทกมากขึ้นและมากขึ้น มีกระทั่งเสียงมีดกระทบของแข็งๆ
ผ่านไป55นาทีแล้วตั้งแต่เริ่มเซฟ ถังโม่เหยียดหลังตรง ตั้งใจฟังเสียงเหล่านั้น ไม่ให้พลาดรายละเอียดอะไรไป
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากับอะไร แต่ฟังจากเสียงก็สัมผัสได้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของคุณฟู่นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน เขาสู้ไม่หยุดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว บางทีอาจจะมีศัตรูเป็นร้อยๆ แต่เขาก็ยังสู้ต่อ
หมอนั่นแข็งแกร่งมากเกินไปจริงๆ
ตู้ม!
มีเสียงระเบิดดังลั่น
ถังโม่ตกใจ เหมือนอีกฝ่ายจะเผชิญหน้าการระเบิดครั้งใหญ่จริงๆ
“ฉันไม่ไหวแล้ว…” เสียงแหบๆ ดังขึ้น
ถังโม่รีบพูด “เหลืออีกหนึ่งนาทีจะหมดเวลาเซฟ รีบโหลดเร็ว”
“สายไปแล้ว”
ถังโม่สับสนว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่เสียงในหัวเขาหายไปแล้ว ถังโม่รีบดึงไข่ไก่งวงออกมา เห็นตัว S จางหายไปและไม่กะพริบแสงสีฟ้าอีกแล้ว ก่อนจะคิดอะไรออก ไข่ไก่งวงก็ส่งแสงอ่อนๆ ออกมา อีกฝ่ายติดต่อมาด้วยการเคาะไข่สามครั้ง
“แพ้เกมแล้ว ฉันก็เลยโหลดไฟล์น่ะ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบวินาที ถังโม่ยังจำเสียงแหบที่ได้ยินเมื่อสิบนาทีก่อนได้ มันเหมือนว่าเขากำลังบาดเจ็บร้ายแรงอยู่ แต่ตอนนี้เสียงเขาไม่ต่างไปจากเมื่อชั่วโมงที่แล้วเลย
ถังโม่ขมวดคิ้ว “คุณฟู่ คุณบอกว่าสายไปแล้วที่จะโหลดไฟล์…”
“นายต้องวาดตัว S บนไข่เพื่อเซฟ แล้ววาดตัว L บนไข่เพื่อโหลดไฟล์ ฉันเพิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดของหอคอยดำมาแล้วมันก็แข็งแกร่งมากๆ เหลือเวลาอีกไม่ถึงนาทีแล้วหลังจากนั้นไฟล์เซฟก็จะไร้ประโยชน์ แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสวาดตัว L แล้ว”
“คุณไม่มีโอกาสจะโหลดไฟล์ ถ้าอย่างนั้น…”
“มีอีกทางหนึ่งที่จะโหลดไฟล์ได้” ผู้ชายคนนั้นตอบมาอย่างใจเย็น “ทันที่เปิดจุดเซฟ ถ้านายตายในหนึ่งชั่วโมงนั้นไฟล์จะถูกโหลดโดยอัตโนมัติ ฉันก็เลยฆ่าตัวตาย ให้มันโหลดอัตโนมัติ”
ถังโม่เงียบไป
ไม่ลังเลที่จะฆ่าตัวตายในสถานการณ์ฉุกเฉิน…ถังโม่เองก็คงทำแบบเดียวกัน แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใจเด็ดขนาดนี้
“เสียเวลาไปชั่วโมงนึงเพราะฉันเลย นายยุ่งอยู่หรือเปล่า? ขอโทษที”
ถังโม่เอาแต่นั่งมองดาวกับพระจันทร์มาชั่วโมงหนึ่งแล้ว “ผมโอเค ไม่เป็นไรหรอก” ไว้ให้อีกฝ่ายชดเชยในอนาคตก็ได้
“เมื่อกี้ฉันไปเล่นเกมโจมตีหอคอยชั้นสองมาน่ะ” เสียงเขาต่ำและเยือกเย็นแม้ว่าเนื้อความจะชวนให้คนฟังต้องตกใจ “พอความแข็งแกร่งของผู้เล่นถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะถูกหอคอยบังคับให้เริ่มเกมโจมตีหอคอย นี่คือทางหนึ่งในการเปิดเกมโจมตี แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะมีวิธีอื่นอยู่”
ถังโม่อึ้งไปตั้งแต่ได้ยิน ‘เกมโจมตีหอคอยชั้นสอง’
