ตอนที่ 13 ฆาตกรสามแบบ
“ผู้ลักลอบน่ะกลิ่นเหม็นมากๆ หอคอยดำเกลียดผู้ลักลอบที่สุด ถ้ากินผู้ลักลอบเข้าไปก็จะได้รางวัลแล้วก็พละกำลังมหาศาล เนื้อผู้ลักลอบเองก็อร่อยสุดๆ ฉันไม่เคยบอกใครเลยนะรู้ไหม”
ตุ่นยักษ์หรี่ตา กดกระดูกไก่งวงลงกับพื้น “มีผู้ลักลอบเหม็นเน่าอยู่หนึ่งคนในนี้ ส่งมันมาให้ฉันกินเร็ว!”
เจ้าตุ่นขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
พ่อครัวตื่นขึ้นมายังไม่ทันได้สติดีก็ต้องกรีดร้องด้วยความหวาดกลังตอนเขาเงยหน้าไปเห็นกรงเล็บของเจ้าตุ่นยักษ์ เจ้าตุ่นคำรามกลับจนพ่อครัวแทบจะเป็นลมไปอีกรอบ
ถังโม่แตะข้อมือที่ว่างเปล่าของตัวเอง รอยสักรูปไม้ขีดไฟหายไปแล้ว พอได้ยินเจ้าตุ่นพูดว่าไม้ขีดนั่นจะพาถังโม่ไปถึงชั้นสองได้แล้ว ถังโม่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เขาเอาแต่โบกมันไปมา ไม่ได้ใช้มันให้เต็มประสิทธิภาพ
ถ้าเขามีเวลาสักหน่อยคงจะเตรียมตัวได้ดีกว่านี้
…ทำไมเกมโจมตีหอคอยต้องเริ่มตอนนี้ด้วย?
ชื่อผู้ลักลอบที่เปิดเกมโจมตีหอคอยวิ่งผ่านสมองเขาไป แต่เขาไม่มีเวลามาบ่นเรื่องนี้นักหรอก “ใครคือผู้ลักลอบครับ เราจะหาคนๆ นั้นเจอให้คุณได้ยังไง?
หลี่เหวินกับหลินเฉียวเบิกตามองถังโม่
หลัวเฟิงเฉิงมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร เด็กหญิงเผิงยู่เหวินมองถังโม่ด้วยสายตาว่างเปล่า เหมือนยังไม่เข้าใจคำพูดของถังโม่
หลินเฉียวอดถามไม่ได้ “นายจะส่งคนๆ นั้นไปจริงๆ เหรอ? ตุ่นนั่นบอกว่ามันจะกิน…”
ถังโม่มองเธออย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นคุณอยากไปเป็นอาหารเย็นให้มันแทนผู้ลักลอบคนนั้นไหมล่ะครับ?”
หลินเฉียวนิ่งไป
หลัวเฟิงเฉิงแทรกขึ้นมา “ผู้ลักลอบเป็นฆาตกร บางทีพวกเขาอาจจะโดยบังคับให้ฆ่าใครสักคนหรืออาจจะทำเพื่อป้องกันตัว ถ้าตามกฎหมายพวกเขาอาจจะไม่ได้มีโทษถึงตาย แต่หอคอยดำเกลียดผู้ลักลอบ และมอบโทษตายให้แล้ว เราแค่มองหาผู้ลักลอบ อะไรจะเกิดหลังจากนั้นก็ไม่ใช่ธุระของเราแล้ว”
สีหน้าหลี่ปินเปลี่ยนแล้วพยักหน้า “ใช่… เราก็แค่ต้องหาให้เจอว่าผู้ลักลอบเป็นใคร”
เจ้าตุ่นแยกเขี้ยว “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าผู้ลักลอบเป็นใคร? ถ้ำของฉันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แล้วพวกแกทุกคนก็กองอยู่ด้วยกันหมด ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นใคร ให้เวลาพวกแกหนึ่งชั่วโมง หาตัวผู้ลักลอบออกมา ถ้าหาไม่ได้ฉันจะกินพวกแกทีละคนไปเรื่อยๆ แล้วแบบนั้นฉันก็จะหาผู้ลักลอบเจอแน่ๆ” เจ้าตุ่นมองถังโม่ “อ้อใช่ แกดูจะเป็นเพื่อนที่ดีของโมเสก แล้วก็ให้ไม้ขีดไฟฉัน… ฉันจะกินแกเป็นคนสุดท้าย”
ถังโม่ไม่ได้พูดอะไรกับของขวัญชิ้นนี้
เจ้าตุ่นยักษ์เห็นสีหน้าถังโม่ไม่เปลี่ยนไปแล้วก็หัวเราะออกมา จากนั้นมันก็วิ่งไปที่มุมถ้ำแล้วเริ่มขุด มันขุดไปสองหลุมแล้วหันมามองพวกเขาใหม่ “ผ่านไปสองนาทีแล้วนะ รู้หรือยังว่าใครคือผู้ลักลอบ?”
ทุกคนฟังคำนั้นแล้วก็เริ่มเหงื่อตก
หลี่ปินกัดฟันมองทุกคน “ฉันจะถามอีกครั้ง ในสามวันนี้ได้มีใครได้ฆ่าใครไปรึเปล่า?”
แน่นอนว่าทุกคนต้องส่ายหน้า
“รู้อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้” ตั้งแต่ลงมาที่นี่ พนังงานบริษัทคนนี้ก็ทำตัวเป็นหัวหน้ามาตลอด ตอนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลี่ปินควบคุมอารมณ์แล้วเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ “จากที่เจ้าตุ่นพูด ผู้ลักลอบคือคนที่กำจัดผู้เล่นคนอื่นโดยการฆ่าระหว่างสามวันของช่วยเวลาแห่งการกำจัด ผู้ลักลอบจะมีความสามารถแน่ๆ แล้วก็มีกลิ่นเหม็น ฉันไม่ได้กลิ่นเลย มีใครได้กลิ่นนอะไรไหม?”
หลินเฉียวส่ายหน้า “ไม่เลย ฉันจมูกดีมากนะ แต่ก็ได้กลิ่นแค่ดินเท่านั้นแหล่ะ”
ทุกคนส่ายหน้า สีหน้าหลี่ปินแข็งขึ้น “บางทีกลิ่นนั่นอาจจะไม่ใช่อะไรที่จมูกมนุษย์จะได้กลิ่นก็ได้ มีแค่พวกนั้นเท่านั้นที่จะได้กลิ่น บ้าชิบ แล้วเราจะหาผู้ลักลอบยังไงเนี่ย?”
หลัวเฟิงเฉิงพูดขึ้นมา “ผู้ลักลอบฆ่าคนไป แล้วก็มีความสามารถแน่ๆ”
พ่อครัวที่หมดสติไปนานไม่ได้ยินคำอธิบายของเจ้าตุ่น เขาก็เลยตามหลังทุกคนอยู่ “ฆ่า? ความสามารถ? นี่พูดถึงอะไรกันอยู่เนี่ย?”
ไม่มีเวลาอธิบายให้เขาฟังแล้ว “ฆ่าคนแล้วก็ได้พลังมาเหรอ? แล้วไงล่ะ?” หลี่ปินเหมือนเพิ่งนึกออกแล้วหันไปหาถังโม่ “นายต้องมีพลังแน่ๆ!”
ถังโม่ดึงไม้ขีดไฟออกมาจากกลางอากาศ ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ มันคือพลังพิเศษแน่ๆ
หลี่เหวินอธิบายแทนถังโม่ “เจ้าตุ่นยักษ์นั่นบอกว่ามีผู้เล่นอย่างเป็นทางการสองคน ผู้เล่นสำรองสี่คน แล้วก็ผู้ลักลอบหนึ่งคน ผู้เล่นอย่างเป็นทางการคือคนที่เข้าร่วมเกมของหอคอยแล้วล็อคอินเข้ามา ถังโม่น่าจะเป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการนะ เขารู้จักคนที่ชื่อโมเสก แล้วเจ้าตุ่นนั่นก็รู้จักเหมือนกัน คงจะเกี่ยวข้องอะไรกับเกมของหอคอยแน่ๆ”
ถังโม่ยืนยัน “ผมเล่นเกมของหอคอยจริงๆ ถ้าตามที่เจ้าตุ่นนั่นพูด ผมก็เป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการ”
หลี่ปินส่ายหหน้า “นายอาจจะเข้าร่วมเกมของหอคอยจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจนี่ว่านายร่วมเกมในช่วงสามวันนั้น ผ่านมาแล้วแล้วสี่วันหลังโลกออนไลน์ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่ได้ฆ่าใครในสามวันนั้นแล้วเล่นเกมในวันที่สี่?”
ถังโม่รู้สึกว่านี่ออกจะตลกอยู่สักหน่อย เขาเตรียมจะปฏิเสธแล้วตอนที่หลัวเฟิงเฉิงแทรกขึ้นมา “เขาเป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการ หอคอยเกลียดผู้ลักลอบ แถมยังบอกว่าเนื้อพวกนั้นอร่อยมาก ถ้าเขาไม่ใช่ผู้เล่นอย่างเป็นทางการ เพื่อนของเจ้าตุ่นนั่นก็ต้องรู้เรื่องนี้แล้วก่อนที่เขาจะมายู่ที่นี่ เขาคงไม่มีโอกาสรอดมาถึงตรงนี้แถมยังได้ไม้ขีดของโมเสกมาด้วยหรอก”
ถังโม่มองหลัวเฟิงเฉิงด้วยความประหลาดใจ อีกคนเองก็จ้องเขากลับมาเหมือนกัน
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่คนอื่นๆ ก็เข้าใจกันแล้ว “นั่นเมคเซ้นส์นะ มีโอกาส90%ที่นายจะเป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการ อีก10%คือเป็นผู้ลักลอบ แต่นายก็คงไม่รู้วิธีซ่อนกลิ่นของตัวเองแล้วก็โดนโมเสกเจอตัวไปแล้ว”
หลี่ปินขยับไปอยู่กลางวงแล้วมองทุกคนอย่างจริงจัง “งั้นฉันจะสารภาพบ้าง ฉันคือผู้เล่นอย่างเป็นทางการคนที่สอง”
ถังโม่แอบตกใจ
หลี่ปินยิ้มแล้วยกมือขวาขึ้น “ความสามารถฉันไม่ดีเท่าไหร่ แล้วฉันก็ไม่อยากจะเปิดเผยมันมาก มันไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ฉันโชว์ให้ดูแบบไม่ให้มันแสดงผลได้”
ความสามารถคือความลับที่เข้าใจได้ว่าทุกคนอยากจะปิดมันไว้
หลี่ปินนั่งยองๆ ใช้นิ้วมือขวาวาดวงกลมบนพื้น เส้นวงที่สมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นบนพื้น เป็นเป็นวงกลมที่สวย วนมาบรรจบกับจุดเริ่มได้พอดิบพอดี
นี่คือวงกลมที่วาดโดยไม่ใช้เครื่องมือใดๆ แค่นิ้วมือเท่านั้น
หลินเฉียวมองตาโต “กลมจัง? ความสามารถของคุณคือการวาดวงกลมโดยไม่ต้องใช้วงเวียนเหรอ?”
นั่นมันความสามารถแบบไหนน่ะ?
