ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 : ใครขโมยหนังสือของหนูไป?

ตอนที่ 1 : ดิ๊งด่อง! 15 พฤศจิกายน 2017 โลกออนไลน์!


ทันทีที่ประตูหอสมุดเปิดตอนเก้าโมงเช้าก็จะมีคนผมเทาเจ็ดหรือแปดคนทยอยกันเข้ามา ต่างจากช่วงสุดสัปดาห์ที่มักจะมีพ่อแม่พาลูกหลานมาอ่านหนังสือ เช้าวันจันทร์อย่างนี้มีแต่คนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่จะมาใช้บริการห้องสมุด

โลกภายนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ขณะที่ภายในห้องสมุดมีเพียงเสียงพลิกกระดาษ

พอสิบโมงคนก็เริ่มหนาตาขึ้น

ถังโม่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มือซ้ายเคาะคีย์บอร์ดป้อนรหัสหนังสือ มือขวาเลื่อนเม้าส์กดยืนยัน พอเสร็จแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น “หนังสือถูกยืมไปเกือบเดือนแล้ว ยังอ่านไม่จบหรือครับ?”

หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเขาส่งยิ้มตอบแล้วส่ายหน้า “ยังเลย ลูกชายฉันอ่านหนังสือช้าน่ะ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้าเรายืมเกินหนึ่งเดือน?”

“หนังสือสามารถยืมฟรีได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนครับ หลังจากนั้นต้องเก็บค่าปรับวันละ 1 หยวน” ถังโม่ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าหนังสือหายสามารถชดใช้ได้ด้วยการจ่ายค่าหนังสือนะครับ เล่มนี้ราคา 82 หยวน”

สีหน้าเธอเปลี่ยนทันใด “แพงจัง... เข้าใจแล้ว กลับบ้านไปวันนี้ฉันจะไปบอกเขาให้รีบอ่านให้จบนะ” แล้วเธอก็จากไป

ถังโม่มองอีกฝ่ายเยื้องย่างออกไป ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก เขาหยิบบัตรสมาชิกห้องสมุดของคนถัดไปขึ้นมารูด

“ยังอ่านไม่จบเหรอ? ฉันว่าเธอทำหายไปแล้วมากกว่า” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ก็เป็นไปได้...”

ความเหยียดหยันแฝงมาในน้ำเสียงของคู่สนทนา “ค่าบัตรสมาชิก 50 หยวน กับค่าหนังสืออีก 82 หยวน เธอคงไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้วล่ะ”

“ผมก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะกลับมา” ผู้อำนวยการหวังจากแผนกต้อนรับตบไหล่ถังโม่ “เสี่ยวถัง ช่วยไปดูคุณร่างทรงนั่นหน่อยได้ไหม ฉันเห็นเขานั่งหลบอยู่ตรงมุมที่มันลับตาคน ไม่อยากเห็นเขาทำอะไรแปลกๆ”

[TN : จริงๆ ต้นฉบับใช้คำว่า神棍 神หมายถึงพระเจ้า 棍หมายถึงคทา อารมณ์เหมือนคนโบราณที่เป็นตัวแทนศาสนาถือคทา จริงๆ หมายถึงคนที่อ้างว่าตัวเองติดต่อกับวิญญาณได้ เลยเลือกใช้คำว่าร่างทรงนะคะ]

ถังโม่พยักหน้ารับแล้วเดินไปจัดการ

ห้องสมุดซูโจวตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตัวอาคารสูงสามชั้น ที่ชั้นสามเป็นหมวดมนุษยศาสตร์และประวัติศาสตร์ ถังโม่เดินจากศูนย์ช่วยเหลือไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านชั้นหนังสือกว่าสามสิบตู้ไปหา ‘ร่างทรง’

ช่วงเดือนพฤศจิกายนซูโจวมีอากาศค่อนข้างหนาว ลมภายนอกอาคารพัดผ่านจนหน้าต่างสั่นน้อยๆ แต่แสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาก็ยังทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่บ้าง ร่างทรงนั่งไขว้ขาอยู่ตรงพื้นใกล้หน้าต่าง มีหนังสือห้าหกเล่มกองรอบตัวทว่าเขาไม่ได้สนใจ เอาแต่ใช้มือขยี้ผมตนเองจนมันยุ่งเหยิงไปหมด

ถังโม่เม้มปากแล้วเดินไปหยิบหนังสือขึ้นมา “คุณเฉิน ห้องสมุดของเรามีโต๊ะกับเก้าอี้ให้บริการ คุณไปอ่านหนังสือตรงนั้นเถอะครับ”

“อ่านหนังสือ…อ่านหนังสือ…ฉันอ่านหนังสืออะไรอยู่นะ?”

