ตอนที่แล้วบทที่ 103 ดอกไม้งามกับขี้วัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 105 หนูทะลวงภูผา

บทที่ 104 เจ้าต้องเอาตัวรอดให้ได้นะ


“เพร้ง!”

อีกด้านหนึ่ง เจียงนี่หลิวนั่งอยู่ในรถม้าขณะที่ฟังรายงานจากคนในตระกูล สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดและปาแก้วลงบนพื้นด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่นก่อนที่จะกล่าว

“ซูรั่วเสวี่ย! นังแพศยา! เจ้าถึงกับเห็นไอ้สวะเจียงอี้ดีกว่าข้า?!”

“บัดซบ! บัดซบที่สุด!”

“นี่หลิว!!”

เสียงอันลึกล้ำดังขึ้นขัดจังหวะการระบายอารมณ์ของเจียงนี่หลิว ร่างเงาสีดำดึงม่านลงและเข้ามาด้านใน เขาจ้องเขม็งมาที่เจียงนี่หลิวและกล่าวด้วยโทนเสียงต่ำ

“มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวสามคนอยู่ในบริเวณนี้ เจ้าช่วยระมัดระวังให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือยังไง?! หากรองเจ้าสำนักฉีได้ยินในสิ่งที่เจ้าพูด เจ้าคงรู้นะว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงแค่ไหน?”

เจียงนี่หลิวหยุดชะงักและกล้ำกลืนความแค้นลงไป หลังจากที่ปรับอารมณ์แล้วเขาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อู๋จี้ เรื่องที่ให้เจ้าไปจัดการไปถึงไหนแล้ว?”

จ่างซุนอู๋จี้แสยะยิ้มออกมาและกล่าว “ในเมื่อข้าเป็นคนลงมือเอง เจ้าจำเป็นต้องกังวลด้วยรึ? ไม่ต้องห่วง เตรียมตัวรับชมการแสดงในอีกสามวันได้เลย”

เจียงนี่หลิวพยักหน้า เขารู้จักจ่างซุนอู๋จี้มานานและรู้ว่าอีกฝ่ายลงมือด้วยความรอบคอบเสมอ หากนายน้อยแห่งตระกูลจ่างซุนผู้นี้ลงมือเอง มันคงจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่จู่ๆเจียงนี่หลิวก็เกิดความลังเลและอดไม่ได้ที่จะเอ่ย

“ในครั้งนี้ มีรองเจ้าสำนักมาด้วยถึงสามคน นอกจากนี้ยังมีจ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและซูรั่วเสวี่ยที่ยังคอยตามติดไอ้ตัวบัดซบเจียงอี้… เจ้าห้ามปล่อยให้สิ่งต่างๆอยู่เหนือการควบคุมเด็ดขาด!”

“ฮ่าฮ่า!”

จ่างซุนอู๋จี้หัวเราะออกมาราวกับว่ามันไม่ใช่ปัญหา “ตระกูลจ้านส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมาเป็นผู้คุ้มกัน แม้แต่ตระกูลเฉียนก็ยังส่งผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกันติดตามมาอย่างลับๆ”

“หากเกิดความวุ่นวายขึ้น พวกเขาคงไม่สนใจสิ่งอื่นยกเว้นเพียงแค่ประมุขน้อยของตระกูลพวกเขาเท่านั้น ส่วนซูรั่วเสวี่ย… หากเจ้าไม่ได้นางมาครองก็จงทำลายนางซะ!”

“ทำลาย?”

เจียงนี่หลิวส่ายหัวไปมาและกล่าว “มันช่างน่าเสียดายที่ต้องทำลายหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ เก็บนางไว้ก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าข้าจะได้สนุกกับนาง หึหึ”

“ก็ดี!”

จ่างซุนอู๋จี้พยักหน้า จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ทางด้านของกองทัพทหารตะวันตกเป็นยังไงบ้าง? หน่วยทหารเหล็กโลหิตอีกสามร้อยนายอยู่ไหน? ตราบเท่าที่พวกเรามีหน่วยทหารเหล็กโลหิตหกร้อยนาย ข้าก็รับประกันได้เลยว่าเจียงอี้จะต้องตายอยู่ในสุสานแห่งราชันสวรรค์แม้ว่าแผนนี้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม”

“ไม่มีปัญหา!”

