บทที่ 112 ศาสตร์ลับแห่งการตัดสิน
หุบเขาหมื่นมังกรเป็นสถานที่อันเลื่องชื่อของทวีป ไม่เพียงแต่เป็นสุสานของตัวตนระดับราชันสวรรค์เท่านั้น แต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มันยังเคยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรระดับสี่อย่างมังกรปีกน้ำเงิน
ตามชื่อของมัน หุบเขาหมื่นมังกรเคยเป็นที่อาศัยของมังกรนับหมื่นตัว ในครั้งที่ราชันสวรรค์หมื่นมังกรพบที่นี่ เขาก็พึงพอใจกับฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจสังหารมังกรปีกน้ำเงินและสร้างเป็นสุสานขึ้นมา เรื่องนี้เองที่ทำให้ชื่อของหุบเขาหมื่นมังกรโด่งดังไปทั่วทั้งทวีป
หุบเขาหมื่นมังกรมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและเป็นที่พักพิงของสัตว์อสูรประเภทมังกร แต่ตอนนี้กลับไม่มีมังกรแม้แต่ตัวเดียวที่กล้าโผล่หน้าออกมา
นั่นก็เป็นเพราะมีจอมยุทธมากมายจากสามอาณาจักร รวมไปถึงนักล่าสมบัติที่คอยแวะเวียนมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย
เมื่อขบวนของสำนักจิตอสูรมาถึง พวกเขาก็กลายเป็นเป้าสายตาในทันที เพราะยังไงเสียลูกศิษย์ส่วนมากของสำนักต่างก็เป็นทายาทของตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรต้าเซี่ย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย
ยังเหลืออีกสองวันก่อนที่สุสานของราชันสวรรค์จะเปิด สำนักจิตอสูรตั้งค่ายเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากสุสาน พวกเขามีสมาชิกมากกว่าหนึ่งพันคนและยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอยู่ถึงสามคน ดังนั้นคนนอกที่ต้องการที่จะสร้างที่พักชั่วคราวในบริเวณเดียวกันจึงจากไปอย่างรู้งาน
ลูกศิษย์หญิงจำนวนมากต่างก็มีความสุข ตลอดทั้งการเดินทาง พวกนางต้องพบเจอกับสิ่งสกปรกและไม่อาจชำระล้างได้ แต่ในตอนนี้พวกนางต่างก็ยินดีปรีดาที่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ อาจารย์หญิงนำขบวนลูกศิษย์หญิงไปชำระล้างร่างกายที่บ่อน้ำ ในขณะที่ลูกศิษย์คนที่เหลือต่างก็เดินเพ่นพ่านไปมาราวกับกลุ่มแมลงวัน
“ที่นี่คือสุสานของราชันย์สวรรค์รึ? ทำไมถึงดูธรรมดายิ่งนัก?”
เจียงอี้, เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงกำลังนั่งสนทนากัน เจียงอี้ค่อนข้างผิดหวังเมื่อมองไปยังกำแพงยักษ์ซึ่งอยู่ไกลออกไป สุสานราชันสวรรค์แห่งนี้ไม่ได้แผ่กลิ่นอายอันสูงส่งของราชันออกมา ไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นแค่หินธรรมดาเท่านั้น มันมีแค่กำแพงหินขนาดใหญ่ซึ่งมีพื้นผิวมันเงาราวกับกระจกและด้านบนก็ถูกสลักว่า ‘สุสานราชันสวรรค์’
จ้านอู๋ซวงหัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะกล่าว “ที่นี่ยังไม่ใช่สุสานของราชันสวรรค์ สุสานของจริงอยู่ด้านใน เจ้าจะรู้ทันทีเมื่อเจ้าก้าวผ่านประตูนั้นเข้าไป”
“ยังเหลืออีกตั้งสองวันกว่าสุสานของราชันสวรรค์จะเปิด!”
ทันใดนั้นเฉียนว่านก้วนก็ขัดจังหวะ “ลูกพี่! ให้ข้าจัดหาสาวงามให้เจ้าเล่นสนุกเป็นการฆ่าเวลาดีหรือไม่?”
จ้านอู๋ซวงกลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจ แต่ในทางกลับกัน เจียงอี้ก็เข้าใจดีว่าเจ้าอ้วนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขากลัวว่าเมื่อเจียงอี้เข้าไปแล้วจะถูกสังหารจนตาย แค่ตายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตายในขณะที่ยังบริสุทธิ์อยู่มันช่างเป็นอะไรที่น่าสงสารยิ่งนัก…
“เจ้าไปเถิด ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลัง”
เจียงอี้ยืนขึ้นและเดินกลับเข้าไปในกระโจม เขาตั้งใจที่จะใช้เวลาสองวันที่เหลือในการทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ด เพราะอย่างน้อยความสามารถในการป้องกันตัวของเขาก็จะได้เพิ่มขึ้น
……
แต่ผลลัพธ์ช่างน่าผิดหวัง เจียงอี้ใช้เวลาตลอดทั้งสองวันในการบ่มเพาะพลังแต่ก็ยังไม่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดได้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเมื่อออกจากการเก็บตัว เขาก็ได้รับข่าวร้ายถึงสองเรื่อง!
ข่าวแรกถูกนำมาโดยเฉียนว่านก้วน เขาสืบทราบมาว่าเจียงนี่หลิวได้ระดมพลสมาชิกของกองทัพทหารตะวันตกแต่ยังไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่และซ่อนตัวอยู่ที่ใด แต่ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ข่าวลวงอย่างแน่นอน
ส่วนข่าวที่สอง จ่างซุนอู๋จี้ได้ค้นพบสัตว์อสูรระดับสอง, มังกรเงา ซึ่งอยู่ในหุบเขาหมื่นมังกร ส่วนที่น่าวิตกจริงๆก็คือจ่างซุนอู๋จี้ได้กำราบมังกรเงาและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสัตว์วิญญาณของเขาได้สำเร็จ
ต้องทราบก่อนว่าความเร็วของมังกรเงานั้นเปรียบเสมือนฝันร้ายของจอมยุทธทั่วทั้งยุทธภพ อีกทั้งความแข็งแกร่งของมันยังเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุด
“มังกรเงา?”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ของสำนักจิตอสูรต่างก็มีสัตว์วิญญาณเป็นของตัวเองใช่หรือไม่? ทำไมข้าถึงไม่เห็นพวกมันเลยล่ะ?”
เจียงอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย ศิษย์ชั้นยอดทุกคนจะได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่ใช้ในการฝึกสัตว์วิญญาณและสามารถใช้พวกมันในการต่อสู้ได้ แต่ในขณะที่เจียงอี้อยู่ในสำนัก เขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นสัตว์วิญญาณสักตัว เรื่องนี้ได้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของเขามาตลอด
“ลูกพี่ เจ้าไม่มีความรู้ทั่วไปเลยหรือยังไง?”
เฉียนว่านก้วนกลอกตาก่อนที่จะกล่าวอธิบาย “ไม่เพียงแต่สำนักจะมอบศาสตร์ลับให้กับศิษย์ชั้นยอด แต่พวกเขายังมอบเครื่องรางสัตว์วิญญาณให้ด้วย ภายในนั้นจะมีมิติขนาดเล็กซึ่งสามารถใช้เก็บสัตว์วิญญาณได้”
“คงมีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นที่จะนำสัตว์วิญญาณของตัวเองออกมาโอ้อวด จอมยุทธส่วนใหญ่จะปกปิดมันไว้เป็นความลับเพื่อใช้เป็นไพ่ตายในการต่อสู้”
“เป็นอย่างนี้เองสินะ!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น หากต้องเผชิญหน้ากับศิษย์ด้วยกัน ฝ่ายนั้นจะต้องมีสัตว์วิญญาณอยู่ด้วยเป็นแน่ หากไม่ระวังเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้
ตึก! ตึก!
ในขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าของสตรีก็ดังมาจากระยะไกล เฉียนว่านก้วนตบไปที่ไหล่ของเจียงอี้และรีบกล่าว “ยังเหลืออีกหนึ่งวันก่อนที่สุสานจะเปิด ลูกพี่ ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้เวลานี้จัดการลูกเจี๊ยบตัวนี้เสียล่ะ เจ้าจะได้ไม่เสียใจหาก…”
“หุบปาก!”
เจียงอี้เตะไปที่ก้นของเจ้าอ้วนด้วยความหมั่นไส้ ขณะเดียวกันจ้านอู๋ซวงก็มีความเฉลียวฉลาดมากพอจึงได้จากไปอย่างเงียบๆ เมื่อเจียงอี้หันไปมองหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาใกล้นั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาเมื่อตระหนักได้ว่านางคือจีทิงยวี่
นางมาทำอะไร? นับตั้งแต่ที่นางฝักใฝ่ในตัวของเจียงนี่หลิวหรือจ่างซุนอู๋จี้ นางก็ควรจะรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเป็นเพื่อนกันได้อีกต่อไป
“เจียงอี้!”
ขณะที่เอ่ยชื่อเจียงอี้ออกมา ดวงตาของนางก็ดูเคร่งเครียดยิ่งขึ้น นางกัดริมฝีปากและกล่าว “เจ้าจะเข้าไปในนั้นจริงๆหรือ? เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าอาจจะตายได้?”
เจียงอี้ไม่ตอบและทำเพียงแค่มองไปที่นางอย่างเฉยเมย
“เห้อ ข้ารู้อยู่แล้วแหละว่าไม่สามารถพูดให้เจ้าเปลี่ยนใจได้!”
จีทิงยวี่ถอนหายใจ นางโน้มตัวมาข้างหน้าและใช้แขนของนางโอบกอดร่างของเจียงอี้ไว้
“เจ้า…”
ร่างของเจียงอี้แข็งค้างโดยสัญชาตญาณเมื่อได้กลิ่นของอิสตรีใกล้ขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะเอี้ยวตัวหลบแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำกระซิบของจีทิงยวี่
“อย่าขยับ มีคนคอยสอดแนมพวกเราอยู่”
จีทิงยวี่ไม่ได้โอบกอดเจียงอี้จริงๆ ปากเล็กๆของนางยื่นไปที่ใบหูของเขาและกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“เมื่อเจ้าเข้าไปในสุสานของราชันสวรรค์แล้ว สิ่งแรกที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือการหลบซ่อนตัว เจียงนี่หลิวได้นำคนของกองทัพทหารตะวันตกมาหลายร้อยคน หากเจ้าถูกพวกมันล้อมกรอบ คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาตัวรอดได้”
เมื่อจีทิงยวี่กล่าวจบนางก็ตบไปที่แผ่นหลังของเจียงอี้เบาๆก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“หากเจ้าตาย… ในวันนี้ของปีหน้า ข้าจะเผาเงินเผาทองไปให้เจ้าใช้ในปรโลก”
“ขอบคุณ!”
ในขณะที่จีทิงยวี่เดินจากไปแล้ว ทางด้านของเจียงอี้ก็ยังคงยืนตัวแข็งอยู่เนื่องจากถูกมนต์สะกดจากกลิ่นหอมของร่างกายของนางตรึงเอาไว้ ภายในใจของเขาเกิดความรู้สึกซับซ้อนเมื่อมองไปยังแผ่นหลังของนาง
แต่ทันใดนั้นเสียงแตรก็ดังขึ้นและดึงเขาออกจากภวังค์
เจียงอี้ส่ายหัวไปมาและสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป เขามองไปยังพื้นที่โล่งและเห็นว่าสำนักได้เรียกรวมตัวลูกศิษย์เพื่อเตรียมตัวสำหรับสุสานที่กำลังจะเปิดออก
“ลูกพี่! เจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่!” เฉียนว่านก้วนกล่าว
เจียงอี้ยิ้มและเอ่ยตอบ “ว่านก้วน ข้าจะไม่ยอมตายอย่างแน่นอนและข้าขอสัญญาว่าหากข้าประสบความสำเร็จในอนาคต ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องเจ้า ข้าจะทำให้ตระกูลของมันพังพินาศ!”
เจียงอี้หันมามองเฉียนว่านก้วนอีกครั้งก่อนที่จะเดินไปรวมตัวกับศิษย์ของสำนัก
เฉียนว่านก้วนยืนมองเจียงอี้เดินจากไป เมื่ออีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว เขาก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม “เจียงอี้ เหตุผลที่ตระกูลเฉียนของข้าสามารถเป็นหนึ่งในเจ็ดของตระกูลใหญ่ได้และไม่ถูกกวาดล้างแม้ว่าจะอยู่มานานนับหมื่นปี มันไม่ใช่เพราะความมั่งคั่งของพวกเราเท่านั้นแต่พวกเราได้ครอบครองศาสตร์ลับแห่งการตัดสิน”
“ศาสตร์ลับแห่งการตัดสินของตระกูลข้าอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงนัก แต่ข้าก็มั่นใจว่าข้าไม่ได้กำลังทำผิดพลาด”
“อีกอย่าง ศึกสุดท้ายของเจ้านั้น… จะต้องไม่ใช่ในสถานที่เล็กๆอย่างสุสานของราชันสวรรค์อย่างแน่นอน!”