ถังโม่ถอนหายใจ “วงกลมนี้กลมไปก็จริง แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณมีความสามารถอะไรนี่ คุณอาจจะแค่ฝึกจนชำนาญมากๆ ก็ได้”
“งั้นลองดูอีกรอบ”
หลี่ปินจิ้มนิ้วลงวาดวงกลมอีกวงข้างๆ กัน เป็นวงกลมเต็มวงที่สมบูรณ์แบบ
“อ๊ะ! นี่มันขนาดเท่ากับอันเมื่อกี้เลยไม่ใช่เหรอ?” หลินเฉียวร้องด้วยความแปลกใจ
หลี่ปินทำสีหน้าไม่ถูก “ฉันไม่อยากพูดถึงความสามารถแบบเจาะจง แต่เชื่อรึเปล่าว่าฉันมีความสามารถจริงๆ? ฉันคือผู้เล่นอย่างเป็นทางการอีกคน”
“คุณ… คุณมีความสามารถ แล้วทำไมคุณถึงจะเป็นผู้ลักลอบไม่ได้ล่ะ?” เด็กสาวเผิงยู่เหวินที่ยืนหลบอยู่หลังหลินเฉียวพูดเสียงสั่น
“ถ้าฉันเป็นผู้ลักลอบ ฉันจะกล้าก้าวออกมาบอกว่าตัวเองเป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการเหรอ? เด็กน้อย คนที่เป็นผู้ลักลอบจะต้องเลือกซ่อนตัว ไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองมีความสามารถ ในบรรดาเราเจ็ดคน มีแค่น้องชายคนนี้ที่ปลอดภัยที่สุด” หลี่ปินชี้ไปที่ถังโม่ “เขาคือผู้เล่นอย่างเป็นทางการ เจ้าตุ่นนั่นบอกว่าผู้เล่นสำรองอาจจะมีพลังก็ได้ แต่โอกาสต่ำมาก ดังนั้นคนถัดไปที่บอกว่าตัวเองมีพลังจะมีโอกาส 50% ที่จะเป็นผู้ลักลอบ”
หลี่ปินค่อยๆ วิเคราะห์ “ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ฉันก็ก้าวออกมาเลยเปิดเผยพลังของตัวเองแล้ว สิ่งนี้จะพิสูจน์ได้ไหมล่ะว่าฉันไม่ได้กลัวหรือว่าโกหก?”
หลี่เหวินแย้ง “คุณก็แค่อาจจะคิดย้อนกลับก็ได้นี่”
หลี่ปินยอมรับ “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ให้คนที่สามที่มีพลังก้าวออกมา ตราบใดที่เขาก้าวออกมาเขาก็จะต้องผู้ลักลอบแน่ๆ เพราะฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าใครแล้วก็เข้าร่วมเกมมา น้องชายคนนี้ก็เป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นคนที่สามจะต้องเป็นผู้ลักลอบแน่ๆ!”
“ผมเชื่อคุณ” ถังโม่พูด
หลี่ปินอาจจะดูเหมือนพูดใจเย็นมาตลอด แต่ริมฝีปากเขาสั่น พอได้ยินคำของถังโม่เขาก็ตัวสั่นด้วยความดีใจ แล้วเดินไปข้างๆ ถังโม่ “น้องชาย ขอบใจ ฉันเป็นผู้เล่นอย่างเป็นทางการจริงๆ จะให้เล่าให้นายฟังเรื่องเกมที่ฉันเล่นแล้วชนะก็ได้”
ถังโม่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องพูดแค่กับผมหรอก พวกเราทุกคนมาพูดพร้อมกันนี่แหล่ะ”
ในแสงสว่างทึมๆ ของถ้ำ เจ้าตุ่นกำลังขุดพื้นพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี
คนเจ็ดคนรวมตัวกัน แล้วเริ่มพูดถึงเรื่องของตัวเองตลอดสามวันที่ผ่านมา
หลัวเฟิงเฉิงมองสำรวจทุกคนอย่างละเอียด “การฆ่าในโลกนี้ ผมแบ่งมันคร่าวๆ เป็นสามแบบ”
“ประเภทแรกคือการฆ่าโดยไม่ได้เจตนา เป็นการฆ่าที่ธรรมดาสามัญที่สุดในโลก คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะหวาดกลัวและควบคุมตัวเองไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจจะเผลอฆ่าใครไปเพราะความผิดพลาดหรือเพื่อป้องกันตัว ถ้าผู้ลักลอบฆ่าใครสักคนโดยอุบัติเหตุจิตใจพวกเขาคงไม่มั่นคงเอามากๆ เขาจะรู้สึกเหมือนถูกเปิดเผย แล้วก็แสดงความรู้สึกผิดออกมา”
หลี่เหวินร้อง “อ้าว แล้วทำไมไม่พูดออกมาก่อนเล่า? นี่มันผ่านมาตั้งนานแล้ว ใครจะไปจำได้ว่าแต่ละคนแสดงออกยังไง?”
ถังโม่แทรก “ผมจะจำได้ ตอนนั้นทุกคนปกติดี ไม่มีใครแตกตื่นอะไร”
หลัวเฟิงเฉิงมองถังโม่ “เขาพูดถูก”
ตั้งแต่เข้ามาที่ถ้ำนี้ ถังโม่ไม่ได้ลดความระวังตัวลงเลย เขาสัมผัสประสบการณ์เป็นตายในเกมระหว่างคนสองคนมาแล้ว เลยไม่อยากเชื่อใจ ‘เพื่อนร่วมทีม’ ที่ไม่มีคุ้นเคยอีก
หลัวเฟิงเฉิงพูดต่อ “มีโอกาส 80% ที่ผู้ลักลอบในหมู่พวกเราจะไม่ได้ฆ่าใครไปเพราะอุบัติเหตุ เขารู้ว่าตัวเองฆ่าใครและตั้งใจทำมัน การฆ่าแบบที่สองคือการฆ่าของฆาตกร คนๆ นี้ฆ่าใครสักคนเพราะเหตุผลธรรมดาอย่างความผิดปกติทางจิตหรือความต้องการทางกาย”
ทุกคนยกมือกุมรอบคำ รู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อยๆ
ฆาตกรแบบนั้นไม่ได้พบได้ทั่วไปนัก และพวกฆาตกรต่อเนื่องก็จัดอยู่ในประเภทนี้
แต่ถังโม่ก็ยังนิ่วหน้า
เขาฟังหลัวเฟิงเฉิงพูดต่อ “แต่ผมคิดว่าผู้ลักลอบในกลุ่มนี้น่าจะเป็นคนแบบที่สามมากกว่า เขาเจตนาฆ่าใครสักคนแต่ไม่ได้กระหายเลือด พวกเขาฆ่าคน แต่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นฆาตกร พวกเขาจะไม่ตกใจเพราะพวกเขารู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แล้วก็รู้เหตุผลที่ตัวเองทำแบบนั้น”
หลี่เหวินกลืนน้ำลาย “ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีฆาตกรโรคจิตต่อต้านสังคมอยู่ในหมู่พวกเราหรอก”
หลินเฉียวตัวสั่น “ฉันเห็นด้วย คงเป็นแบบที่สามนั่นแหล่ะ”
ถังโม่ฟังหลัวเฟิงเฉิงมาตลอด เขาตัดสินใจเดินไปหาหลัวเฟิงเฉิง แล้วส่งยิ้มให้ “คำพูดของคุณฟังดูน่าเชื่อถือ งั้นเรากลับไปที่หัวข้อเก่ากันก่อนดีไหม? เริ่มจากคุณเลย คุณหลัว คุณทำอะไรอยู่ในช่วงสามวันที่ผ่านมา? คุณเป็นนักออกแบบเกมจริงๆ เหรอ? ทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หลัวเฟิงเฉิงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มผมดำตรงหน้า
สีหน้าถังโม่ไม่ได้ดุดันอะไร แต่ก็มีร่องรอยของความสงสัยและคำถามอยู่ในตาของเขา
ทั้งสองจ้องกันอยู่นาน
จากนั้นหลัวเฟิงเฉิงก็ล้วงบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ถังโม่ “ในสามวันนั้น ผมศึกษาเรื่องหอคอยดำอยู่ ผมเป็นหัวหน้านักวิจัยหอคอยดำประจำเซี่ยงไฮ้ อยู่กลุ่ม A ชื่อหลัวเฟิงเฉิง”