มุมปากของเจียงนี่หลิวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายขณะกล่าว “เจียงหวยเชื่อฟังคำสั่งของข้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เจียงหวยย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งข้าแน่”

จ่างซุนอู๋จี้พยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก จากนั้นเขาก็เดินออกไป ทางด้านของเจียงนี่หลิว ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงจิตสังหารอันเย็นยะเยือกขณะกล่าว

“เจียงอี้ หากเจ้าไม่ตาย ข้าคงไม่มีทางที่จะหลับสนิทได้… หากจะโทษก็โทษที่เจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าเสียเถอะ!”

….…

สองวันต่อมา ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ตลอดทางยังคงสงบเรียบร้อย มีเพียงเจียงนี่หลิวเท่านั้นที่ยังคงตกอยู่ในความโกรธแค้น ในทุกๆมื้ออาหาร ซูรั่วเสวี่ยจะเข้าไปในรถม้าของเจียงอี้และจะอยู่ในนั้นไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง

เจียงนี่หลิวเคยส่งคำเชิญไปให้นางหลายต่อหลายครั้ง แต่นางก็ปฏิเสธทุกครั้งไป ความจริงในข้อนี้ทำให้เจียงนี่หลิวโกรธแค้นมาก เขาแทบจะทนไม่ไหวจนเกือบจะลุกไปสังหารเจียงอี้อยู่บ่อยครั้ง

อีกด้านหนึ่ง ยกเว้นเพียงแค่เวลากินกับนอน เจียงอี้จะใช้เวลาที่เหลือในการบ่มเพาะพลัง ความขยันหมั่นเพียรของเขาทำให้แม้แต่จ้านอู๋ซวงยังรู้สึกละอายใจ

ในช่วงเย็นของวันที่สาม เมื่อถึงเวลาอาหาร เจียงอี้ก็หยุดฝึกฝน เขาใช้สายตากวาดไปรอบๆแต่ก็มองไม่เห็นเฉียนว่านก้วน แม้แต่สำรับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะในคราวนี้ก็ไม่ได้เลิศหรูเหมือนอย่างเคย ดังนั้นเขาจึงหันไปถามจ้านอู๋ซวงด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น?”

“หันไปดูด้านนอกสิ” จ้านอู๋ซวงกล่าวอย่างเฉยเมยขณะที่ถือแก้วไวน์เอาไว้ในมือ

เจียงอี้เปิดม่านและมองไปด้านนอกจากนั้นเขาก็เห็นแสงสว่าง เมื่อเงยขึ้นไปมองก็เห็นว่าทั้งสองด้านเป็นหน้าผาที่สูงชัน ปัจจุบันคนทั้งขบวนได้เดินทางมาถึงหุบเขาที่มีความแคบซึ่งกว้างเพียงแค่รถม้าห้าคันและมีความยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

“ที่นี่คือหุบเขาทลายวิญญาณและยังเป็นสถานที่ๆมีชื่อเสียงของทวีปเทียนชิง ย้อนกลับไปในตอนที่อาณาจักรต้าเซี่ยบุกโจมตีอาณาจักรเสินหวู่ของพวกเรา ท่านจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกได้ใช้เส้นทางนี้เพื่อซุ่มโจมตีพวกมัน”

“ทหารของทัพศัตรูกว่าห้าแสนนายถูกสังหาร ดวงวิญญาณของคนนับแสนถูกกลบฝังอยู่ที่นี่และมันยังเป็นเหตุผลว่าทำไมที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าหุบเขาทลายวิญญาณ”

“พวกเราจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงถึงจะผ่านหุบเขาทลายวิญญาณนี้ออกไปได้ จากนั้นพวกเราถึงจะหาที่ตั้งค่ายที่เหมาะสมได้”

“จ้านอู๋ซวง ท่านจะพูดเรื่องนี้ออกมาทำไม? ท่านจะทำให้พวกเรากลัวใช่หรือไม่?” จ้านหลินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจและยกกำปั้นทุบไปที่ไหล่ของเขา

“โอ้”

เจียงอี้คอยสังเกตพฤติกรรมของจ้านหลินเอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว เขาสามารถบอกได้ว่านางแสดงท่าทางไม่พอใจต่อจ้านอู๋ซวงอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีความสนิทสนมกันแบบพี่น้องปกติ

ในทางตรงกันข้าม จ้านอู๋ซวงจะคอยปฏิบัติกับนางด้วยความรักและปกป้องน้องสาวผู้นี้อยู่เสมอ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นปัญหาในครอบครัวของพวกเขา หากจ้านอู๋ซวงไม่กล่าวขึ้นมาก่อน เจียงอี้ก็ไม่คิดจะเอ่ยถามเช่นกัน

แต่จู่ๆคิ้วของเจียงอี้ก็ขมวดเข้าหากันราวกับว่าสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ในรถม้าและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่ตลอดเวลา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าถูกความมืดเข้าปกคลุมอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้คนทั้งขบวนได้ออกจากหุบเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงขู่คำรามของเหล่าสัตว์อสูร อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและแรงกดดันที่ปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา

“ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก พวกมันก็แค่สัตว์อสูรสามตัวเท่านั้น ผู้คุ้มกันและเหล่าอาจารย์จงปกป้องเหล่าลูกศิษย์ไว้… รองเจ้าสำนักหลิ่วตามข้ามา!”

เสียงสั่งการของรองเจ้าสำนักฉีทำให้เหล่าศิษย์สงบลงเล็กน้อย รองเจ้าสำนักฉีและรองเจ้าสำนักอีกสองท่านต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่ทรงพลัง หากว่าสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งเกินไป เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา

เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงสบตากัน ในตอนนั้นเองร่างที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันของเฉียนว่านก้วนก็พุ่งเข้ามา

“ลูกพี่ เกิดเรื่องแล้ว! สัตว์อสูรระดับสามจำนวนหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้ ปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลออกไป เห็นได้ชัดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ!”

“ในตอนแรกข้าคิดว่ามีรองเจ้าสำนักฉีและรองเจ้าสำนักคนอื่นๆอยู่ มันคงจะไม่เป็นอะไร แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดเสียแล้ว นอกจากนี้ข้าได้ให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดทั้งห้าคนไปรอพวกเราที่สุสานแห่งราชันสวรรค์ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงไม่มีคนที่สามารถปกป้องเจ้าได้…”

เจียงอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยถาม “พวกเจ้าก็ไม่มีคนคอยปกป้องเช่นกันรึ?”

จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนมองหน้ากันและหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น “มีน่ะมันมี แต่พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันลับของตระกูลและจะช่วยเหลือข้ายามฉุกเฉินเท่านั้น อีกทั้งข้ายังไม่สามารถออกคำสั่งอะไรพวกเขาได้ ข้าคิดว่าทางพี่จ้านเองก็คงจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับข้า”

จ้านอู๋ซวงพยักหน้า “ใช่แล้ว ผู้คุ้มกันลับของตระกูลจะรับประกันเพียงแค่ความปลอดภัยของพวกเราเท่านั้น ดังนั้นแล้ว…”

“เอาล่ะ ตราบเท่าที่พวกเจ้าปลอดภัยเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว ไม่ต้องห่วงข้า พวกมันฆ่าข้าไม่ได้หรอก”

เจียงอี้ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ จากนั้นเขาก็เผาผลาญแก่นแท้พลังในร่างและทะยานออกมาจากรถม้า ก่อนที่เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงจะตอบสนองได้ทัน เจียงอี้ก็หายตัวไปในความมืดแล้ว

“ลูกพี่…”

สีหน้าของเฉียนว่านก้วนเผยให้เห็นถึงความกังวล ไม่นานนักเขาก็กระโดดออกจากรถม้าและพยายามที่จะวิ่งไล่ตามเจียงอี้ แต่ทันใดนั้นเองเงาร่างที่ดูคล้ายกับภูตผีก็ปรากฏตัวขึ้นและคว้าไปที่ไหล่ของเจ้าอ้วนพร้อมกับเอ่ย

“ประมุขน้อย ดูเหมือนว่าพวกที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้จะเป็นพวกยมทูต ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าคงต้องพาท่านออกไปก่อน”

ฟึ่บ!

อีกด้านหนึ่งชายชราชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามาอยู่ที่ด้านหน้าของจ้านอู๋ซวงและป้องมือคารวะ “นายน้อย คุณหนู โปรดติดตามข้ามาและถอยเป็นการชั่วคราวก่อนเถิด”

เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงถอนหายใจออกมา พวกเขาเดาว่าสถานการณ์คงจะร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคิดไว้มิฉะนั้นผู้คุ้มกันลับของพวกเขาคงจะไม่ปรากฏตัวออกมาเร็วเช่นนี้

“ลูกพี่ เจ้าต้องเอาตัวรอดให้ได้นะ!”

เฉียนว่านก้วนกำหมัดแน่น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล่าถอยไปพร้อมกับผู้คุ้มกันลับของตระกูล

ในค่ำคืนอันมืดมน กลิ่นอายสังหารปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา เสียงร้องของม้าศึกดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด