ตอนที่ 2 : ใครขโมยหนังสือของหนูไป?
โลก
วินาทีนี้มนุษย์ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว และหันไปมองหอคอยดำที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไม่มีใครเคยรู้สึกว่าหอคอยใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนทุกคนก็มองเห็นจุดแสงสีน้ำเงินที่กระพริบเหมือนคอมพิวเตอร์เก่าๆ ที่กำลังจะพัง แล้วตัวอักษรสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางหอคอยพร้อมกับเสียงเหมือนเด็กที่ประกาศก้อง
“ดิ๊งด่อง! ในสามวันนี้ ขอให้ผู้เล่นกำจัดผู้เล่นคนอื่นโดยไม่จำกัดวิธีการเล่นเกม”
ถังโม่ยืนอยู่ที่ระเบียง จ้องหอคอยตาไม่กะพริบ ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านแก้ม เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากหน้าผาก ถังโม่จ้องอยู่อย่างนั้นจนหอคอยกลับไปเป็นสภาพเดิม ไม่มีตัวอักษรสีน้ำเงิน ไม่มีเสียงเด็กที่ประกาศอีกแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงถังโม่ก็ถึงห้องสมุด ผู้คนนับไม่ถ้วนยืนมุงอยู่เต็มถนนไปหมด
คนเหล่านั้นโวยวายเสียงดังน่าหนวกหู ถังโม่มองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้าห้องสมุดไป
สิบนาทีต่อมาผู้อำนวยการหวังก็เดินมาถึงโต๊ะศูนย์ช่วยเหลือ “วันนี้ไม่ต้องทำงานหรอก กลับบ้านไปรอฟังประกาศเถอะ”
เสี่ยวจ้าวเงยหน้าขึ้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผู้อำนวยการคะ เรื่องนี้เกี่ยวกับหอคอยรึเปล่า? เมื่อเช้ามันส่งเสียงประกาศนี่ คุณน่าจะได้ยินนะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถึงวันสิ้นโลกแล้วเหรอ?”
ผู้อำนวยการหวังมีท่าทีเย็นชา “วันสิ้นโลกอะไรไร้สาระ เธอยังสาวอยู่เลย เลิกพูดถึงอะไรแบบนั้นเถอะ ดูสภาพตัวเองสิ”
เสี่ยวจ้าวเด็กที่สุดในหมู่บรรณารักษ์ เด็กสาวเกิดปี 1996 นัยน์ตาเธอเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว แต่มากกว่านั้นคือความตกใจและสงสัย พอผู้อำนวยการหวังจากไปเธอก็หันมา “ถังโม่ นายได้ยินที่หอคอยดำพูดใช่ไหม มันหมายความว่ายังไงน่ะที่บอกว่าโลกออนไลน์แล้ว แล้วก็ให้กำจัดผู้เล่น”
ถังโม่เก็บของกลับบ้าน เขาหงุดหงิด เลยตอบไปห้วนๆ “ไม่ได้ตั้งใจฟัง”
“นายคิดว่านี่เป็นวันสิ้นโลกรึเปล่า? ฉันว่ามันไม่น่าใช่วันสิ้นโลกแบบที่มีซอมบี้ หอคอยบอกให้เรากำจัดผู้เล่นใช่หรือเปล่า แบบนั้นจะทำให้เราเป็นซอมบี้ไหม? หรือว่านี่จะเป็นการก่อกบฏ… อา ไม่สิ ในเน็ตบอกว่าหอคอยทั้งโลกพูดเหมือนกันหมดเลย ประเทศอะไรนะที่ทำแบบนี้ได้? ฉันว่าไม่น่าใช่อเมริกา…”
ถังโม่ไม่ได้อารมณ์ดีพอจะมาโต้เถียงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่ได้ยินประกาศของหอคอย ชีพจรเขาก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ใหญ่ปกติมีอัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย 60-100 ครั้งต่อนาที ตอนที่เสี่ยวจ้าวพูดอยู่เขาลองนับชีพจรตัวเองดู
หัวใจเขาเต้น130ครั้งต่อนาที
เขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แค่ตกใจ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
ถังโม่มองซ้ายมองขวา โต๊ะยืมหนังสืออยู่กลางห้องโดยมีชั้นหนังสือล้อมอยู่รอบๆ ทางซ้ายคือหมวดมนุษยศาสตร์ ทางขวาคือหมวดประวัติศาสตร์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ ในสายตาของเขาแสงอาทิตย์ฉายผ่านหน้าต่างและฝุ่นละอองเล็กๆ ก็ลอยเต็มอากาศไปหมด
“ถังโม่!” เสี่ยวจ้าวขึ้นเสียงเปี่ยมความไม่พอใจ “ฉันเรียกตั้งหลายรอบแล้วนะ เกิดอะไรขึ้น? นายเหม่ออะไรน่ะ?”
