บทที่ 110 แสงแห่งเสน่ห์เทวา
ภายใต้แสงสลัวในค่ำคืนอันมืดมิด เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสหงได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายชราผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำ
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเจียงอี้อยู่ในรถม้าคันนี้ เมื่อเขาเห็นชูรั่วเสวี่ยที่จับกระบี่และพร้อมเข้ามาขัดขวาง เขาก็คำราม “ไสหัวไป!”
สีหน้าของซูรั่วเสวี่ยไม่เปลี่ยนแปลงขณะมองกลับมายังร่างของผู้อาวุโสหงอย่างใจเย็นและกล่าว “ข้ามศพข้าไปก่อน!”
“เช่นนั้นก็ตาย!”
ประกายแสงสังหารแวบผ่านม่านตาของผู้อาวุโสหง ตระกูลจ่างซุนมีคำสั่งพิเศษไม่ให้เขาสังหารซูรั่วเสวี่ยเว้นแต่จำเป็นจริงๆ แต่เขาหาได้นำมันมาใส่ใจไม่ ชายชราเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลมและเข้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ฟึ่บ!
พริบตาเดียวผู้อาวุโสหงก็เข้ามาประชิดตัวซูรั่วเสวี่ยและอยู่ห่างจากนางเพียงแค่สามเมตรเท่านั้น แต่ในจังหวะนั้นเองดวงตาอันงดงามของนางก็ปลดปล่อยลำแสงปีศาจสีม่วงออกมาและยิงเข้าใส่ผู้อาวุโสหงในทันที
“หืม?”
ผู้อาวุโสหงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อเพียงแค่เบี่ยงร่างเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีเท่านั้น ลำแสงสีม่วงทะลวงผ่านไปยังหน้าผาด้านหลังแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น
"แสงแห่งเสน่ห์เทวา? เจ้าเป็นสมาชิกตระกูลซู?"
ผู้อาวุโสหงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเล
หลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยเปิดเผยศาสตร์ลับของนางออกมา ใบหน้าของนางก็ดูซีดเซียว ร่างกายอันบอบบางของนางโอนเอนเล็กน้อยขณะที่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
“นามของข้าคือซูรั่วเสวี่ยและเป็นคนของตระกูลซู หากเจ้าเห็นแก่หน้าของตระกูลข้า ก็จงถอยไปเสีย มิฉะนั้นหากรองเจ้าสำนักฉีกลับมา แม้แต่เจ้านายของเจ้าก็อาจจะต้องถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“เรื่องตลกอันใด! เจ้าคิดว่าที่นี่คืออาณาจักรต้าเซี่ยของเจ้างั้นรึ?!”
ผู้อาวุโสหงแสยะยิ้มด้วยความเย้ยหยัน พริบตาเดียวร่างของเขาก็แปลงเป็นเหยี่ยวและพุ่งโจมตีด้วยความเร็วสูง เขายิงแก่นแท้พลังที่ถูกควบแน่นไปยังไหล่ซ้ายของซูรั่วเสวี่ยพร้อมกับผลักนางกระเด็นออกไปก่อนที่จะได้ปลดปล่อยศาสตร์ลับออกมาอีกครั้ง
เจียงอี้ไม่รอดแน่…
ซูรั่วเสวี่ยหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวแข็งแกร่งเกินไป นางไม่ใช่คู่มือของเขาเลยแม้แต่น้อย
“จิ๊บ จิ๊บ!”
แต่ในขณะนั้นเองเสียงอันคุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของซูรั่วเสวี่ยอีกครั้ง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อเสียง ‘จิ๊บ’ ดังขึ้น ผู้อาวุโสหงที่จ้องจะเอาชีวิตเจียงอี้รีบถอยหนีและหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซูรั่วเสวี่ยอดทนต่อความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้ายและลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ดวงตาของนางเผยให้เห็นความสับสน อีกฝ่ายถึงกับลงทุนเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหวมาเพื่อสังหารเจียงอี้ แต่ทำไมเขาถึงยอมแพ้และถอยกลับในวินาทีสุดท้าย?
“หรือว่ารองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆจะกลับมาแล้ว?
ซูรั่วเสวี่ยหยิบเม็ดยาฟื้นฟูขึ้นมาและกลืนลงไป จากนั้นก็ใช้ผ้าพันไปที่ไหล่ซ้ายเพื่อห้ามเลือด แต่หลับจากที่เฝ้ารออยู่ชั่วครู่นางก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรองเจ้าสำนักฉีและคนที่เหลือ
เมื่อเวลาผ่านไป ความวุ่นวายในหุบเขาลึกก็ค่อยๆสงบลง อาจารย์บางคนเริ่มกลับมาแล้วเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ซูรั่วเสวี่ยรู้สึกคลายใจ แต่ภายในใจของนางก็ยังปรากฏคำถาม ทำไมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคนนั้นถึงได้รามือไปอย่างกะทันหัน… หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
….…
ความจริงแล้วที่ผู้อาวุโสหงต้องถอยกลับมาเพราะเขาไม่มีทางเลือก!
ในตอนนั้นเขาได้รับสัญญาณจากสมาชิกตระกูลจ่างซุน โดยกล่าวว่าจ่างซุนอู๋จี้กำลังตกอยู่ในอันตราย!
ในฐานะผู้คุ้มกันลับของจ่างซุนอู๋จี้ หน้าที่หลักของผู้อาวุโสหงคือการรับรองความปลอดภัยของนายน้อยผู้นี้ ในตอนนี้จ่างซุนอู๋จี้กำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วอย่างนี้เขาจะมัวให้ความสนใจกับชีวิตน้อยๆของเจียงอี้ได้อย่างไร?
หากจ่างซุนอู๋จี้เป็นอะไรไป ไม่เพียงแต่เขาจะต้องตายตามไปด้วยเท่านั้น แม้แต่ครอบครัวของเขาก็อาจจะถูกประหารทั้งหมด!
ฟิ้วววว!
ผู้อาวุโสหงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขาแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว เขาจินตนาการไม่ออกเลยวาไอ้โง่ที่ไหนถึงกล้าแตะต้องประมุขน้อยของตระกูลอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินหวู่? พวกมันไม่กลัวหรือว่าจะถูกกวาดล้างทั้งตระกูล?
ชายชรารีบวิ่งผ่านหุบเขาด้วยความเร็วแต่ไม่นานนักโทสะของเขาก็ปะทุขึ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างอันไร้วิญญาณนับสิบของผู้คุ้มกันของจ่างซุนอู๋จี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือศีรษะของพวกเขาถูกแยกออกจนมีสภาพเละเทะแทบดูไม่ได้
ห่างออกไปไม่ไกล มีกลุ่มคนซึ่งรวมไปถึงผู้คุ้มกัน,อาจารย์และเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนกำลังมุงดูด้วยความหวาดผวา แม้แต่เจียงนี่หลิวเองก็อยู่ในนั้นด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าเข้าใกล้รถม้าของจ่างซุนอู๋จี้เนื่องจาก… ศีรษะของเขาได้ถูกนำออกมาวางไว้นอกหน้าต่างพร้อมกับมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งซึ่งถูกพาดไว้ที่คอของเขา!
“ผู้อาวุโสหง!”
สมาชิกของตระกูลจ่างซุนรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและรายงานด้วยโทนเสียงต่ำพร้อมกับใบหน้าอันเคร่งเครียด “องค์ชายกล่าวว่าผู้ที่ลงมือทำร้ายประมุขน้อยเป็นข้ารับใช้ของเจียงอี้ นามของเขาคือเจียงหยุนไฮ่และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว! พวกเราจะทำยังไงกันดีขอรับ?!”
“ไอ้พวกโง่!”
ผู้อาวุโสหงสบถด้วยความโกรธแค้น หากเขารู้ว่าก่อนว่าเจียงอี้มีข้ารับใช้เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว เขาก็คงจะไม่พยายามสังหารเจียงอี้เช่นนี้ นี่มันไม่เท่ากับว่าเขาเอาชีวิตมาเสี่ยงหรอกหรือ?
โชคดีที่ผู้อาวุโสหงยังไม่ได้ลงมือสังหารเจียงอี้ มิฉะนั้นศีรษะของจ่างซุนอู๋จี้คงจะไม่ได้พาดอยู่ที่หน้าต่างแต่คงตกอยู่บนพื้นแทน
“ไอ้สุนัขเฒ่า! หากเจ้ากล้าก็ฆ่าข้าซะสิ!”
ในฐานะที่เป็นถึงจอมยุทธรุ่นเยาว์ระดับหัวกะทิของอาณาจักรเสินหวู่ จ่างซุนอู๋จี้ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ในตอนนี้เขากลับตกอยู่ในสภาพอันน่าสมเพชท่ามกลางสาธารณชน… โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์หญิงหยุนเฟยกำลังยืนมองอยู่จากไกลๆ!
ดวงตาอันชั่วร้ายของจ่างซุนอู๋จี้อัดแน่นไปด้วยเพลิงแค้น ภายในใจของเขากำลังสาปแช่งเจียงหยุนไฮ่ เขาถึงกับสาบานกับตัวเองว่าหากเขารอดไปได้ เขาจะทำให้ชายชราผู้นี้ต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน แต่โชคดีที่เขาไม่โง่พอที่จะกล่าวคำเหล่านี้ออกมาตรงๆ
เจียงหยุนไฮ่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา มีเพียงแค่มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจางๆ เมื่อเขาได้ยินที่จ่างซุนอู๋จี้กล่าว มือข้างหนึ่งที่ถือไว้เท้าก็ฟาดใส่ขาของชายหนุ่มด้วยความเร็วและทำให้เกิดเสียงกระตูกที่แตกหักดังออกมา
ใบหน้าของจ่างซุนอู๋จี้บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็กลัวที่จะเสียหน้าจึงไม่แม้แต่จะปริปากร้องออกมา
“หุบปาก!”
เจียงหยุนไฮ่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่ผู้อาวุโสหงและกล่าว
“นายน้อยจ่างซุน ข้ามีนามว่าเจียงหยุนไฮ่ ข้าอยู่ตัวคนเดียว ใต้เท้าน้อยคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ถามความเห็นของข้าก่อนที่จะลงมือกับเขา?”
“ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้น หากแม้ว่าสวรรค์ต้องการที่จะทำร้ายเขา ข้าก็จะแลกชีวิตเพื่อที่จะสู้กับมัน!”
“ปล่อยท่านประมุขน้อยซะ! แล้วเราค่อยมาตกลงกันอย่างสันติดีหรือไม่?”
ผู้อาวุโสหงเดินเข้ามาขณะที่พยายามเก็บซ่อนจิตสังหารที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ เขากลัวว่าเจียงหยุนไฮ่จะเข้าใจผิดและลงมือสังหารจ่างซุนอู๋จี้ แต่เมื่อเห็นว่าชายชราไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก็ลดเสียงลงและกล่าว
“รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆกำลังมาที่นี่ในไม่ช้า หากเจ้าไม่รีบไปเสียตอนนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงหยุนไฮ่ระเบิดเสียงหัวเราะขณะที่พูดสวนกลับไป “แล้วหากว่าข้าไม่ไปล่ะ? จริงๆมันก็ไม่เลวนักหรอกที่จะถูกฝังไปพร้อมกับประมุขน้อยตระกูลจ่างซุน เจ้าว่าจริงไหม?”
“เจ้า!!”
ผู้อาวุโสหงแทบจะระเบิดโทสะออกมา แต่เขาก็พยายามตั้งสติและเก็บซ่อนจิตสังหารลงไปอีกครั้ง “เจียงอี้ยังปลอดภัยดี คนของทางฝั่งข้าเองก็ตกตายไปมากมาย เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”
“เหอะ!”
ดูเหมือนว่าเจียงหยุนไฮ่จะรู้อยู่แล้วว่าเจียงอี้ยังไม่ตาย เพราะเขาไม่แม้แต่จะถามถึงเจียงอี้ตั้งแต่แรก คิ้วยาวทั้งสองข้างของเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าว
“ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ข้าแค่ต้องการจะบอกพวกเจ้าทุกคนว่า – ตั้งแต่ที่พวกเจ้ากล้าแตะต้องใต้เท้าน้อยของข้า พวกเจ้าก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่สมน้ำสมเนื้อ นั่นก็คือชีวิตของเจ้าไม่ก็ชีวิตของนายน้อยตระกูลจ่างซุนผู้นี้! จงเลือกมา!”
“ไอ้สุนัขเฒ่า! เจ้ากล้ารึ?!”
ม่านตาของจ่างซุนอู๋จี้ถึงกับกระตุก เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่จะได้อ้าปาก ขาอีกข้างของเขาก็ถูกเจียงหยุนไฮ่ทำลายเสียแล้ว
“ประมุขน้อย โปรดดูแลครอบครัวของข้าด้วย!”
ผู้อาวุโสหงแสดงสีหน้าอันน่าสังเวชออกมา เขารู้ดีว่าเจียงหยุนไฮ่หมายถึงอะไร หากว่าเขาไม่ตายในวันนี้ เจียงหยุนไฮ่จะต้องไม่ยอมปล่อยจ่างซุนอู๋จี้ไปอย่างแน่นอน
ชายชราผู้นี้ต้องการใช้ความตายของเขาเพื่อส่งข้อความถึงผู้ที่ต้องการจะคุกคามชีวิตของเจียงอี้ หากใครกล้าแตะต้องใต้เท้าน้อยของเขา คนผู้นั้นก็ต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับการแก้แค้นอันแสนบ้าคลั่งไว้ได้เลย
ปังง!
ผู้อาวุโสหงเปรียบเสมือนคนที่ตายไปแล้วตั้งแต่แรก แม้ว่าจ่างซุนอู๋จี้จะรอดไปได้แต่เขาก็ต้องรับโทษถึงขั้นประหารอยู่ดี ผู้อาวุโสหงโคจรแก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือและกระแทกใส่ศีรษะของตัวเอง พลังงานระเบิดออกมาพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของเขาที่ล้มลงบนพื้น
“กรี๊ดดด–!”
ในขณะที่เกิดความโกลาหลขึ้น มีศิษย์สตรีจำนวนมากที่กรีดร้องออกมา ทางด้านขององค์หญิงหยุนเฟยยังคงมีสีหน้าเฉยชาเช่นเดิม คงมีเพียงสีหน้าของเจียงนี่หลิวที่มืดมนลง แต่หลังจากนั้นไม่นานการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เจียงหยุนไฮ่ทะยานออกมาจากรถม้าและพุ่งเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ด้านข้าง ในเวลาเดียวกันเขาก็ส่งข้อความผ่านกระแสจิตไปยังเจียงนี่หลิว
“เจียงนี่หลิว ห้าสิบปีที่แล้ว ข้าได้ติดตามปู่ของเจ้า ข้าสังหารผู้คนไปมากกว่าจำนวนของลูกศิษย์ในสำนักของเจ้าเสียอีก หากว่าเจ้ายังกล้าแตะต้องใต้เท้าน้อยของข้าอีกครั้งล่ะก็ แม้แต่เจียงเปี๋ยหลีก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป…”