เขาเดาได้แล้วว่าคุณฟู่คนนี้เป็นใคร…
เสียงทุ้มต่ำที่ดึงดูดของอีกฝ่ายเหมือนแฝงรอยยิ้มที่มองไม่เห็นมาด้วย “สวัสดีถังโม่ ฉันชื่อฟู่เหวินตั๋ว”
พอสายของโมโม่ตัดไป ถังโม่ก็ยังไม่ได้ลุกกลับไปทันที เขานั่งค้างอยู่อย่างนั้น จ้องมองไข่ไก่งวงในมือ
ฟู่เหวินตั๋ว
ผู้ลักลอบฟู่เหวินตั๋ว
ตอนที่เขาเปิดเกมโจมตีหอคอย คนทั้งประเทศจีนสาปแช่งเขา แล้วอยากจะหั่นเจ้าฟู่เหวินตั๋วคนนั้นให้เป็นชิ้นๆ
ก่อนหน้านี้หลี่เหวินเคยบอกถังโม่ว่าถ้าเขาเจอผู้ลักลอบที่ทำให้ผู้เล่นในจีนทุกคนต้องโจมตีหอคอย เขาจะสู้กับหมอนั่น ทรมานผู้ลักลอบคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมสักสามวันสามคืน
พอโหลดจุดเซฟแล้วฟู่เหวินตั๋วก็บอกเขาว่าจะไปหาทางออกจากเกม ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะโจมตีชั้นสอง เขาเลยจะยอมแพ้ก่อนชั่วคราว
ฟู่เหวินตั๋วบอกถังโม่ว่าเขากำลังเล่นเกมโจมตีหอคอย
ถังโม่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กลายมาเป็นเพื่อนที่จะเปิดอกคุยกันทุกอย่างได้อย่างปุบปับหรอก บางทีเขาอาจจะยอมบอกถังโม่เพราะ ‘ทำนายเสียเวลาไปชั่วโมงหนึ่งเลย’ ก็ได้ แต่บางทีความรู้สึกอาจจะเป็นส่วนใหญ่ที่ผสมปนเปกับเหตุผลอื่นๆ เข้าไว้
ตอนนี้ถังโม่ก็รู้แล้วว่าพอความแข็งแกร่งของคนถึงจุดๆ หนึ่ง พวกเขาก็จะโดนบังคับให้เปิดเกมโจมตีหอคอย ฟู่เหวินตั๋วไม่ได้เต็มใจจะเปิดเกมโจมตีชั้นแรกของหอคอยเลย เขาถูกบังคับ แล้วก็บังเอิญลากผู้เล่นชาวจีนเข้าไปกับเขาด้วย
แต่ไม่มีผู้เล่นคนไหนถูกดึงเข้าไปในเกมโจมตีชั้นสองอีก ถังโม่เดาว่ามีสองความเป็นไปได้
หนึ่งคือหอคอยดำให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผู้เล่นคนแรกที่เปิดเกมโจมตีหอคอย มันจะประกาศไปทั่วทั้งโลกแล้วดึงผู้เล่นจากเขตนั้นๆ เข้าไปโจมตีด้วย ฟู่เหวินตั๋วเป็นชาวจีนคนเดียวที่ผ่านชั้นหนึ่งแล้ว ไม่มีใครนอกจากเขาที่สามารถโจมตีชั้นสองได้ ก็เลยไม่มีผู้เล่นถูกดึงเข้าไปด้วย
ถังโม่มองน้ำที่ใสจนเห็นปลาตัวเล็กว่ายอยู่ที่ก้นบ่อน้ำ ทำให้เกิดรอยคลื่นตื้นๆ
“…เขาได้ยินเฉินชานชานเรียกผมว่าพี่ถังเหรอ? เขาเรียกผมว่าคุณโม่มาตั้งแต่ต้นเลยนี่นา”
ถังโม่ฮึดฮัดหน่อยๆ แล้วยอมเดินกลับโรงยิมไปนอน
หลังจากค่ำคืนแห่งการต่อสู้ถังโม่นอนยาวถึงแปดโมงเช้า แต่คนอื่นเหนื่อยกว่าเขา โดยเฉพาะพวกเด็กมัธยมทั้งหลาย พวกเขาตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง เด็กๆ ก็ไม่ได้นอนดีๆ มาหลายวันแล้ว เกมโจมตีหอคอยเปิดขึ้นมาแถมยังมีเรื่องการแก้เผ็ดจากผู้ลักลอบอีก พวกเขาเลยอ่อนล้ากันหมด
พอบ่ายสอง ถังโม่กับหลี่เหวินก็ไปที่ร้านสะดวกซื้อในโรงเรียนเพื่อหยิบน้ำกับอาหาร เด็กๆ เริ่มตื่นมากินอาหารแล้ว
ถังโม่หยิบน้ำสองขวดกับบิสกิตอีกนิดๆ หน่อยเติมลงในกระเป๋า
หลังจากนั้นถังโม่กับหลี่เหวินก็พร้อมจะไป
เด็กชายตัวอ้วนแตกตื่น "พี่ถัง พี่หลี่ จะไม่อยู่กับพวกเราเหรอ?”
เฉินชานชานที่รู้อยู่แล้วยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เด็กนักเรียนคนอื่นเองก็อยากให้ทั้งสองอยู่ต่อเหมือนกัน
หลี่เหวินลังเลขณะที่ถังโม่ยังใจเย็น “พวกเธอมีกันห้าคน ผู้เล่นอย่างเป็นทางการสองคนกับผู้เล่นสำรองสามคน พวกเธอเป็นนักเรียน อยู่รวมกันดึงดูดความสนใจมากอยู่แล้ว ถ้ารวมเราเข้าไปอีกก็ไม่ต่างอะไรจากแกะอ้วนๆ ในสายตาคนอื่น แต่หมายถึงแค่พวกเธอน่ะนะ”
เด็กๆ อึ้งไป
“ผมแนะนำสองทาง พวกเธอห้าคนไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ผู้เล่นอย่างเป็นทางการสองคนอยู่แยกกันก็ได้ เจ้าอ้วนน้อยกับเธออีกสองคน แล้วก็เฉียวเฟยเฟยกับชานชาน เธอสองคนแข็งแกร่งพอที่จะร่วมมือกันได้”
เฉียวเฟยเฟยคัดค้าน “แต่หนูไม่อยากแยกจากคนอื่น…”
เฉินชานชานคิดแล้วพยักหน้า “ที่คุณพูดก็เข้าใจได้ เราห้าคนอยู่ด้วยกันคงดึงดูดสายตามากเกินไป ยังไงคนที่มีมากที่สุดก็คือผู้เล่นสำรองไม่ใช่ผู้ลักลอบ แต่พอเวลาผ่านไปการฆ่าใครก็ไม่ได้จำกัดอยู่กับผู้ลักลอบอย่างเดียวอีกแล้ว พวกเราเองก็เคยฆ่ากันมาหมด นักเรียนมัธยมห้าคนไปไหนมาไหนด้วยกันมันอันตรายเกินไป พวกเราจะพักอยู่ที่นี่กันอีกคืนแล้วแยกย้ายกันพรุ่งนี้”
เด็กนักเรียนทั้งหลายฟังเฉินชานชานเพราะคำพูดของเธอมักจะถูกต้องอยู่เสมอ พวกเขาก็ไม่ได้อยากจะแยกจากกันแต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจ
ก่อนจะจากไปถังโม่มองเฉินชานชาน “ผมจะไปตามหาเพื่อน เขาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้แถวผู่ตง คงจะพาพวกเธอไปด้วยไม่ได้ แต่อีกสิบวันผมจะกลับมาที่นี่อีกรอบถ้ามีโอกาส” ถังโม่ไม่ได้แข็งแกร่งพอจะปกป้องเด็กๆ พวกนี้ตลอดไป ถ้าพวกเขาอยากจะมีชีวิตรอด เด็กๆ เหล่านี้ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง
ถังโม่กับหลี่เหวินยืนอยู่ที่หน้าโรงเรียนแล้วบอกลาพวกเด็กๆ
หลี่เหวินยังลังเลที่จะไป แต่เขาเองก็อยากกลับบ้านไปดูให้แน่ใจว่าพ่อแม่ของเขาตายหรือยัง
พอทั้งสองออกจากโรงเรียนหลี่เหวินก็เอ่ยถาม “ถังโม่ เมื่อคืนคุณกลับมาช้ามาก ตอนนั้นตีสามหรือตีสี่นะ? ไปทำอะไรอยู่ข้างนอกตั้งนาน?”
“ผมไปคิดเรื่องก่อนที่โลกจะออนไลน์แล้วก็ไปเดินสำรวจนิดหน่อยน่ะ ” ถังโม่ไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับไข่ไก่งวงหรือว่าฟู่เหวินตั๋วได้
หลี่เหวินเองก็ไม่ได้ซักไซ้ ระหว่างทางกลับบ้านเขาเอาแต่พูดถึงเรื่องพ่อแม่ เขายังดูร่าเริงแต่จู่ๆ ก็เสียงสั่นแล้วเดินช้าลงเรื่อยๆ
ถังโม่มองเขา
เขาพยายามจะใจเย็น แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าเมื่อกลับไปบ้านจะว่างเปล่าแล้ว
บ้านของหลี่เหวินอยู่ที่เขตจิงอัน เดินมาราวสองชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้าน
ยิ่งใกล้ถึง หลี่เหวินก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆ
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังเดินเข้าไปในหมู่บ้านที่เรียงรายด้วยบ้านสามชั้น
หลี่เหวินยืนอยู่หน้าประตูเหล็ก ลังเลที่จะเปิดประตู เขาไม่รู้ว่าถ้าเข้าไปจะเจอพ่อแม่หรือจะเจอบ้านที่ว่างเปล่า
ถังโม่กำลังจะไปผู่ตงและที่นี่ก็เป็นทางผ่าน เขาเลยแวะมาส่งหลี่เหวินที่นี่ ในโลกแบบนี้จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เขาระวังผู้ลักลอบหรือคนไม่ดีคนอื่นอยู่เสมอ คนสองคนเดินไปด้วยกันย่อมดีกว่าเดินคนเดียวแน่ๆ
หลี่เหวินยืนอยู่หน้าประตู เอื้อมมือไปหาลูกบิดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เปิดมัน
ห้านาทีถัดมา ถังโม่เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปแล้วกระแทกประตูเหล็กอย่างแรง เขาเปิดประตูแล้วหันกลับมา “ไม่มีกับดักบนประตู ไม่น่ามีผู้ลักลอบอยู่แถวนี้”
หลี่เหวินมองถังโม่ด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วพยักหน้า “อา ไม่มีอันตราย…”
ถังโม่ใช้ผู้ลักลอบเป็นข้ออ้างช่วยหลี่เหวินเปิดประตู
อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง หลี่เหวินรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปในสวน ถังโม่เตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินไปถึงประตูด้านใน “ระวังไว้นะเผื่อมีศัตรู”
สองคนมองหน้ากันแล้วถังโม่ก็เตะประตูให้เปิด
ปัง!
ประตูไม้มะฮ็อกกานีร่วงไปอยู่ที่พื้น ฝุ่นจางๆ ลอยฟุ้งขึ้นมา
พอแน่ใจว่าไม่มีศัตรูในบ้าน ถังโม่ก็รีบขึ้นบันได ตะโกนหาพ่อแม่ แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
พ่อกับแม่ของถังโม่เสียไปนานแล้ว เขาไม่ได้ตามเข้าไป แค่ยืนอยู่ที่ทางเข้า มองหลี่เหวินตะโกนเรียกชื่อพ่อแม่ของตน
หลี่เหวินเดินทั่วบ้านแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใคร เสียงเขาสิ้นหวังขึ้นทุกที
แล้วจู่ๆ เขาก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “คุณแม่ยังไม่ตาย เธอยังมีชีวิตอยู่!”
ถังโม่มองไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยความประหลาดใจ เห็นหลี่เหวินวิ่งออกมาพร้อมเศษกระดาษในมือ หน้าเขาเปี่ยมสุขจนตัวสั่นไปหมด “ถังโม่ คุณแม่ผมยังมีชีวิตอยู่! คุณแม่บอกว่าคุณพ่อหายไปแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย เซี่ยงไฮ้ยุ่งเหยิงไปหมด เลยจะกลับไปที่หมู่บ้านเก่าชั่วคราว ถ้าผมยังอยู่ให้ไปตามหาเธอด้วย ถังโม่ คุณแม่ผมยังมีชีวิตอยู่!”
ถังโม่หัวเราะ “ยินดีด้วยนะ”
หลี่เหวินดีใจอยู่ได้ครู่หนึ่งก็นิ่งไป “คุณพ่อผมหายไปแล้ว...”
“ไปตามหาแม่นายก่อนเถอะ”
หลี่เหวินก้มหน้า แล้วเงียบไป ก่อนเขาจะกำกระดาษในมือแน่น่แล้วพยักหน้า
บ้านเก่าของหลี่เหวินอยู่ที่คุนซาน ปู่ย่าตายายเขาเสียไปหมดแล้ว แถมยังไม่ได้ญาติมากมาย เขามีแค่พ่อแม่ แล้วตอนนี้เขาก็รู้ว่าแม่ของตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องไปตามหาเธอ
ทั้งคู่แยกกันที่ทางแยกไปจิงอันกับหวงผู่
หลี่เหวินมองแผนที่เมืองเซี่ยงไฮ้จากแผงหนังสือพิมพ์แล้วใช้ปากกาขีดลงไป
“ผู่ตงอยู่ใกล้ฝั่งนี้ที่สุด ตอนนี้เรือข้ามแม่น้ำหวงผู่ใช้ไม่ได้ คุณน่าจะต้องไปเดินข้ามสะพานหนานผู่ตรงนั้นแทน...”
ถังโม่จดจำเส้นทาง แล้วเก็บแผนที่ เขามองลูกคนรวยที่แสนโง่เง่าตรงหน้า
ทั้งสองมองกันอย่างไร้คำพูด พอผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เหวินก็ยิ้ม “ตอนนี้ผมยังอ่อนแออยู่ คงจะถ่วงคุณมากแน่ๆ ถ้าไปกับคุณ เดี๋ยวผมจะไปตามหาคุณแม่ก่อน หวังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะถังโม่”
ถังโม่โบกแผนที่ “ขอบคุณ หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ”
หลี่เหวินยิ้ม “ไม่ใช่ว่าคนที่ต้องขอบคุณคือผมเหรอ? ผมโง่จะตาย ถ้าเข้าไปเล่นเกมที่ต้องใช้สมองในอนาคตผมยังไม่รู้เลยว่าจะรอดไปได้ไหม ต้องขอบคุณคุณจริงๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา”
ถังโม่ไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่ทั้งสองบอกลาแล้วแยกย้ายกันไป
หลี่เหวินเดินไปได้แค่ 10 เมตรตอนที่ถังโม่ตะโกนเสียงดัง “เพิ่งคิดอะไรได้ หลี่เหวิน กลับมานี่หน่อยสิ”
หลี่เหวินรีบวิ่งกลับมา “มีอะไรเหรอ?”
ถังโม่ยิ้มใส่เขาโดยไม่พูดอะไร
หลี่เหวินสับสนหนัก “ถังโม่?”
“ผมบอกให้นายกลับมานายก็กลับมาจริงๆ เนี่ยนะ? เจ้าอ้วนน้อยไม่ใช่คนที่ต้องระวังตัวจริงๆ ซะแล้ว” ถังโม่ยิ้ม “โชคดีนะ คุณลูกคนรวยผู้โง่เง่า”
หลี่เหวิน “...นี่คิดว่าผมเป็นลูกคนรวยโง่เง่ามาตลอดเลยเหรอ? มองผมแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย”
ถังโม่ “…” หมอนี่ไม่ได้โฟกัสจุดที่ควรโฟกัสด้วยซ้ำ!
ทั้งสองคนหัวเราะ ครั้งนี้คือการบอกลาที่แท้จริง
พอแยกกับหลี่เหวินถังโม่ก็ถือแผนที่ แล้วเริ่มเดินไปที่ย่านผู่ตง
ตอนมีคนอยู่รอบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอตอนนี้เขาอยู่คนเดียว ถังโม่ก็รู้สึกวังเวงพิกล เขาใส่แผนที่ลงในกระเป๋า แล้วเริ่มเดิมไปตามขอบถนน ซ่อนตัวในเงา
ตอนนี้ค่ำแล้ว คนบนถนนบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เกมเริ่ม มหานครใหญ่ๆ ของโลกก็ไม่ใช่เมืองแห่งค่ำคืนอีกต่อไป กลางคืนอันตรายกว่าตอนกลางวัน ที่ๆ มองไม่เห็นอาจจะมีศัตรูซ่อนอยู่ ไม่มีใครอยากจะอยู่บนถนนในตอนกลางคืนหรอก
ถังโม่เดินมาชั่วโมงหนึ่งจนเกือบถึงสะพานหนานผู่แล้ว เขาก็หยุด
เขาตัดสินใจจะไม่รีบ
ไม่มีใครรู้ว่าจะมีผู้ลักลอบซ่อนอยู่ตรงหัวมุมไหน จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ผู้ลักลอบ คนแปลกหน้าที่ไหนก็อันตรายทั้งนั้น
ถังโม่เจอร้านฟาสต์ฟู้ดร้านหนึ่ง พอมั่นใจว่าไม่มีใครเขาก็เข้าไปในร้าน แทนที่จะเปิดไฟ เขาเลือกดึงเก้าอี้ไปขวางประตู แล้ววางตะเกียบไปวางที่ขอบหน้าต่าง ปลายด้านหนึ่งของตะเกียบอยู่ติดกับหน้าต่าง มองจากด้านนอกเข้ามาไม่ได้เพราะฝ้ากระจก แต่ถ้ามีคนพยายามจะปีนหน้าต่างเข้ามา ตะเกียบก็จะตกและทำให้เกิดเสียง
เขาดึงผ้าปูโต๊ะลงมาปูพื้นแทน
ร่างกายของผู้เล่นอย่างเป็นทางการนั้นแข็งแกร่งสุดๆ กลางคืนของฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้ ถึงจะนอนพื้นถังโม่ก็ไม่ได้รู้สึกหนาว จริงๆ เขาไม่ได้ง่วงด้วยซ้ำ ก็แค่เข้ามาหาที่พักรอจนกว่าจะพ้นกลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายโดยใช่เหตุ
สี่วันแล้วหลังจากเกมเริ่ม ผ่านมาสี่วันแบบนี้ นอกจากพวกที่เป็นฆาตกรอยู่แล้วอย่างผู้ลักลอบ จะผู้เล่นอย่างเป็นทางการหรือผู้เล่นสำรองก็ประมาทไม่ได้ทั้งนั้น
บางทีทุกคนอาจจะมือเปื้อนเลือดกันหมดแล้วก็ได้
ถังโม่นอนอยู่บนพื้น ชูมือตัวเองขึ้น แสงจันทร์ส่องผ่านฝ้ากระจก ทำให้ภายในร้านฟาสต์ฟู้ดนี้สว่างขึ้นนิดหน่อย ถังโม่มองฝ่ามือของตนอย่างใจเย็น
เขาฆ่าคนไปแล้วสองคน
ครั้งแรก เฉียนซานคุนตั้งใจจะฆ่าเขา ถังโม่เลยบังเอิญฆ่าโจรคนนั้นไป
ส่วนอีกคนนั้นถังโม่ลงมือด้วยตัวเอง เขาใช้ไม้ขีดไฟอันใหญ่ ทุบจนชายที่พ่นไฟได้กะโหลกแตก
แล้วยังมีคนที่เขาไม่ได้ฆ่าตรงๆ อย่างชายแขนเดียวกับมือปืนอีก
ใบหน้าของคนเหล่านั้นวิ่งผ่านสายตาของถังโม่ เขาพบว่าตัวเองจำหน้าเฉียนซานคุนไม่ได้แล้ว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ยามเขาคิดถึงคนพวกนั้น หัวใจเขาเต้นสม่ำเสมอปกติ
“ผู้ลักลอบ..”
ถังโม่ดึงไข่ไก่งวงออกจากกระเป๋า มันมืดเกินกว่าจะเห็นไข่สีขาวได้ มีเพียงเงามืดๆ เท่านั้น
“ผู้ลักลอบฟู่เหวินตั๋ว เขาฆ่าใครกันนะ?”
คนหนึ่งอยู่เซี่ยงไฮ้ อีกคนอยู่ปักกิ่ง พวกเขาอยู่ห่างกันเกิน 1000 กิโลเมตร ถังโม่ไม่ได้กลัวฟู่เหวินตั๋ว ที่ถูกผู้เล่นชาวจีนทุกคนเกลียดคนนั้น ต่อให้ฟู่เหวินตั๋วเป็นผู้ร้าย เขาจะบินมาถึงเซี่ยงไฮ้เพื่อฆ่าถังโม่เหรอ? ไม่มีทางหรอก ถ้าฟู่เหวินตั๋วมีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้จริงๆ ถังโม่ก็คิดว่าตัวเองอาจจะตายไปนานแล้ว
ถังโม่แตะเจ้าไข่เบาๆ เขาแตะไปสองครั้งแล้ว ตอนที่จะแตะครั้งที่สามนิ้วเขาก็หยุดกลางอากาศ เขาวางไข่ไก่งวงใส่กระเป๋าเหมือนเดิม แล้วปิดตานอน
เช้าตรู่วันถัดมา ถังโม่ออกจากร้านอาหาร มุ่งหน้าไปผู่ตง
ระหว่างทาง ถังโม่เจอเด็กหนุ่มคนนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาคุยด้วยท่าทีสนิทสนม อีกฝ่ายคิดว่าถังโม่เป็นรุ่นน้องที่มหาลัย แล้วรีบวิ่งเข้ามาถามไถ่
มีคนที่โง่เง่าขนาดนี้บนโลกด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าเขาควรจะกลัวคนแปลกหน้าหลอกหลังจากเกมเริ่ม?
ถังโม่รู้สึกว่าหัวใจของเขาสกปรกเกินไป เขาคิดมากเกินไปแล้ว บางทีเขาควรจะใช้ชีวิตธรรมดาแล้วเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความดีงามหรือเปล่า?
ทันทีที่พ้นสะพานหนานผู่มาได้เขาก็เห็นศพสองศพ
คอพวกเขาถูกตัดด้วยของมีคม ร่างเปลือยเปล่าของพวกเขาถูกโยนทิ้งไว้ใต้สะพาน และกระเป๋าก็ว่างเปล่า เดาได้ว่าถูกปล้น พอมองดีๆ ก็พบว่าพวกเขาน่าจะเพิ่งตายเมื่อคืนนี้
...อืม หัวใจเขาน่าจะยังปกติดี
ถังโม่อาศัยเส้นทางที่หลี่เหวินเขียนไว้แล้วเจอย่านพักอาศัยที่เพื่อนเขาอยู่ในช่วงเที่ยง แถวนั้นเงียบสนิท พอถังโม่เข้าไปก็เห็นชายชราถือถุงขนาดใหญ่กำลังเดินออกมา อีกฝ่ายเห็นถังโม่เดินเข้าไปแล้วมองด้วยความประหลาดใจ เหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วรีบวิ่งออกไป
ถังโม่ขมวดคิ้ว
ชายชราคนนั้นดูแปลกๆ อยู่สักหน่อย
ที่พักอาศัยแถวนี้ใหญ่ และถูกแบ่งเป็นแนวตะวันตกและตะวันออกด้วยถนนที่กึ่งกลาง ถังโม่เดินไปทางตะวันตก มีตึกสูงหกตึก เพื่อนเขาอาศัยอยู่ในอาคารส่วนที่ลึกที่สุด ถังโม่เคยมาเยี่ยมเพื่อนเขาเมื่อปีก่อนและยังรู้ทางอยู่
ตรงกลางอาคารทั้งหกนั้นมีสวนสำหรับออกกำลังกายอยู่
มีศพหกศพนอนอยู่ที่ใจกลาง ถังโม่ลองเข้าไปสำรวจดู ในนั้นไม่มีเพื่อนของเขา มีชายวัยกลางคนสองคน เด็กสาวหนึ่งและเด็กหนุ่มอีกสาม ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงตายที่นี่ แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะตายมามากกว่าหนึ่งวัน
ชายวัยกลางคนยังถือมีดทำครัวในมือ เด็กสาวนอนจมกองเลือด และหนึ่งในเด็กหนุ่มพวกนั้นมีรูเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ที่กลางอก แต่ไม่มีอาวุธ
ถังโม่มองแผลบนร่างเหล่านั้น แล้วเริ่มคิด
เด็กสาวถูกแทงจนตายเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่ตายเพราะความสามารถคล้ายๆ กัน
มีโอกาส 70% ที่หกคนนี้จะฆ่ากันเอง แน่นอนว่าอาจจะมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย แต่ก็มีแค่หกคนที่ตายที่นี่
ถังโม่สำรวจศพทั้งหกเรียงกันไป แต่เขาไม่เคยหลุดความระแวดระวังรอบข้าง เป็นไปได้ว่าเพื่อนของหกคนนี้จะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เขาจะประมาทตอนตรวจสอบศพพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ถังโม่หยิบมีดทำครัวของชายวัยกลางคนขึ้นมา แล้วลองทาบกับรอยแผลของเด็กสาว รอยมีดได้ขนาดพอดีกัน ผู้หญิงคนนี้ถูกฆ่าด้วยมีดเล่มนี้
ถังโม่ไม่ได้มองหาข้อสรุปอื่นๆ เขาเลิกสนใจเรื่องนี้ แล้วแตะรอยสักรูปไม้ขีดไฟที่ข้อมือ
เด็กๆ ยกไม้ขีดไฟให้เขา เด็กชายตัวอ้วนบอกว่าความสามารถของเขาอ่อนแอก่อนไป เลยใช้ไม้ขีดไฟที่ใหญ่และหนักอย่างนี้ไม่ได้ เด็กๆ คนอื่นก็เลือกจะยกมันให้ถังโม่ เขาเลยไม่ปฏิเสธ
ถังโม่เดินเข้าไปในอาคารที่เพื่อนเขาอาศัยอยู่ เขาใช้บันไดแทนลิฟท์ เพื่อเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นเจ็ด แต่เหมือนจะไม่มีใครอยู่ในตึกนี้ มีแค่เสียงฝีเท้าของตัวเองให้เขาได้ยิน
ถังโม่มาถึงห้องของเพื่อนเขาแล้วออกแรงพังล็อคเข้าไปดูภายในห้อง
ไม่มีใคร
ไม่มีกระดาษโน้ตเหมือนที่แม่ของหลี่เหวินทิ้งไว้
ถังโม่เดินไปบนที่โต๊ะ เห็นจานเล็กๆ ที่มีผักดองขึ้นรา กับโจ๊กที่กินไปครึ่งหนึ่งอยู่ ฝุ่นบางๆ จับตัวบนโจ๊กนั้นทำให้มันดูขุ่น ตะเกียบอันหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่อีกครึ่งหล่นอยู่ที่พื้น เหมือนจู่ๆ คนที่ถือก็สูญเสียแขนของเขาไป ทำให้ตะเกียบหล่นลงไปที่พื้น บางทีเขาอาจจะหายไปทันทีแล้วตะเกียบก็ร่วงหล่นก็ได้...
โอกาสที่เพื่อนของเขาจะรอดมีน้อยกว่า 10%
ถังโม่หยิบขวดน้ำกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาจากตู้เก็บของในห้องครัวแล้วยัดใส่กระเป๋า ก่อนจะจากไปเขาก็หยุดมองโต๊ะกาแฟที่มีกรอบรูปใส่รูปเด็กหนุ่มสามคนในชุดจบการศึกษา คนหนึ่งคือถังโม่ อีกคนตัวผอมสูง และคนสุดท้ายเจ้าเนื้อหน่อยๆ
เด็กหนุ่มทั้งสามคนกอดคอกันแล้วโยนหมวกขึ้นฟ้าเพื่อเฉลิมฉลอง
พอมองไปนานๆ ถังโม่ก็ยื่นนิ้วไปแตะใบหน้าของคนที่เด็กหนุ่มร่างอ้วน
“ห่าวซือ ผมยังมีชีวิตอยู่ดีนะ”
แล้วถังโม่ก็หันหลังจากไป
ในรูปถ่าย เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มสดใสเหลือเกิน
ย่านพักอาศัยนี้เหมือนตายไปแล้ว ถังโม่ลงบันไดมาเตรียมตัวจะออกจากที่นี่ เขาเดินตามถนนไป แล้วเพิ่งจะได้เลี้ยวที่หัวมุมก็เจอคนหน้าตาคุ้นๆ
ถังโม่ชะงัก
ชายชราที่เขาเดินสวนไปก่อนหน้านี้นั่งอยู่บนแปลงดอกไม้ข้างถนน เขาได้ยินเสียงเลยเงยหน้าขึ้นมา พอเห็นถังโม่เขาก็โบกมือให้ “เด็กน้อย ข้อเท้าฉันแพลง ช่วยหน่อยได้หรือเปล่า?”
ถังโม่เว้นระยะห่าง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ห่างไปสักสิบเมตรมีเด็กหนุ่มสาวนั่งอยู่บนแปลงดอกไม้อีกฟาก พอได้ยินชายชราพูดคุยกับถังโม่ ทั้งสองก็รีบลุกมา เด็กหนุ่มยกฝ่าเท้าชายชราขึ้นดูอย่างระมัดระวัง “อา ข้อเท้าพลิกจริงๆ ด้วย เราจะทำยังไงดีเนี่ย เพื่อน ช่วยเข้ามาช่วยหน่อยได้ไหม?”
เด็กสาวเองก็พูดเหมือนกัน “ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สุดหล่อ เธอรู้ไหมว่าจะต้องทำยังไงถ้าข้อเท้าพลิกน่ะ?”
“ผมไม่รู้” ถังโม่มองอย่างใจเย็นแล้วเดินจากไป
ชายชรารีบตะโกน “อย่าให้เขาหนีไปได้!”
คนสี่คนพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ มีหญิงวัยกลางคนหนึ่งคน กับชายวัยกลางคนอีกสามคน
ถังโม่หมุนตัวหนีแทบจะทันทีที่ชายชราพูด ทั้งสี่ไม่ได้คิดว่าถังโม่จะตอบสนองเร็วขนาดนั้น เลยอึ้งไปแวบหนึ่ง พอตั้งสติได้ นอกจากพวกเขาแล้ว ทั้งคู่รักหนุ่มสาวและชายชราที่ควรจะข้อเท้าพลิกอยู่ก็วิ่งตามถังโม่มา
ถังโม่พุ่งตัวหนีอย่างรวดเร็ว
“กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ถังโม่กำลังจะเลี้ยวที่หัวมุมตอนที่สายลมประหลาดพัดใส่เขา ดึงเขากลับไป ถังโม่กัดฟัน วางมือหนึ่งลงบนแปลงดอกไม้ ตั้งใจจะใช้เป็นฐานส่งแรง แต่วินาทีที่เขาแตะแปลงดอกไม้นั้น---
“เขาจับมันแล้ว!”
“เขาจับมันแล้ว!”
หัวใจถังโม่เต้นแรง
“ดิ๊งด่อง! เกมส่วนตัวแบบมัลติเพลเยอร์ขนาดใหญ่ ‘เกมโมโพลีของมาริโอ’ ถูกทริกเกอร์แล้ว เวลา 17นาฬิกา 2 นาที วันที่ 22 พฤศจิกายน 2017 ผู้เล่นหลี่เฉิน หยวนฉี หลิวเฟยเฮา จ้าวกั๋ว หลินปางเฉิง หลิวซือเม่ย ฉีเฟิง และถังโม่ เข้าสู่เกมโดยสวัสดิภาพ”
“กำลังโหลดแซนด์บ็อกซ์...”
“โหลดสำเร็จ”
ถนน ต้นไม้ และอาคารสูงหายไป
แสงสีขาวสว่างจ้า ทำให้ถังโม่ลืมตาไม่ขึ้น แสงนั้นอาบย้อมโลกทั้งใบจนเป็นสีขาว แล้วเสียงของวีดีโอเกมคุ้นๆ ก็ดังในหูทุกคน
“ดา ดา~ ดา~ ดา~ ดา~”
คนอย่างน้อยก็สองพันล้านคนในโลกเคยได้ยินเพลงนี้
เสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ง่ายๆ ที่แสนสดใสดังขึ้นในโลกที่มีแต่สีขาว
ดนตรีเล่นต่อไปตอนที่แสงสว่างเข้มขึ้น ถังโม่แทบจะไม่เห็นว่าอะไรอยู่ตรงหน้าเขา เขาเงยหน้าขึ้นไปเห็นร่างใหญ่ยักษ์ที่สูงเกิน 2 เมตร ลอยลงมาจากท้องฟ้า เขาใส่หมวกสีแดงที่มีตัว M จมูกเขาใหญ่ และเสื้อผ้าก็เป็นสีน้ำเงินทั้งหมด
ด้วยความสูงขนาดนั้นทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตายักษ์ทำจากไม้ที่มักจะขยับอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาใหญ่ มองกวาดไปที่ทุกคนจนมาถึงถังโม่ ก่อนจะชูมือขวา แล้วทำท่าสุดคลาสสิคอย่างการชูนิ้วโป้ง
ตู้ม!
มาริโอยักษ์หล่นกระแทกพื้นเวทีที่มีไฟกะพริบ
“ทุกๆท่าน, ข้าคือ! มาริโอ!”