ถังโม่ยกมือขึ้นลูบหน้า ถึงได้รู้ว่าฝ่ามือของตัวเองชุ่มเหงื่อแล้ว เขาหันไปมองเพื่อนร่วมงาน “…ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”
หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก
เสี่ยวจ้าวหยิบกระเป๋าของเธอ “ฉันจะไปดูหอคอยดำสักหน่อย ไปด้วยกันไหม? ตอนจะเข้าห้องสมุดเห็นคนยืนมุงอยู่เยอะมาก จะไปดูด้วยกันรึเปล่า?”
ถังโม่รีบส่ายหน้า “ผมจะกลับบ้าน”
เสี่ยวจ้าวไม่ได้ดูมีความสุขเท่าไหร่ตอนที่เธอโบกมือแล้วออกจากห้องสมุดไปก่อน
แต่น่าเสียดายที่ความตั้งใจของเธอคงล้มเหลว ถังโม่เห็นตำรวจเริ่มกั้นเขตกันคนที่เข้ามามุง พวกเขาล้อมพื้นที่ใต้หอคอยด้วยพลาสติกสีขาวตั้งเป็นกำแพง เริ่มตั้งแต่หน้าประตูห้องสมุด ไม่ยอมให้ใครเข้าไปข้างใน
หลายคนยืนอยู่นอกกำแพงนั้น ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปหอคอยดำ
ถังโม่เองก็กดถ่ายรูป จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน
อุบัติการณ์หอคอยดำกลายเป็นข่าวร้อนที่สุดบนอินเทอร์เน็ต
ถังโม่นอนอยู่บนเตียง เช็คกับเพื่อนๆ ในแวดวง นักเรียนจากญี่ปุ่นและอเมริกาส่งรูปภาพของหอคอยดำเข้ามา พร้อมข้อความที่เป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ... ไม่ใช่ภาษาจีน
ถังโม่ไม่ได้พูดอะไร แต่นักเรียนจากอเมริกาเริ่มตอบหลายๆ คน
[ใช่ มันเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาจีน! ฉันกลัวแทบตายแน่ะ โรงเรียนประกาศหยุดแล้วก็มีคนไปตั้งขบวนอยู่แถวทำเนียบขาวเรียกร้องให้รัฐบาลออกประกาศอะไรสักอย่าง]
[ตอนนี้ซื้อตั๋วเครื่องบินยากมาก ฉันยังซื้อตั๋วกลับบ้านไม่ได้เลย แต่รูมเมทของฉันรวยมาก เขาจะกลับบ้านเที่ยงนี้แล้ว]
[ตอนที่มันประกาศที่นี่ก็ค่ำแล้ว มันเปิดเพลงเด็กด้วยนะ มีเพื่อนฉันอัดวีดีโอไว้เดี๋ยวจะอัพให้ดู]
ถังโม่เปิดดูวีดีโอที่เจ้าของข้อความโพสท์ หอคอยหน้าตาคุ้นๆ ลอยอยู่เหนืออนุสรณ์สถานลินคอล์น สาดแสงหลากสีดึงดูดสายตา เพลงที่ดังไม่ใช่จิงเกิลเบลล์แน่ๆ แต่ก็ยังเป็นเพลงเด็กอยู่ พอเพลงจบ เสียงแหลมสูงของเด็กก็ดังเป็นภาษาอังกฤษ
(ดิ๊งด่อง! 15 พฤศจิกายน 2017 โลกออนไลน์แล้ว)
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ถังโม่โยนมือถือลงเตียงด้วยความวิตก
ภาครัฐไม่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องหอคอยเลย แต่หอคอยมีจำนวนมากเกินไปจนไม่อาจปิดข่าวได้ ผู้คนจึงเริ่มค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตแทย
หอคอยดำจะปรากฏขึ้นโดยทุกๆ หนึ่งหมื่นตารางกิโลเมตรบนพื้นดิน และมีอีกมากจนนับไม่ถ้วนในมหาสมุทร
ถังโม่เดินไปรอบห้องด้วยความหงุดหงิด หัวใจเขาไม่สงบเลย มันเต้นแรงจนนึกว่าจะทะลุอกออกมาอยู่แล้ว ถังโม่เดินวนรอบห้องสักร้อยรอบได้ถึงหยุดเดิน
…ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย!
ทำไมถึงหงุดหงิดขนาดนี้นะ?
ถังโม่เดินเข้าห้องน้ำยื่นหัวลงไปใต้ก๊อก เลือกเปิดน้ำเย็นราดหัวตัวเองโดยไม่กลัวเป็นหวัด พอเดินออกมาก็รู้สึกใจเย็นลงไปไม่น้อย เขารินน้ำเย็นมาแก้วหนึ่ง เสร็จก็เปิดคอมพิวเตอร์เริ่มเล่นเกมบริดจ์
เขาต้องใจเย็นลง
ความวิตกเฉียบพลันแบบนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา
บางทีอาจเป็นเพราะชีพจรที่เพิ่มขึ้นนั้นมารบกวนความสามารถในการตัดสินใจ? ตอนนี้ชีพจรเขาน่าจะถึง 250ครั้งต่อนาทีแล้ว
ถังโม่มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเฉยชา มีคนเล่นเกมน้อยเกินไปในเวลานี้ รออยู่สิบนาทีถึงได้ห้อง และเริ่มเปิดกองการ์ด เกมดำเนินไปพร้อมๆ กับสมองที่หมุนเร็วจี๋ ถังโม่ใจเย็นลงไปโข เหลือแค่หัวใจยังเต้นเร็วอยู่
เขาเล่นเกมตั้งแต่เช้าจนมืด ง่วงมากๆ เข้าถึงได้วางเกมแล้วเดินไปนอนที่เตียง
วันถัดมาความกังวลที่ต้านทานไม่ได้ก็หวนกลับมาอีก ถังโม่เปิดเกมบริดจ์ เริ่มต้นเล่นทั้งวันจนสภาพเขาแย่กว่าเดิม นัยน์ตาแดงก่ำและสมองก็ล้าจนแค่ปิดตาก็คงหลับได้เลย
ตอนนั้นเองที่มีเสียงแจ้งเตือนจาก QQ
[Victor : นี่นายเล่นเกมมาทั้งวันเลยใช่ไหมเนี่ย?]
ถังโม่คลึงหัวตาแล้วตอบข้อความ
[โม่ถัง : อา รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย]
[Victor : เล่นเกมติดกันนานเกินไปมันก็ต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว รีบไปนอนเลย]
[โม่ถัง : ได้]
[Victor : อยู่ให้ห่างหอคอยดำไว้นะ]
แต่ถังโม่ฟุบหลับคาโต๊ะไปก่อน
เขาตื่นมาตอนเช้า เห็นข้อความของวิคเตอร์เลยรีบตอบ แต่อีกฝ่ายออฟไลน์ไปแล้ว ถังโม่ยืดแขนขา รู้สึกดีขึ้นมาก ชีพจรเขายังเร็วไม่เปลี่ยน แต่ความกังวลจากไปแบบไม่เหลือร่องรอย
เรื่องหอคอยดำยังคงถูกถกเถียงกันอยู่บนโลกออนไลน์...