ถังโม่ก้มมองหนังสือที่เพิ่งหยิบขึ้นมา “ความลับเบื้องหลังการหายตัวไปของชนเผ่ามายา?”

ร่างทรงเงยหน้าขึ้นมา ใช้นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองถังโม่ แล้วถามอย่างหวาดวิตก “นายรู้ความลับเบื้องหลังการหายตัวไปของชนเผ่ามายาเหรอ?”

ริมฝีปากเขายกขึ้น “ไม่รู้ครับ... คุณรู้เหรอ?”

“ฉันรู้ แน่สิว่าฉันรู้” อีกฝ่ายลุกขึ้น “พวกเขาละเมิดพระเจ้า ศาสนาของพวกเขาขึ้นตรงกับพระเจ้าจอมปลอม ทำให้พระองค์ขุ่นเคือง เพราะแบบนั้นทุกคนก็เลยต้องตาย พระเจ้าคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว ใครละเมิดพระองค์จะต้องตาย!”

ถังโม่ได้ยินประโยคนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การทำงานที่ห้องสมุดสาธารณะทำให้เขาได้พบผู้คนหลากหลาย เจออะไรแปลกๆ มาไม่น้อย ชายคนนี้อาจจะหวาดวิตกกับอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นมีปัญหาทางจิต เขาก็แค่หมกมุ่นกับศาสนาไปสักหน่อย ดังนั้นจึงไล่เขาออกไปไม่ได้

เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แล้วพระเจ้าที่แท้จริงอยู่ที่ไหนหรือครับ?”

อีกฝ่ายนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง

ถังโม่ยิ้ม หยิบกองหนังสือขึ้นเตรียมตัวเดินจากไป

เขาถามคำถามนี้กับคนคนนี้มาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่การมาเยือนครั้งแรกเมื่อปีก่อน เขาใช้เวลาทั้งวันละเมอเพ้อพกถึงความศรัทธาของตน แต่พอมีพนักงานห้องสมุดเดินเข้ามาถามว่าพระเจ้าของเขาเป็นใคร เขาก็จะหุบปาก แล้วหายตัวไปจากห้องสมุดสักระยะหนึ่ง

ถังโม่เตรียมตัวจะเก็บหนังสือกลับไปแล้ว แต่ทันที่หมุนตัวเขาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูลึกลับไล่หลังมา “พระเจ้าอยู่ที่นั่นไง”

ถังโม่ชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมอง

ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ชี้ไปที่หอคอยที่ลอยอยู่เหนือเมือง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเปี่ยมความลุ่มหลง “พระเจ้ากำลังมาแล้ว”

“…”

เอาที่เขามีความสุขแล้วกันเนอะ

รถบัสที่ถังโม่ใช้นั่งกลับบ้านทุกวันจะวิ่งผ่านใจกลางเมือง เขานั่งติดหน้าต่าง หูฟังเพลงจากหูฟัง ตอนที่เพลงจบก็แอบได้ยินเสียงพูดคุยของนักเรียนมัธยมปลายหญิงคู่หนึ่ง

“หอคอยดำนี่! ฉันจะถ่ายรูปนะ”

“เธอยังจะถ่ายอีกเหรอ? ไอ้หอคอยนี่มันมีอะไรดีกันห๊ะ ไม่มีใครอยากจะมองมันแล้วด้วยซ้ำ”

“ฉันจะส่งไปให้เพื่อนในกลุ่ม ตั้งชื่อรูปว่า ทริปสู่หอคอยดำ”

“ไม่มีใครชอบอะไรแบบนั้นหรอกน่า ดูคนที่นั่งติดหน้าต่างดีกว่า เขาหล่อสุดๆ ถ้าเธอถ่ายรูปเขาจะต้องมีคนสนใจเยอะมากแน่ๆ เนี่ย ตั้งชื่อรูปว่า...โอปป้าบนรถบัส! เอ้าเร็วเข้า รีบถ่ายเข้าสิ!”

ตอนที่เพลงถัดไปเริ่มเล่นถังโม่ก็ยกมือขวาขึ้นปิดหน้าตัวเอง เลิกสนใจทั้งคู่แล้วหันออกนอกหน้าต่าง ยกสายตาขึ้นมองหอคอยที่ลอยค้ำเมืองซูโจว

หอคอยดำตั้งตระหง่านเหนือตึกสูงทั้งหลาย อาคารแบบปีระมิดฐานสี่เหลี่ยมชวนให้นึกถึงปีระมิดในอียิปต์ น่าเสียดายที่มันสีดำ ไม่ใช่สีทอง ฐานหอคอยยาวคลุมเมืองไว้เกือบมิด แสงจันทร์เย็นๆ ลอดผ่านหอคอยดำลงมาได้อย่างไร้ปัญหา

วันที่หอคอยโผล่ขึ้นมานั้น ถังโม่กำลังรีบออกไปทำงานเลยไม่ได้มีเวลาดูข่าว แต่พอเขาก้าวออกมาที่ถนนก็พบว่าทั้งเมืองนั้นมีแต่ความโกลาหล

รถประจำทางไม่วิ่ง รถแท็กซี่ก็ไม่จอดรับผู้โดยสาร

รถทุกคันมุ่งหน้าเข้าศูนย์กลางเมืองอย่างบ้าคลั่ง ถังโม่ที่เพิ่งตื่นคิดอะไรไม่ออกจนเงยหน้าขึ้นไปเห็นหอคอยขนาดใหญ่

แล้วเขาก็ตื่นเต็มตาทันใด

แวบหนึ่งถังโม่คิดว่านี่ปี2012หรือเปล่า? จุดจบของโลกมาถึงแล้วหรือ?

อาคารใหญ่ขนาดนั้นผุดขึ้นมาจากไหน?

ตอนที่กลับมาจากที่ทำงานเมื่อคืนก็ไม่เห็น มันจะงอกออกมาจากอากาศได้ยังไงกัน?

ตอนแรกถังโม่คิดว่าเป็นอาคารก่อสร้างโดยรัฐบาล เขาเคยเห็นชาวเน็ตคุยโวเรื่องการก่อสร้างขั้นเทพของประเทศอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะสร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อประกาศศักดากับชาวโลกก็ได้ เขาคิดอย่างนั้นจนได้นั่งแท็กซี่ไปจนถึงใจกลางเมือง และพบว่าหอคอยนั่นลอยอยู่กลางอากาศ!

ลอยอยู่กลางอากาศ! สูงจากพื้นอย่างน้อยก็100เมตรแน่ๆ!

มนุษย์ที่ไหนมันจะไปสร้างปราสาทลอยฟ้าได้กัน?

จอLEDขนาดใหญ่กลางเมืองถ่ายทอดข่าว “เมื่อเวลาแปดนาฬิกาในช่วงเช้าวันนี้ พบหอคอยประหลาด 1021 ต้นปรากฏขึ้นตามเมืองใหญ่และกลางมหาสมุทร มีรายงานว่าในเวลาเดียวกันนั้นมีหอคอยสีดำแบบเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นทั่วโลกเป็นจำนวนมาก ขอให้ประชาชนอยู่ภายใต้ความสงบ รัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยรับมือเฉพาะกิจขึ้นเพื่อสำรวจวิกฤติการณ์นี้ เราได้เชิญศาสตราจารย์หลัวแห่งภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยปักกิ่งมาอธิบายเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ศาสตราจารย์หลัวอยู่ในสาย…”

วัน! สิ้น! โลก!

