ตอนที่ 11 กลิ่นแกนี่มันน่าขยะแขยงสุดๆ!
ร่างถังโม่ร่วงหล่น รอบกายมีแต่ความมืดมิดเหมือนหล่นลงไปในหลุม ร่างเขากระแทกผนังของหลุมนั้น แต่เพราะสมรรถภาพทางกายที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บ แต่เขาก็หยุดตัวเองไม่ให้ร่วงลงไปไม่ได้
อาจจะแค่ไม่กี่นาทีหรือนานนับชั่วโมง
ปั้ง!
แล้วถังโม่ก็หล่นกระแทกพื้น
มันมืดสนิท มืดจนแม้เขาจะยื่นแขนออกไปก็มองไม่เห็นมือตัวเอง ถังโม่คลำไปตามพื้น ดินชื้นๆ บอกว่าเขากำลังยืนอยู่บนพื้นโลก พอลองตั้งใจฟังเสียงรอบตัวก็พบว่ามันเงียบสนิท เขาก็เลยใช้มือคลำไปรอบๆ ต่อ
ถังโม้ค้นอยู่สามนาทีแต่ก็ยังไม่เจออะไร
ทันใดนั้นก็มีเเสียงกระแทกคุ้นๆ ดังอยู่บนหัว ถังโม่รีบหดมือ ตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวด้านบนนั้น ผ่านไปราวครึ่งนาที อะไรหนักๆ ก็ตกกระแทกพื้น ตามด้วยเสียงดังๆ ของผู้ชาย “อึก เจ็บโว้ย ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย?”
ถังโม่จำเสียงนี้ได้ “หลี่เหวิน?”
ผู้ชายคนนั้นหยุดไปครู่หนึ่ง “ถังโม่?”
ใจถังโม่สงบลงมาหน่อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีเสียงกระแทกดังๆ ให้ได้ยินอีกครั้ง มีคนอีก 4 คนหล่นตามมา กระแทกพื้นกันไปคนละที ร้องด้วยความเจ็บและสบถออกมา
ถังโม่ลองนับ รวมตัวเขาด้วยก็มีคนเจ็ดคนอยู่ที่นี่
แสงสว่างวูบวาบทำให้ที่มืดๆ นี้สว่างขึ้น ทุกคนหันไปมองแหล่งกำเนิดแสง เป็นเด็กหญิงวัยมัธยมต้นที่มองกลับมาอย่างหวาดหวั่น ใบหน้าเธอน่าสงสาร ร่างกายก็ผอมซูบ เธอถือไฟฉายอยู่ในมือแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ “หนู…หนูมีไฟฉาย มันมืดมากหนูก็เลยเปิดไฟ”
ผู้ชายในชุดสูทที่ท่าทางดูฉลาดพยักหน้าแล้วเดินเข้าใกล้ “ขอยืมหน่อยได้ไหม? ฉันจะเอาไปสำรวจว่าเราอยู่ที่ไหนกันตอนนี้”
เด็กหญิงส่งไฟฉายให้เขา
อีกฝ่ายกวาดไฟฉายในมือเพื่อสำรวจโดยรอบ
ถังโม่มองไปรอบๆ ทันทีที่มีแสงไฟ ชายคนนั้นเดินวนรอบถ้ำนี้รอบหนึ่ง เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่เดิม ปักไฟฉายลงดิน ให้แสงพุ่งตรงขึ้นข้างบน ส่องสว่างถ้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้คนทั้งเจ็ดเห็นหน้ากัน
ผู้ชายคนนั้นนั่งลงแถวไฟฉายนั้น “อย่างแรกเรามาแนะนำตัวกันก่อนดีกว่า ฉันชื่อหลี่ปิน อายุ 29 ทำงานอยู่บริษัท PR ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร แต่คงจะเกี่ยวกับหอคอยดำแน่ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือรวมกลุ่ม แล้วปกป้องกันตอนที่หอคอยเริ่มอีเว้นท์อะไรก็แล้วแต่”
เด็กหญิงสบตากับหลี่ปิน ดูเหมือนเธอจะเชื่อในตัวเขา เลยเลือกนั่งเป็นคนที่สองแล้วแนะนำตัว “หนูชื่อเผิงยู่เหวิน อายุ 15 เรียนอยู่ม.ต้น ปีสอง พวกคุณ… เรียกหนูว่ายู่เหวินก็ได้”
คนที่เหลือมองหน้ากันแต่ไม่มีใครยอมนั่งลง
ถังโม่เลือกจะก้าวไปนั่งด้วย หลี่ปินกับเผิงยู่เหวินเลยมองมา
เขายิ้ม “ผมชื่อถังโม่ อายุ 23 เป็นบรรณารักษ์”
หลี่เหวินไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถังโม่ก็เลือกจะเชื่อสองคนนี้ แต่เขาก็ตามถังโม่ไป “ผมชื่อหลี่เหวิน อายุ 25 เป็นคนว่างงานเกาะพ่อแม่กินน่ะ”
จากเจ็ดคน พอมีสี่คนยอมมานั่ง ที่เหลือก็รีบตามมา
“หลินเฉียว อายุ 20 ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัย”
“จ้าวเซียง ฉันอายุ23 ก่อนหอคอยจะโผล่มาเคยทำงานเป็นพ่อครัว แต่พอมันโผล่มาเจ้านายฉันก็วิ่งหนีหากจุกตูดไปแล้ว เพราะงั้นก็คงเรียกได้ว่าว่างงานอยู่”
สุดท้าย สุภาพบุรุษที่สวมแว่นอยู่ก็นั่งลงแล้วมองไปรอบๆ ทิ้งสายตาอยู่ที่หลี่ปินกับถังโม่นานเป็นพิเศษ “หลัวเฟิงเฉิง อายุ 28 เป็นนักออกแบบเกม
ตอนนี้ทั้งเจ็ดคนก็รู้จักกันแล้ว
ผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงสองคน ผู้หญิงทั้งสองเลยอดเขิยบเข้าหากันไม่ได้ หลินเฉียวนั่งข้างเผิงยู่เหวินพอี ทั้งสองเริ่มทำความรู้จักกัน ผู้หญิงสองคนนั้นกระซิบกระซาบกันไม่ให้คนอื่นได้ยิน
หลี่เหวินเขยิบเข้ามาใกล้ถังโม่ “ถังโม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ นายรู้เหรอ?”
ถังโม่คลอนศีรษะ “น่าจะเกี่ยวข้องกับหอคอยดำนั่นแหล่ะ”
“หอคอยดำเหรอ?” หลี่เหวินกลืนน้ำลาย “แล้วที่นี่มันอะไรกัน? พวกเราโดนขังเหรอ?”
“น่าจะเป็นหลุมใต้ดิน” เสียงนั้นเรียกให้ทุกคนหันไปมอง หลัวเฟิงเฉิงดันแว่นขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง “ยิ่งอยู่ลึกจากผิวดินมากเท่าไหร่ความชื้นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอยู่ใกล้แหล่งน้ำใต้ดินดินก็จะยิ่งเปียก ตอนนี้ดินใต้เท้าเรามีค่าความชื้นแฝงประมาณสามบาร์ น้ำใต้ดินธรรมดาไม่น่าทำให้เกิดแรงดันมหาศาลขนาดนี้ได้ ถ้าเรายังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เราก็ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำมากๆ บางทีเราอาจจะอยู่ในถ้ำใต้ดินที่ติดกับแม่น้ำก็ได้”
หลี่ปินมองเขาแปลกๆ “นายเป็นนักออกแบบเกม?”
หลัวเฟิงเฉิงตอบว่า “ตอนปริญญาตรีผมเรียนสาขาอนุรักษ์น้ำ”
แต่ถึงอย่างนั้นความกังขาก็ไม่ได้หายไปจากสายตาของทุกคนแต่อย่างใด ถังโม่เองก็สงสัยในตัวของคนๆ นี้อยู่ไม่น้อย
เขาเห็นโพรงที่อยู่ด้านบน แล้วทุกคนก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์
“โพรงเจ็ดอันนั้นน่าจะเป็นเจ็ดจุดที่พวกเราตกลงมา” หลี่ปินชี้ไปที่โพรงพวกนั้น “คิดว่าทุกคนน่าจะได้ยินประกาศของหอคอยก่อนที่จะหล่นลงมานะ ประโยคนั้นคืออะไรกันแน่?”
หลินเฉียวพยักหน้าแล้วทวนประโยค “จีนเขต 1 ผู้ลักลอบ ฟู่เหวินตั๋ว ได้เปิดชั้นแรกของหอคอยสำเร็จแล้ว อีกสามนาที ผู้เล่นทุกเขตในจีนจะเริ่มโจมตีหอคอย”
ในบรรดาเจ็ดคน เด็กหญิงเผิงยู่เหวินไม่ได้พูดมากนัก พ่อครัวจ้าวเซียงแทบจะเอาแต่ฟังอย่างเดียว ส่วนหลัวเฟิงเฉิงเองก็เงียบไปแล้วหลังจากพูดจบประโยคนั้น เหมือนเขาจะรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป
หลี่ปินเหมาตัวเองเป็นผู้นำของกลุ่ม “มีหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจในประโยคนั้น แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า จำกฎสามข้อของหอคอยได้ไหม? ที่มันเพิ่งพูดถึงไปเมื่อวาน ในสามข้อนั้น ข้อสุดท้ายบอกให้เราพยายามโจมตีหอคอย งั้นตอนนี้เราก็โจมตีหอคอยอยู่เหรอ?”
หลี่เหวินสงสัย “แล้วเราจะโจมตีหอคอยได้ยังไง?”
“ฉันไม่รู้”
ถังโม่เสนอความเห็น “บางทีอาจจะมีคำใบ้อะไรสักอย่าง? เราลองไปเดินดูรอบๆ อีกทีไหม?”
หลี่ปินส่ายหน้า “เมื่อกี้ฉํนดูทั้งถ้ำแล้วแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย”
แล้วเสียงสดใสของเด็กก็ดังขึ้นในถ้ำนั้น
“ดิ๊งด่อง! ชั้นแรกของหอคอย (โหมดปัญญาอ่อน) เปิดแล้ว เกมเอาชีวิตรอดเจ็ดคนกำลังโหลด...”
“กำลังสร้างแซนด์บ็อกซ์...”
“กำลังโหลดข้อมูลเกม...”
“ปล่อยภารกิจหลัก: คนทั้งเจ็ดที่ถูกเลือกโดยพระเจ้า ได้โปรดพยายามอย่างหนักเพื่อมีชีวิตรอด!”
แล้วทั้งถ้ำก็เงียบกริบ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่าจะมีเสียงหลี่เหวินแหวกความเงียบขึ้นมา “เกม? นั่นมันเสียงหอคอยนี่ฉันจำได้! แล้วเกมนั่นหมายถึงอะไร? เกมเอาชีวิตรอดเจ็ดคน...”
ถังโม่มองหลี่เหวิน มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้เล่นเกมของหอคอยก่อนหน้านี้
พ่อครัวจ้าวเซียงจงใจขึ้นเสียงกลบความกังวล “เรารีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลี่ปินอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ต้องห่วง ถ้าหอคอยให้เราเล่นเกมแบบนี้ก็คงไม่มีทางที่เราจะหนีพ้นหรอก บางทีอาจจะมีกับดักรออยู่ก็ได้” แต่ถ้ามองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าริมฝีปากคนพูดสั่นน้อยๆ “เราต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงต่อ...”
“ชู่!”
“อย่าส่งเสียง!”
ถังโม่กับหลัวเฟิงเฉิงพูดออกมาพร้อมกัน
ทั้งสองสบตากันแล้วถังโม่ก็เลิกคิ้ว “คุณก็ได้ยินเสียงเหรอ?”
คนที่เหลือกลั้นหายใจแล้วตั้งใจฟัง
แล้วนักศึกษาหญิงหลินเฉียวก็หลุดกรี๊ดออกมา เธอรีบปิดปากแล้วกระซิบ “ได้ยินแล้ว ฉันได้ยินแล้ว มีเสียงขุด มีเสียงขุดอยู่! ฉันชอบเล่นเกมเอาชีวิตรอด นั่นมันเสียงเอฟเฟกต์เวลาขุดชัดๆ มีอะไรบางอย่างกำลังขุดดินอยู่!”
หลี่ปินยืนขึ้น “มาจากทางนั้น”
ทุกคนยืนขึ้นมองกำแพงดิน
พ่อครัวจ้าวเซียงหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น “บ้าเอ๊ย มันต้องการอะไรน่ะ? ฉันจะต่อยมันให้ตายเลย”
ทุกคนขนลุกและจ้องไปทางที่มีเสียงขุดนั้นด้วยความหวาดหวั่น เสียงใกล้เข้ามาแล้วหัวใจถังโม่ก็เต้นแรงดัง ตึก ตึก เสียงนั่นไม่หายไปเลยจนกระทั่งมันมาถึงด้านหนึ่งของถ้ำ
ปัง!
ชั้นดินบางๆ ถูกเปิดออก
ตาสีแดงเลือดลุกเรืองในความมืด กวาดมองไปที่คนทั้งเจ็ด มันตวัดกรงเล็บขนาดใหญ่เปิดชั้นดินตรงหน้าตัวเอง คนๆ นั้น... ไม่สิ หนูตัวนั้นวิ่งตามท่อมาจนถึงถ้ำใต้ดิน
ตู้ม!