รัฐบาลไม่ได้ออกมาอธิบายสถานการณ์นี้แบบเฉพาะเจาะจง แถมยังจำกัดการแสดงความคิดเห็นไปหลายส่วน ชาวเน็ตแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับหอคอยดำได้แต่ในช่องทางส่วนตัว แต่ความพยายามส่วนใหญ่ก็ไร้ประโยชน์เพราะข้อความที่มีประโยคอ่อนไหวจะถูกแบน ส่งไม่ถึงผู้รับ
ถังโม่เปิดโพสท์วิเคราะห์หอคอยดำขึ้นมาดูนิดหน่อย คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหอคอยเป็นผลของการวิจัยอะไรบางอย่าง คนส่วนน้อยเชื่อว่านี่คือวันสิ้นโลก แต่ส่วนใหญ่ถูกพิมพ์ขึ้นแบบเน้นขำขันมากกว่าเลยยังไม่ถูกลบโพสท์
ช่วงเที่ยงผู้อำนวยการหวังประกาศลงในแชทกลุ่มห้องสมุด
[ผู้อำนวยการหวัง : ฉุกเฉิน! มีคำร้องขอใช้พื้นที่ห้องสมุดเป็นจุดวิจัยชั่วคราวตั้งแต่วันมะรืนเป็นต้นไป ขอให้ไปเก็บของใช้ส่วนตัวของตัวเองออกมาในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ย้ำอีกครั้ง มีคำร้องขอใช้พื้นที่ห้องสมุดเป็นจุดวิจัยชั่วคราวตั้งแต่วันมะรืน...]
กลุ่มแทบจะระเบิดในทันใด
ลูกจ้างเก่าแก่หลายคนรีบถามทันทีว่าทำไมถึงมีคำร้องมาที่ห้องสมุดและเรื่องที่ทำงานหลังจากนี้ มีลูกจ้างที่ยังวัยรุ่นสองสามคนเล่นมุกทำนองว่า [นี่วันสิ้นโลกนะ ยังจะห่วงเรื่องงานอีกเหรอ?]
ถังโม่มองหอคอยที่เห็นอยู่ไกลๆ ตา เขาหยิบกระเป๋า ขึ้นรถบัสไปห้องสมุด
ต้องยอมรับว่าประเทศจีนมีความสามารถในการจัดการกับความมั่นคงทางสังคมอยู่ในระดับสูง นอกจากคนที่อยู่ใกล้หอคอยดำเกินไปเลยต้องกลับบ้านแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอื่นๆ ก็ยังเปิดให้บริการตามปกติ
แต่ทันทีที่ขึ้นรถบัสมา ถังโม่ก็เห็นที่เขี่ยบุหรี่ข้างคนขับรถที่ในปากยังคาบบุหรี่ไว้
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งบ่นขึ้นมา “นี่คุณ ทำไมถึงสูบบุหรี่ล่ะ คุณขับรถอยู่นะ”
“น่ารำคาญโว้ย ฉันขับรถไม่ได้ถ้าไม่สูบ จะมาขับเองไหมห๊ะ?”
“นี่ ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าสูบบุหรี่บนรถบัสมันผิดกฎบริษัทเหรอ? คิดว่าตัวเองสูบบุหรี่แล้วจะไม่มีใครไปร้องเรียนหรือไง?”
คนขับรถกับผู้หญิงคนนั้นเถียงกันไม่ยอมหยุด จนนักศึกษาหญิงสองคนที่นั่งใกล้ๆ ถังโม่ต้องเข้าไปห้ามทัพ ในที่สุดทั้งคู่ก็ยอมลงให้ นักศึกษาทั้งสองเลยเดินกลับมานั่งที่ตัวเอง หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้น “นี่วันที่สามแล้วใช่ไหมนะ?”
“อา ใช่ วันนี้วันที่สามแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยไปพร้อมๆ กับเล่นโทรศัพท์ “หมายความว่ายังไงกันนะที่ว่าให้กำจัดผู้เล่นคนอื่นโดยไม่จำกัดวิธีการเล่นเกมน่ะ? นี่ผ่านมาตั้งสามวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง เกมที่ว่าคืออะไรกันแน่? หมายถึงให้เป่ายิ้งฉุบเหรอ?”
“ฮิฮิ อยากจะลองไหมล่ะ?”
“เป่า ยิ้ง ฉุบ!”
