บทที่ 111 คนเดียวโดยไม่มีใครช่วย
เมื่อรองเจ้าสำนักฉีและรองเจ้าสำนักทั้งสองกลับมา พวกเขาเห็นศพจำนวนนับไม่ถ้วน ใบหน้าของพวกเขาดูไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อพวกเขาสามคนกลับมาแล้ว พวกเขาก็สืบสวนสถานการณ์ทั้งหมดในขณะที่อาจารย์และผู้คุ้มกันต่างก็ยุ่งอยู่กับการพยายามปลอบใจเหล่าศิษย์และจัดการกับความยุ่งเหยิง กว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ประมาณเที่ยงคืนแล้ว
เหตุการณ์นี้ท่วมท้นเกินไป มีอาจารย์แปดคนและผู้คุ้มกันกว่าสิบคนเสียชีวิต มีศิษย์ร้อยกว่าคนที่บาดเจ็บและล้มตาย รองเจ้าสำนักฉีต่างหาข้อมูลและในไม่ช้านางก็รู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่คำอธิบายของนางไม่เป็นที่พอใจสำหรับเหล่าศิษย์
รองเจ้าสำนักฉีออกมาประกาศและบอกว่าเป็นการโจมตีจากกองโจรอีกครั้ง ทางสำนักจะให้การฝังศพที่เหมาะสมและชดเชยให้กับเหล่าศิษย์
มีโจรมากมายเดินไปมาเหมือนมดจริงๆหรือ? พวกกองโจรมีสิ่งผิดปกติในหัวของพวกเขา? ทำไมพวกเขาถึงกล้าที่จะโจมตีอาจารย์และศิษย์ของสำนักจิตอสูร? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถูกนำกลุ่มโดยผู้เชี่ยวชาญสามคนของขอบเขตเสินโหยว นอกจากนี้ ... ปกติโจรมักปล้นเพื่อความมั่งคั่ง แต่คราวนี้พวกเขาปล้นอะไรบ้าง? พวกเขารนหาที่ตาย?
สิ่งสำคัญที่สุดคือโจรกล้าที่จะใช้ตัวประกันเป็นจ่างซุนอู๋จี้? ทายาทของตระกูลอันดับหนึ่งของอาณาจักร....? โจรยังบังคับให้หน่วยคุ้มกันลับของตระกูลจ่างซุนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวฆ่าตัวตายด้วย? หากสิ่งนี้กระทำโดยกองโจรนี้แล้ว กองโจรนี้คงจะต้องโด่งดังไปทั่วทั้งทวีป
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับตระกูลจ่างซุน มันอาจเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองตระกูลใหญ่ มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ทางสำนักก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
พวกเขากลัวผลที่ตามมาอย่างร้ายแรงหากพวกเขาพยายามมีส่วนร่วมและทำให้จ่างซุนอู๋จี้ระเบิดด้วยความโกรธ หลังจากเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น จ่างซุนอู๋จี้ก็รู้สึกอับอายอย่างมากในวันนี้!
เจียงอี้ตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้และอ่อนแอหลังจากการใช้เจตจำนงแห่งการสังหาร เขาลืมตามาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสามใบหน้า
เฉียนว่านก้วนนั่งอยู่ข้างๆเจียงอี้ เมื่อเขาเห็นเจียงอี้ตื่นขึ้น เขาก็ยิ้มจนแทบจะไม่เห็นตาดำ “ลูกพี่ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เจียงอี้ส่ายหัว เขาหลับตาพักหนึ่งก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อถามว่า “อาจารย์ซูเป็นเช่นไรบ้าง?”
“นางสบายดี ตอนนี้นางอยู่กับรองเจ้าสำนักฉี”
เฉียนว่านก้วนอธิบายและยกนิ้วของเขาขึ้นทันใด “ลูกพี่ เวลานี้ เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ เจ้าเอาจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่อยู่หมัดมากมายได้เช่นไร? เจ้าทำอย่างไรกัน?”
จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตระกูลเฉียนมีสายลับมากภายในสำนัก เขาอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แต่เขาสามารถเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วนของเหตุการณ์ในคืนนั้น
“มันเป็นแค่โชคของข้าน่ะ”
เจียงอี้ไม่ต้องการอธิบายอะไรมากเกินไป เขาถามกลับว่า “อาจารย์ซูเป็นคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้หรือ?”
“เจ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เฉียนว่านก้วนสงสัย เจียงอี้ก็ส่ายหัว เขาจึงตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร? เจ้าต้องไปถามอาจารย์ซู แต่ปู่ของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เขาก็เอาชนะคนของจ่างซุนอู๋จี้เป็นสิบๆคน เขาบังคับแม้แต่หน่วยคุ้มกันลับของตระกูลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวให้ฆ่าตัวตายได้ ช่างน่ากลัวนัก”
“ท่านปู่...”
เจียงอี้รู้สึกอบอุ่นในใจของเขา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่เห็นเจียงหยุนไฮ่นอกเมืองจิตอสูร เป็นเพราะเจียงหยุนไฮ่คอยปกป้องเขาอยู่เงียบๆ!
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้และถามเฉียนว่านก้วนด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ “เสี่ยวนู๋ล่ะ? เมื่อไม่มีการคุ้มกันจากท่านปู่ ไม่ใช่ว่านางตกอยู่ในอันตรายหรอ?”
เฉียนว่านก้วนทำท่าทางด้วยมือ “ไม่ต้องกังวล ข้าอาจไม่มีข้อมูลใดๆ แต่การที่เจียงหยุนไฮ่จะทำสิ่งใด เขาจะต้องจัดการมันอย่างเหมาะสมใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่…”
เจียงอี้ลุกขึ้นนั่งด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขากังวลมากเกินไปมันอาจทำให้หลายสิ่งเลวร้ายลงได้ จิตใจของเขาวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาแยกแยะเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนจะถามเฉียนว่านก้วนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ใบหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย เจียงหยุนไฮ่รุกรานตระกูลจ่างซุนเพื่อตัวของเจียงอี้และเป็นไปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลจ่างซุนได้ตามล่าเจียงหยุนไฮ่ไปแล้ว
“ไม่ต้องกังวลไป ลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนตบไหล่ของเจียงอี้และกล่าวว่า “เจียงหยุนไฮ่ไม่ใช่คนที่จะถูกจับได้ง่ายๆ จากข้อมูลที่ได้รับจากตระกูลของข้า เขาเข้าสู่กองทัพทหารตะวันตกตั้งแต่เขายังเด็กและพึ่งพาการต่อสู้เพื่อไต่เต้าความสำเร็จขึ้นไป ในที่สุดก็ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากจอมพลคนก่อนและนำเขาเข้าไปอยู่ในตำหนักของจอมพลเพื่อเป็นหัวหน้าหน่วยลับ เจ้าคิดว่าตำแหน่งหัวหน้าหน่วยลับสำหรับจอมพล ทุกคนนั้นจะเหมาะสมหรอ? มันไม่ง่ายสำหรับตระกูลจ่างซุนที่จะฆ่าเขาและตระกูลของข้าก็ตามเขาไปด้วย”
เฉียนว่านก้วนถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อ “ลูกพี่ แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับปู่ของเจ้า ทำไมไม่กังวลเกี่ยวกับตัวเองก่อน ถ้าพวกเขากล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างดื้อด้านต่อไป มันจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะหาทางฆ่าเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าเข้าไปในสุสานราชันสวรรค์คราวนี้ ข้าเกรงว่า...”
เจียงอี้หัวเราะอย่างขมขื่น “ข้ายังมีทางอื่นอีกหรือ?”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงมองตากันและกัน ดวงตาทั้งสองมีความหดหู่ แต่จ้านหลินเอ๋อร์กะพริบตาด้วยความสับสนเนื่องจากนางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดกัน
เจียงอี้ไม่มีวิธีอื่น พวกเขาอยู่ไกลจากสำนักมากและเจียงหยุนไฮ่ก็ไม่สามารถช่วยเจียงอี้ได้เมื่อเขาถูกไล่ล่า ถ้าเจียงอี้กลับลำตอนนี้ เขามีโอกาสตายได้ถึงเก้าในสิบส่วน ถ้าเขาติดตามกลุ่มของสำนักไป เขายังคงมีโอกาสรอดชีวิต
“ไม่ต้องห่วง ชีวิตข้านั้นเหมือนแมลงสาบ ไม่มีใครสามารถพรากชีวิตข้าไปได้”
เจียงอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะที่ดวงตาของเขามองไปบนท้องฟ้าที่ห่างไกลในขณะที่เขาพึมพำ “มันจะดีกว่าหากพวกมันสามารถคว่ำข้าลงได้ในเวลานี้ ถ้าไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสความหมายที่แท้จริงของความสิ้นหวัง!”
...
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนรถม้าของสำนักยังคงเดินหน้าต่อไป แต่พวกเขาก็ระมัดระวังมากขึ้นในเวลานี้ รองเจ้าสำนักฉีจัดให้มียามลาดตระเวนในรัศมีสิบกิโลเพื่อความปลอดภัย หากมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้น นางคงละอายใจที่จะพบหน้าเจ้าสำนักจูเก๋อ
จ่างซุนอู๋จี้กับเจียงนี่หลิวยังคงนิ่งเงียบและไม่ปรากฏตัวนอกรถม้าของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ่างซุนอู๋จี้ เขาโกรธแค้นมากจนเขาต้องการทรมานและสังหารผู้คนนับหมื่น แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเป็นคนขี้ขลาดและทำได้เพียงหลบภัยอยู่ภายในรถม้า
เจียงอี้ก็ยังคงเงียบเช่นกัน เขาพักฟื้นและบ่มเพาะพลัง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับเจียงหยุนไฮ่และเจียงเสี่ยวนู๋ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยยกเว้นบ่มเพาะพลัง
แต่ซูรั่วเสวี่ยก็ได้นำข่าวดีมาให้เขา เขาเข้าสู่เจตจำนงแห่งการสังหารอีกครั้งที่หุบเขา สิ่งนี้จุดประกายความหวังในตัวเขาและพิสูจน์ความคิดในใจของเขา แน่นอนว่าเขาสามารถเข้าสู่เจตจำนงแห่งการสังหารได้ในระหว่างการต่อสู้เท่านั้น การถูกกระตุ้นจากการต่อสู้เช่นนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถหาวิธีและทำความเข้าใจกับความสามารถลึกลับนี้ได้อย่างแท้จริง
เมื่อเขาควบคุมมันได้แล้ว พลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลังจากแผนของเจียงนี่หลิวและจ่างซุนอู๋จี้ล้มเหลว พวกเขาไม่กล้าทำการใดอีกต่อไป มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องกระตุ้นโทสะของรองเจ้าสำนักฉีแน่นอน การเดินทางเป็นไปอย่างสงบสุขและซึมเซา สิบกว่าวันต่อมา ในที่สุดกลุ่มของสำนักก็ได้เดินทางมาถึงหุบเขาหมื่นมังกร เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างลืมเรื่องราวที่น่าสลดใจในระหว่างการเดินทางและกลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง
เจียงอี้ได้รับข่าวร้ายมากถึงสองเรื่องเช่นกัน
ตระกูลเฉียนและตระกูลจ้านได้ส่งข้อความมาว่า ทั้งสองตระกูลถูกห้ามไม่ให้ช่วยเหลือเจียงอี้เมื่อเข้าไปในสุสานของราชันสวรรค์ จอมยุทธทั้งห้าของตระกูลเฉียนซึ่งอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ก็ถูกเรียกตัวกลับเช่นกัน
ตระกูลจ่างซุนเริ่มแสดงกำลังและกดขี่ตระกูลทั้งสอง แน่นอนว่าอาจมีสิ่งต่างๆตามมามากขึ้น ... เห็นได้ชัดว่าทั้งสองตระกูลไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องของครอบครัวระหว่างเจียงนี่หลิวและเจียงอี้ผู้เป็นพี่น้องกัน หากไปถึงหูเจียงเปี๋ยหลี เขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
แน่นอนว่าอาจเป็นกรณีที่ทั้งสองตระกูลไม่ได้มีความนับถือบุตรนอกสมรส เจียงอี้ พวกเขาไม่ต้องการที่จะบาดหมางกับเจียงนี่หลิว ซึ่งปัจจุบันเขามีโอกาสมากที่สุดในการได้ตำแหน่งจอมพลกองทัพทหารตะวันตก
เจียงอี้มีตัวคนเดียวและไม่มีความช่วยเหลือใดๆ เมื่อเขาเข้าไปในสุสานของราชันสวรรค์ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนจากทั้งสองตระกูลที่ต้องการชีวิตของเขา