เป็นตุ่นยักษ์ที่สูงเกินสองเมตร หน้าตาชวนให้คิดถึงอสูร พอมันยืนขึ้น ท้องฟ้าก็เหมือนจะโดนกดลงมา มันโยนไก่งวงขนาดประมาณครึ่งตัวคนลงพื้น ตาเล็กจิ๋วจ้องคนทั้งเจ็ด ฟันคมๆ ส่งเสียงบาดหูเวลากระทบกัน
เจ้าตุ่นยิ้มหยันแล้วส่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ “วันนี้หอคอยดำช่างมีเมตตา พอกำลังจะกินไก่งวงก็ส่งเชื้อเพลิงมาให้ทันที อบไก่งวงด้วยคนเจ็ดคนแล้วโรยด้วยผงยี่หร่าหอมๆ... อา ขอบคุณหอคอยดำ สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า!”
พ่อครัวที่ตั้งใจจะพุ่งไปโจมตีชะงักแล้วก้าวถอยหลังไปสามก้าว วินาทีถัดมาเขาก็เตรียมหันหลังหนี
ถังโม่ร้องห้าม “อย่าขยับนะ!”
แต่สายไปแล้ว วินาทีที่พ่อครัวคนนั้นหันหลังแล้วออกวิ่ง เจ้าตุ่นยักษ์ก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเหมือนฟ้าผ่า กระแทกกรงเล็บใส่พ่อครัวจนเขากระเด็นไปติดผนัง
ร่างพ่อครัวตกกระแทกพื้นแล้วไอออกมาเสียงดัง เหมือนจะขยับตัวไม่ได้แล้ว
เจ้าตุ่นหันกลับมามองหกคนที่เหลือ แล้วหยุดสายตาที่เผิงยู่เหวิน เด็กหญิงร่างเล็กเตี้ย “อา เจ้าเชื้อไฟอันนี้ผอมที่สุด ฉันจะใช้แกเป็นแก่นไฟ เจ้าคนที่ไหม้เร็วที่สุดจะเหลือรอดไปเป็นคนสุดท้าย ไก่งวงจะถูกเผาด้วยไฟกองใหญ่ อย่าไปบอกใครล่ะว่าไก่งวงที่ปรุงแบบนี้อร่อยที่สุดเลย!”
“อึก...” เผิงยู่เหวินหน้าซีด ก้าวถอยหลังไปนิดหนึ่ง เจ้าตุ่นพุ่งมาข้างหน้า คว้าศีรษะเธอแล้วกระชากเข้าหาตัว เผิงยู่เหวินร้องลั่นด้วยเจ็บปวด หลี่ปินกัดฟันแล้วจับขาขวาของเธอไว้ “เราปล่อยใหมันเอาเธอไปไม่ได้ ถ้าเธอโดนพาไปคนต่อไปที่จะโดนก็คือพวกเรา!”
ถังโม่ไม่ได้เลือดเย็นพอจะมองเด็กหญิงถูกลากไปตายต่อหน้า เขาจับเท้าอีกข้างของเธอไว้ ให้หลี่เหวินจับท่อนขา นักศึกษาหลินเฉียวก็รวบรวมความกล้าแล้วช่วยดึงขาอีกข้างที่เหลือ
หลัวเฟิงเฉิงกระทืบเท้าของเจ้าตุ่น เขาเล็งมุมแล้วกระทืบลงบนเล็บนิ้วก้อยของมัน ใส่เต็มแรงจนเจ้าตุ่นร้องด้วยความเจ็บปวด เล็บของมันแข็งเหมือนเหล็กเลยไม่มีเลือดออกอะไร แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้มันปล่อยหัวเธอ ให้ทุกคนที่เหลือดึงร่างเธอกลับไป
เจ้าตุ่นยักษ์คำรามด้วยความโกรธ “ฉันจะจับพวกแกทุกคนมาย่างไก่งวงให้หมด!”
“ดิ๊งด่อง! ทริกเกอร์ภารกิจเสริมที่หนึ่ง: ย่างไก่งวงให้คุณลุงตุ่นที่แสนน่ารัก”
เสียงดังในหูของคนทั้งเจ็ด
ไอ้ตุ่นนี่มันน่ารักตรงไหน?!!
ทุกคนพร้อมใจกันอยากฉีกหอคอยดำเป็นชิ้นๆ
ถังโม่อดรู้สึกว่าประโยคนี้มันคุ้นๆ ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีเวลามานั่งนึกแล้ว เจ้าตุ่นแกว่งกรงเล็บไปที่หลี่ปิน นักศึกษากับเด็กหญิงเลยวิ่งหนี ถังโม่รีบตะโกน “อย่าวิ่ง! เกาะกลุ่มกันไว้ ไม่งั้นเราจะโดนจับทีละคนแน่”
แต่เด็กหญิงก็ยังหนีอยู่ดี ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ยังเด็ก และอดไม่ได้ที่จะหนีเมื่อกลัว
นักศึกษาหญิงเรียกความกล้าคืนมาแล้ววิ่งกลับไป
“รับ!” หลัวเฟิงเฉิงจับสองขาของไก่งวงโยนมาให้ถังโม่ แต่เขากะแรงไม่ถูกมันเลยไปหล่นอยู่ตรงหน้านักศึกษาหญิงคนนั้นแทน
เจ้านี่คือตุ่นยักษ์แล้วไก่งวงตัวนี้ก็ใหญ่เหลือเกิน น่องไก่นั้นแข็งจนใช้เป็นอาวุธได้ หลัวเฟิงเฉิงถือขาข้างหนึ่ง นักศึกษาหญิงเลยไม่ลังเลที่จะฉีกขาอีกข้างขึ้นมาแล้วพุ่งใส่เจ้าตุ่นพร้อมกัน
เจ้าตุ่นยังตวัดกรงเล็บใส่หลี่ปินอยู่ตอนที่มันได้ยินเสียง มันหยุดแล้วหมุนตัวไป
หลี่ปินไอออกมาเป็นเลือด แล้วจับขาข้างหนึ่งของเจ้าตุ่นไว้ “เร็วเข้า!”
หลัวเฟิงเฉิงกับนักศึกษาหญิงพุ่งเข้าใส่จากทางซ้ายและขวา โบกน่องไก่ในมือใส่เจ้าตุ่นที่โดนหลี่ปินล็อคไว้เลยไม่มีโอกาสหลบ ขาไก่ที่แข็งเหมือนเหล็กเตรียมจะกระทบร่าง ตอนที่เจ้าตุ่นยกกรงเล็บขึ้นกันทั้งสองด้านของศีรษะ
ขาไก่งวงกระแทกกับกรงเล็บ จนเกิดเป็นประกายไฟ
เจ้าตุ่นขยับกรงเล็บแล้วคำราม “ฉันจะเผาพวกแกทุกคนแล้วย่างไก่งวง”
หลี่ปินนอนหมดแรงอยู่บนพื้น พยายามจะจับขาเจ้าตุ่นไว้ แต่ตาเขาก็ต้องเบิกกว้าง ความหวังพวยพุ่งเมื่อเห็นถังโม่พุ่งมาที่ข้างหลังของเจ้าตุ่น
แต่ในมือเขาไม่มีกระทั่งขาไก่งวง!
น้ำเย็นราดลงบนความหวังของหลี่ปิน “นายจะตายนะ!”
แค่พริบตาเดียวไม้ขีดไฟยักษ์ก็โผล่มาอยู่ในของถังโม่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเอามันออกมาจากตรงไหน พ่อครัวยังนอนหมดสภาพอยู่ที่พื้นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เด็กหญิงหนีไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน หลี่ปิน หลัวเฟิงเฉิงและนักศึกษาหญิงจ้องไม้ขีดไฟอันนั้นด้วยความประหลาดใจ
สายลมที่เกิดจากไม้ขีดไฟนั้นบ่งบอกว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน
พวกเขามองถังโม่ด้วยความตื่นเต้น ตอนที่ไม้ขีดไฟนั้นกำลังจะกระแทกเข้าที่ส่วนหัวของเจ้าตุ่น
แล้วตอนนั้นเอง
เจ้าตุ่นก็ขยับกรงเล็บมาจับไม้ขีดไฟไว้
นอกจากคนที่เฝ้ามอง หัวใจถังโม่เองก็เย็นเหมือนน้ำแข็ง แรงกระแทกของไม้ขีดไฟทำให้เจ้าตุ่นต้องถอยไปนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่มากพอจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ มันจับไม้ขีดไฟนั้นไว้แล้วมองถังโม่
ถังโม่เม้มปาก สมองหมุนอย่างรวดเร็ว
แต่เจ้าตุ่นไม่ได้โจมตีอีก กรงเล็บข้างซ้ายจับไม้ขีดไว้ ขณะที่ข้างขวาลูบหัวถังโม่เหมือนหมา “อ้าว นี่แกไปเอาไม้ขีดไฟของโมเสกมาได้ยังไงน่ะ?” จมูกขยับไปมาในอากาศตอนที่มันดมกลิ่นถังโม่ ก่อนที่จะทำสีหน้าปุเลี่ยน “โอ แกมีกลิ่นของโมเสกเต็มตัวไปหมด กลิ่นแกนี่มันน่าขยะแขยงสุดๆ!”
ถังโม่ “…”