“อา ฉันแพ้เหรอ แบบนี้ก็หมายความว่าฉันโดนเธอกำจัดแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
เด็กสาวมองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก
คนบนรถบัสยังคงใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองโดยไม่สนใจหอคอยดำมากนัก พอถังโม่มาถึงห้องสมุดเขาก็เห็นคนหลายพันคนถือป้ายประท้วงเผชิญหน้ากับตำรวจติดอาวุธ พวกนั้นคือพวกที่กังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์หอคอยดำนี้ว่ามันจะนำไปสู่วันสิ้นโลก
ถังโม่เดินอ้อมห้องสมุดไปเข้าทางประตูหลัง เหมือนจะมีแค่เขาคนเดียวที่เข้ามาหยิบข้าวของ ห้องสมุดว่างเปล่าไร้คน เสียงตะโกนของฝูงชนดังก้อง ถังโม่เปิดตู้เก็บของ หยิบหนังสือสองสามเล่มออกมา
เขากำลังจะออกไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักมาจากหัวมุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้
ถังโม่หยิบกระบองป้องกันตัวสีดำออกมาจากตู้เก็บอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย แล้วเดินย่องด้วยความระมัดระวังไปตามเสียง
“นั่นใคร?”
ไม่มีใครตอบกลับมา
เขาได้ยินเสียงใครสักคนมาจากหัวมุมนี้แน่ๆ คนๆ นั้นกำลังเก็บหนังสือเล่มหนึ่งเข้าชั้นแล้วดึงอีกเล่มออกมา
ถังโม่เดินเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วตะโกน “นั่นใครน่ะ?”
ชายหนุ่มผมยุ่งมองถังโม่กลับมาอย่างหวาดวิตกแต่ไม่ได้ปล่อยหนังสือในมือ
ถังโม่คลายมือที่กำด้ามแม่งกันระเบิด “ร่างทรง... หมายถึง คุณเฉิน? คุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
ร่างทรงใช้สายตาแข็งๆ มองกลับมา เขาส่งเสียงหัวเราะจอมปลอมขณะยัดหนังสือกลับเข้าชั้น
ถังโม่หน้าบึ้ง “นี่คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“มีหน้าต่างทางตะวันออกที่ไม่ได้ปิด... ฉันก็แค่เข้ามาดู...”
ถังโม่นึกถึงหน้าต่างที่อยู่ทางตะวันออกของห้องสมุด แต่หน้าต่างบานนั้นอยู่ติดพื้น เชื่อมกับห้องใต้ดิน แล้วร่างทรงเข้ามาได้ยังไง? เขาปีนหน้าต่างเข้ามาจริงๆ เหรอ?
ถังโม่เริ่มตำหนิเขา “คุณเฉินครับ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการขโมยเลย”
“ฉันไม่ได้ขโมยอะไรเลยนะ!” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ
ถังโม่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า กำแท่งกันระเบิดแน่นแล้วเดินไปมองชั้นหนังสือตรงหน้าร่างทรงเพื่อสำรวจ
ไม่ได้มีหนังสือน้อยกว่าตอนที่เขากลับบ้านเมื่อสามวันก่อน
“ถ้าอย่างนั้นต้องการอะไรถึงได้เข้...”
‘ดิ๊งด่อง! เกมเผชิญหน้า ‘ใครขโมยหนังสือของหนูไป?’ ถูกทริกเกอร์แล้ว เวลา 17 นาฬิกา 52 นาที วันที่ 17 พฤศจิกายน 2017 ผู้เล่นถังโม่และเฉินฟางจือเข้าสู่เกมโดยสวัสดิภาพ ผู้เล่นเข้าสู่แซนด์บ็อกซ์ แผนที่เกมสมบูรณ์ โหลดข้อมูลสำเร็จ... ’
แล้ววินาทีถัดมาเสียงตะโกนน่ารำคาญจากนอกห้องสมุดก็หายไป
ในห้องสมุดที่ว่างเปล่ามีเสียงเด็กดังร้องเพลงเด็กทำนองประหลาด
“ล้า ลา ลา ล้า ลา ลา
แท่งไม้ขยับเบาๆ
ผู้เล่นสองคนเข้ามาในบ้าน
ไม่พูดกันทั้งสามวันทั้งสามคืน
นางฟ้าและปีศาจต้องการมัน
ฮิฮิ... ใครขโมยหนังสือของหนูไปนะ?”