ทุกคนแตกตื่นกันหมด ถังโม่ไปทำงานไม่ได้อยู่สองวัน หลายคนขับรถออกนอกเมือง หนีจากหอคอยดำให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อหนึ่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ หลายคนก็เริ่มทยอยกลับเข้าเมืองมาอีกครั้งเพราะไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดของหอคอย

พอผ่านไปหกเดือน หอคอยก็กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวไปเสียแล้ว

ช่วงเดือนแรกๆ มีนักวิจัยชุดขาวเดินวนเวียนอยู่ใต้หอคอยดำทุกวัน เคลื่อนย้ายอุปกรณ์ขนาดใหญ่เพื่อตรวจสอบวัตถุน่าสงสัยนั่น แต่เดี๋ยวนี้พวกเขามาแค่สามวันครั้ง ร้านค้ารอบๆ ก็กลับมาเปิดกิจการตามปกติกันหมดแล้ว

ถังโม่เท้าคางมองหอคอยดำ จนรถบัสเลี้ยวที่หัวมุมถนนไม่อาจเห็นหอคอยได้อีก

คืนนั้นถังโม่กลับไปกินมื้อเย็น พอเสร็จก็เปิดคอม ล็อคอินเข้า QQ เห็นกล่องข้อความเด้งขึ้นมา

[Victor : ขอโทษที ช่วงนี้ยุ่งมาก อาจจะไม่ได้มีเวลามาเล่นด้วยนะ]

ถังโม่มองข้อความนั้น ข้อความที่เขาส่งไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเพิ่งได้รับการตอบกลับวันนี้เอง เหมือนอีกฝ่ายจะยุ่งมากจริงๆ

[โม่ถัง : ไม่เป็นไร ไว้ค่อยเล่นกันตอนนายว่างก็ได้]

พอตอบข้อความเสร็จถังโม่ก็เตรียมเปิดโปรแกรมเกมบริดจ์ขึ้นมา แต่วิคเตอร์ตอบข้อความมาแล้ว

[Victor : เล่นกันสักเกมไหม ตอนนี้ฉันว่างอยู่]

[โม่ถัง : ดี (หน้ายิ้ม)]

ถังโม่กดเชิญวิคเตอร์ ไม่นานเกมก็เริ่มต้นขึ้น

เขาเล่นเกมนี้มาห้าปีแล้ว ตอนเป็นเฟรชชี่ รูมเมทของถังโม่คลั่งไคล้เกมบริดจ์สุดๆ หมอนั่นเอาแต่พูดว่า เกมนี้น่ะคือเกมทดสอบIQที่แท้จริง แต่เล่นอยู่ไม่ถึงเดือนหมอนั่นก็ย้ายไปติดเกมอื่น ทิ้งไว้แต่ถังโม่ที่เล่นต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้

ช่วงกลางเกม ถังโม่เห็นช่องว่างในการ ’สร้างสัญญาในการเล่น’ เขากะพริบตา ยังไม่ได้ทันได้ทำอะไรต่อวิคเตอร์ก็ดึงไพ่คิงไปแล้ว หัวสมองถังโม่ว่างเปล่า จู่ๆ วิคเตอร์ก็ตัดโอกาสการสร้างสัญญาของเขาเสียอย่างนั้น

วิคเตอร์พลาดหรือเปล่านะ?

บริดจ์เป็นเกม 2v2 ถังโม่เจอกับวิคเตอร์ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน พวกเขาทั้งคู่เล่นเข้าขากันและมักจะมีความเข้าใจร่วมกันแบบไม่ต้องใช้คำพูด ที่สำคัญวิคเตอร์เล่นเก่งกว่าถังโม่เสียอีก แต่เขายุ่งอยู่ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้แตะเกมเลยในช่วงสองเดือนล่าสุด ก็เป็นไปได้ว่าสกิลเขาจะขึ้นสนิมไปบ้าง

ถังโม่มองไปรอบโต๊ะแล้วก็คิดขึ้นมาได้ “หมอนั่นตั้งใจทำแกรนด์สแลมเหรอ?”

ริมฝีปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วเริ่มวางไพ่ในส่วนของตัวเองอย่างใจเย็น

เกมจบลงในสามสิบนาทีต่อมา ถังโม่ขยับมือเปิด QQ

[โม่ถัง : GJ เล่นเก่งเหมือนเดิมเลยนะ]

[Victor : GJ]

[โม่ถัง : (หน้ายิ้ม)]

วิคเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรมาอีกพักใหญ่ ถังโม่เดาว่าเขาคงยุ่งเลยไม่ได้ส่งข้อความอะไรไปอีก เขาหันไปเปิดเกมบริดจ์เล่นอีกรอบ จนเกมจบกลับมาก็เห็นข้อความที่วิคเตอร์ส่งไว้

[Victor : ก่อนหน้านายเคยพูดว่ามีหอคอยดำอยู่แถวที่ทำงานนายใช่หรือเปล่า?]

[โม่ถัง : ใช่ ห่างไปสัก200เมตรได้ ทำไมเหรอ?]

[Victor : ช่วงนี้มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ]

ถังโม่เห็นประโยคนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ร่างทรงชี้ไปที่หอคอยแล้วบอกว่า ‘พระเจ้ากำลังมาแล้ว’

ถังโม่หลุดหัวเราะ ขำอยู่นานถึงได้ตอบข้อความกลับไป

[โม่ถัง : คิดไม่ถึงเลยว่านายเองก็เป็นพวก ‘หอคอยดำมันอันตรายนะ’ แต่แย่หน่อย ผมทำงานอยู่แถวนั้น เลี่ยงไม่ได้เลย]

วิคเตอร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเขาพูดคุยกันอีกสองสามประโยคจู่ๆ อีกฝ่ายก็บอกว่ามีธุระ ทั้งสองเลยบอกลากันแล้ววิคเตอร์ก็ออฟไลน์ไป

วันถัดมาร่างทรงไม่ได้มาที่ห้องสมุดเหมือนอย่างเคย ผู้อำนวยการหวังแปลกใจมาก “วันนี้คุณร่างทรงไม่มาเหรอ? ฉันว่าเขามาที่นี่บ่อยกว่าฉันอีกนา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?”

ถังโม่ตอบกลับไปว่า “บางทีเขาอาจจะยุ่งกับเรื่องที่บ้านก็ได้ครับ”

ผู้อำนวยการหวังโบกมือ “คงดีกว่าถ้าเขาไม่มานั่นแหล่ะ เสี่ยวถัง เสี่ยวจ้าว วันนี้งานหนักหน่อย แต่อย่าลืมหาเวลาไปเรียงหนังสือหมวด G ด้วยล่ะ”

เรียงหนังสือเป็นสิ่งที่บรรณารักษ์ต้องทำทุกวัน ไม่ใช่งานสบายอย่างที่คนนอกชอบคิดกันเลย แต่เพราะวันนี้เสี่ยวจ้าวมีนัดบอด เด็กสาวเหลือบมองเขาอย่างขอความช่วยเหลือ จนเขาต้องพูดออกไปว่า “เธอกลับก่อนเถอะ เดี๋ยวผมทำเอง”

“ขอบคุณนะถังโม่ ครั้งหน้าเดี๋ยวจะอยู่โอทีให้นะ”

ถังโม่พยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไรอีก

เขาทำงานล่วงเวลาจนถึงสี่ทุ่ม จากนั้นก็ขึ้นรถบัสคันสุดท้ายกลับบ้าน

บนรถแทบไม่มีคนแล้ว นอกจากคนขับก็มีแค่ถังโม่กับคุณลุงวัยกลางคนคนหนึ่งเท่านั้น คุณลุงคนที่ว่านอนกรนเสียงดังบนที่นั่งและโทรศัพท์ของถังโม่ก็แบตหมดไปนานแล้ว เขาเลยได้แต่เท้าคางมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างเบื่อๆ

เวลานี้ห้างสรรพสินค้าปิดทำการหมดแล้ว กลางคืนของเดือนพฤศจิกายนอากาศหนาวเลยแทบไม่เห็นคนบนท้องถนน พระจันทร์ส่องแสงเย็นๆ อาบเมือง ถังโม่กำลังมองไฟนีออนติดๆ ดับๆ อยู่ตอนที่รถบัสเลี้ยวที่หัวมุม แล้วภาพตรงหน้าก็ถูกหอคอยดำแทนที่

พอมองมันมาหกเดือนถังโม่ก็ไม่รู้สึกอะไรกับหอคอยดำอีกแล้ว เขาก็เหมือนคนอื่นๆ ได้แต่เฝ้ามองมันอย่างใจเย็น

แต่แล้วจู่ๆ เขาก็เห็นแมลงตัวหนึ่ง… หรืออาจจะนกตัวหนึ่งก็ได้ มันอยู่ไกลเกินไปเขามองไม่ถนัดนัก ถังโม่เหม่อมองเจ้าตัวเล็กที่แสนโง่เง่าบินโฉบเข้าไปใกล้หอคอย

จากนั้นมันก็กระแทกกับอะไรบางอย่างแล้วร่วงลงไปที่พื้น

ถังโม่ยังคงมองนิ่ง แม้ว่ารถบัสจะเลี้ยวที่หัวมุมถัดไปจนมองไม่เห็นหอคอยแล้วก็ตาม

เสียงประกาศสถานีถัดไป แต่ถังโม่ก็ยังคงมองค้างอยู่ วินาทีที่แล้วเขายังคิดว่าเย็นนี้จะกลับไปกินอะไรดีอยู่เลย เขาหันหน้ากลับไปพยายามจะมองหอคอยอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่รถบัสเลี้ยวมาไกลเกินไปแล้ว

หัวใจถังโม่เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา เขาค่อยๆ ลูบอก สั่งให้ตัวเองตั้งสติ

“…ตาฝาดงั้นเหรอ? หอคอยดำก็แค่ภาพลวงตาที่เกิดจากมลภาวะไม่ใช่รึไง มันไม่ได้เป็นของแข็งสักหน่อย”

นั่นคือแนวคิดของผู้คนส่วนใหญ่ หลายคนไม่เชื่อว่าหอคอยดำมีอยู่จริงเพราะถึงแม้จะมองเห็น แต่ก็ไม่มีใครแตะหอคอยได้อยู่ดี

ถังโม่ปิดตา อยากจะลืมสิ่งที่เพิ่งเห็นไปซะ แต่ภาพนั้นก็เอาตัววนเวียนอยู่ในหัวจนนอนไม่หลับ กว่าจะข่มตาได้ก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืนแล้ว

เช้าวันถัดมาถังโม่ตื่นตอนเจ็ดโมงครึ่ง เขารีบลุกขึ้นไปแปรงฟันรีบไปให้ทันขึ้นรถบัสรอบแปดโมงเช้า เขาแต่งตัว หยิบกระเป๋า แต่ตอนที่กำลังจะหมุนลูกบิดประตูก็ได้ยินเสียงเพลง

[ Jingle bells, jingle bells, jingle all the way! ]

ถังโม่ขวัญเสีย รีบหันมองรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นว่าเสียงนั้นออกมาจากตรงไหน เพลง ‘จิงเกิลเบลล์’ ยังคงดังต่อ แม้จะไม่มีเนื้อเพลงแต่ไม่ว่าใครก็คงรู้จักเพลงนี้

ไม่ว่าจะตั้งใจฟังสักเท่าไหร่ถังโม่ก็ยังรู้สึกว่าเสียงเพลงดังมาจากรอบตัวจนไม่รู้ว่าเสียงนั้นออกมาจากตรงไหน

วินาทีถัดมาถังโม่ที่ตัวชาอยู่ก็พุ่งไปที่หน้าต่างด้วยความเร็วที่ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะทำได้ เขามองไปที่หอคอยตรงใจกลางเมืองซูโจว แสงหลากสีสาดออกมาจากหอคอย จังหวะดนตรีดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงโน้ตตัวสุดท้าย แสงสว่างรอบหอคอยก็หายไป

เสียงแหลมสูงเหมือนเด็กประกาศก้อง

“ดิ๊งด่อง! 15 พฤศจิกายน 2017 โลกออนไลน์”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด