ตอนที่ 10: ชื่อครอบครัวดี ชื่อต้นยิ่งใหญ่ [อ่านฟรี]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 10: ชื่อครอบครัวดี ชื่อต้นยิ่งใหญ่
ขณะยวินหยางไม่ได้ผ่านราตรีอย่างสงบสุข จิตวิญญาณอีกดวงในอีกสถานที่ถูกรบกวนไม่ต่างกัน ในที่พักของจอมพลเฒ่า คิ้วของชิวเจี้ยนหันขมวดแน่นเข้าหากัน
“ใครกันที่พรากวิญญาณอู๋เหวินเยียน ใครกันที่ส่งร่างไร้ชีวิตกลับมา?”
“ใครกันที่ช่วยแม่และภรรยาของอู๋เหวินเยียน?”
จอมพลเฒ่าพยายามอย่างยากลำบากเพื่อนึกชื่อเกี่ยวกับสองคำถามนี้ ถ้ามีใครตั้งใจพรากชีวิตอู๋เหวินเยียน ทำไมต้องช่วยแม่และภรรยาด้วย? ถ้าบุคคลลึกลับผู้นี้สามารถทำได้ ทำไมถึงไม่ช่วยลูกของอู๋เหวินเยียนด้วยเล่า? มันช่างน่าสับสนนัก
สิ่งที่ทำให้จอมพลเฒ่าเป็นทุกข์ยิ่งกว่าคือบุคคลผู้นี้ไม่เพียงแค่สามารถย้ายคนคนหนึ่งออกจากศูนย์รักษาความปลอดภัยเท่านั้น เขาหรือนางยังสามารถเอาร่างมาคืนแล้วนำนักโทษอีกสองคนออกไปอย่างง่ายดายได้อีกด้วย มันคือคุกนะ! คนที่สามารถทำให้หายไปในสถานที่รักษาความปลอดภัยสูงสุดของเมืองหลวงได้ย่อมต้องอยู่เหนือกว่าเขา
ข้างจอมพลมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ สวมชุดในลัทธิขงจื๊อ เขามีสีหน้าสงบ ราวกับปัญหาของโลกเป็นเพียงหมู่เมฆ เคลื่อนคล้อยผ่านไป
“จอมพล ข้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด ยังไงเสีย กล่าวได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายสมควรได้รับชะตากรรมแบบนั้นแล้ว” ชายคนนั้นยิ้ม “ที่จริง มีอีกเรื่องที่อาจจะทำให้ท่านสนใจ”
“หืม?” ชิวเจี้ยนหันขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ฆ่าอู๋เหวินเยียน เอาร่างมาคืน ช่วยภรรยาและแม่สูงวัย…” ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าตัวบุคคลหรือองค์กรที่จัดการเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับอู๋เหวินเยียน ในฐานะผู้สมคบคิด พวกเขาจะไม่ฆ่าเขาแน่”
ชิวเจี้ยนหันอืมอย่างเห็นด้วย
“ข้าเดาว่าพวกเขาฆ่าอู๋เหวินเยียนแต่ช่วยภรรยากับแม่เอาไว้เพราะเป็นเงื่อนไขของการเดิมพัน” ปราชญ์ยิ้ม “แบบนั้นดูมีเหตุผลมากกว่า…”
“พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่ออู๋เหวินเยียนด้วยการทิ้งลูกเอาไว้ เป็นการป้องกันไม่ให้สายเลือดมีชีวิตสืบต่อไปได้” ปราชญ์กล่าว “เพราะแบบนี้พวกเขาถึงทำบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ หลังจากนั้น ข้ามีแนวโน้มที่จะคิดว่าคนคนนี้อยู่ข้างพวกเรา ไม่มิตรก็อสูร ถึงแม้การกระทำของเขาจะข้ามหน้าข้ามตา ดูถูกกฎหมาย แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ชิวเจี้ยนหันพยักหน้าช้า ๆ “ถ้าอย่างนั้น อีกปัญหาที่เจ้าพูดถึงคืออะไร?”
“อีกปัญหา…” ปราชญ์วัยกลางคนพูดช้า ๆ “ถึงแม้อู๋เหวินเยียนจะถูกตัดสินตามหลังฐานที่เป็นรูปธรรม แต่เขาต้องได้รับการหนุนหลังจากศัตรูไร้เทียมทานแน่ ๆ ตัวตนอื่นของเขายังไม่ถูกเปิดเผยออกมาจนกระทั่งตอนนี้! จอมพลได้ลองไปดูบันทึกของประตูเมืองหลังจากเสร็จพิธีรำลึกวันนี้แล้วหรือยัง?”
คราวนี้ สีหน้ากังวลเล็กน้อยแทนที่สีหน้ายินดีของปราชญ์ “มีผู้ฝึกยุทธใต้ดินจำนวนมากกำลังเข้าสู่เมืองเทียนถังจากทุกทิศทาง ผ่านทั้งสี่ประตู พวกเขาเหล่านี้จำนวนมากเป็นยอดฝีมือ แต่ชื่อกลับไม่ถูกบันทึกเอาไว้ ข้าเชื่อว่าตัวตนของคนเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เข้ามาได้ ดังนั้นหลายคนเข้าเมืองเทียนถังพร้อมกับปกปิดตัวตน แถมยังเป็นช่วงเวลาที่อู๋เหวินเยียนเพิ่งถูกประหารชีวิตอีก? นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินกว่าจะเอามาเกี่ยวข้องกันได้ ข้าเกรงว่าองค์กรลึกลับนี้มาเพื่อแก้แค้น หรือบางที พวกเขามีจุดประสงค์ร้ายอื่นอยู่ในใจก็ได้”
ปราชญ์สรุปว่า “ข้าแค่อยากให้ท่านทราบเรื่องนี้เอาไว้”
ชิวเจี้ยนหันพยักหน้าหนักแน่น
“ก็แค่ ข้ายังคิดว่า…” ชิวเจี้ยนหันกล่าวต่อ “เหตุการณ์ในคุกยังดูแปลกประหลาดเล็กน้อยอยู่ดี”
“ข้ารู้สึกว่า…”
หลังจากลังเลสักพัก ปราชญ์กล่าวต่อว่า “เหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนประกาศิตถูกกำหนดขึ้นมาสั้น ๆ โดยเฉพาะในปีนั้น…”
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่มั่นใจขณะน้ำเสียงต่ำลง “มีความรู้สึกคุ้นเคยถึงคลื่นไม่หยุดนิ่ง เหตุการณ์มากมายที่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ ราวกับใครบางคนยื่นมือเข้ามายุ่งกับเหตุการณ์เหล่านี้…”
“ใครล่ะ?”
จอมพลเฒ่าชิวเจี้ยนหันลุกจากที่นั่ง ดวงตาทอประกายเจิดจ้า “เก้าใหญ่!”
…
ใกล้รุ่งสางแล้ว แต่ยวินหยางตื่นขึ้นมาซ้อมฟันดาบแล้ว เขาไม่เต็มใจใช้คมดาบสวรรค์เพื่อทำความคุ้นเคยด้วยร่างกระบี่ ดังนั้นเขาใช้กระบี่ฝึกกแทน
กระบี่ตอนนี้พรางตัวอย่างฉลาดเป็นดอกบัวสีม่วงอยู่บนแขนเสื้อของชุดคลุมของเขา สำหรับอาวุธวิเศษที่มีความสามารถเช่นนี้ ไม่เป็นการดีนักที่จะเผยไพ่ทั้งหมดเร็วเกินไปในการต่อสู้ หากสวมไว้บนสะโพก มันก็ดูเป็นการกระทำที่โง่เง่าไปหน่อย
“รูปแบบที่หนึ่ง กระบี่เลือดเย็น” ยวินหยางหมุนบอลที่เท้าและหัวเข่าควบคู่ไปกับการหมุนน่องไปถึงสะโพก ร่างกายหมุนครึ่งรอบขณะกระบี่ไม้ใช้ฝึกในมือฟาดในอากาศตั้งแต่บนจรดล่าง เขาเคยซ้อมแบบนี้มาหลายร้อยครั้งหรืออาจจะหลายพันครั้งซ้ำไปมา
จากไกล ๆ เหล่าเหมยมองดูด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่น
ท่านี้… ขณะมองด้วยความประทับใจยิ่ง แต่มันน่ากลัวเกินกว่าจะนำมาใช้ในการต่อสู้ชีวิตจริง ถึงอย่างนั้น นายน้อยของเขาทุ่มเททั้งหมดกับลานฝึก
“ฟิ่ว!” ยวินหยางหย่อนตัวกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อพลังงานสุดท้ายถูกใช้ไป ชุดโชกไปด้วยเหงื่อและฝุ่น
เขายังคงปิดปาก พยายามหายใจด้วยจมูกเพื่อให้ลมปราณวิญญาณจำนวนน้อยเข้าสู่ตันเถียนเพื่อไหลไปทั่วเส้นลมปราณผ่านการใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์ เขาแทบหายใจไม่ออก แต่ยังคงปฏิเสธที่จะไม่หายใจผ่านปากราวกับจะทำให้ความพยายามทั้งหมดในตอนเช้าสูญเปล่า ผ่านไปสักพัก ยวินหยางกลับมาหายใจคล่อง ใบหน้าซีดเผือดค่อย ๆ กลายเป็นสีกุหลาบอีกครั้ง
เหล่าเหมยเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเคารพ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถลงมืออย่างหุนหันได้ ในเมื่อนายน้อยเริ่มฝึกและฟื้นคืนลมหายใจ เขาต้องเอาชนะขีดจำกัดกายภาพของร่างมนุษย์หลายสิบครั้ง ความสำเร็จที่จะกลายเป็นแรงผลักดันต่อความก้าวหน้าในชีวิตของยวินหยาง ทำให้เขาเลือกการฝึกที่ยากที่สุดในช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าที่สุด!
“นายน้อยจะต้องกลายเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตแน่นอน ก็แค่…” เหล่าเหมยมีคำถามคาใจมานาน “นายน้อยระแวดระวังที่จะทำสิ่งเหล่านี้มาตลอด ไม่หุนหัน วางแผนก่อนลงมือเสมอ ยิ่งกว่านั้น เขามีปัญญายิ่งและหาทางหลีกเลี่ยงอันตรายได้เสมอ อะไรที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? อะไรที่ทำให้ถึงจุดที่ต้องเสียรากฐานการฝึกฝนทั้งหมดไป?”
“นายน้อย ท่านพาอะไรมากันแน่?”
ถึงแม้คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์มาสามปีเต็ม แต่เหล่าเหมยรู้สึกเหมือนกับไม่ได้เข้าใจในตัวนายน้อยเลย ยิ่งกว่านั้น มันน่าสับสนมากขึ้นที่หยกทั้งหมดที่นายน้อยเก็บไว้กับตัวหายไป ยวินหยางชอบหยกเยือกแข็งมาก มันสามารถก่อเกิดสัมผัสสงบนิ่งได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีติดตัวเลย
มันหายไปไหนกัน?
เสียงเคาะดังก้องมาจากประตู
“นายน้อยยวินอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” เสียงกระจ่างชัดดังขึ้น
ทั้งยวินหยางและเหล่าเหมยตกตะลึงไม่แพ้กัน แขกหรือ? นี่คือเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก ที่พักยวินปิดประตูไม่ให้แขกเข้ามา ไม่เคยติดต่อกับสังคมมาก่อน นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองเทียนถังรู้ดี เป็นเวลาอย่างต่ำสี่ถึงห้าปีมาแล้วตั้งแต่มีใครบางคนมาส่งเสียงเรียก และในตอนนี้ มีแขกมาอยู่ที่หน้าประตูอีกครั้ง!
“จี! จี!” เสียงร้องตื่นเต้นดังมาจากประตู
ลิงขนทองกระโดดเข้ามาถึงลานบ้านของยวินหยางก่อนโผเข้าหาอ้อมกอดของอีกฝ่ายที่ยังคงประหลาดใจ มันแสดงสีหน้ามีความสุขเหลือเชื่อในแบบของลิง
“…” สีหน้าของยวินหยางเผยความงุนงงชัดเจน
เขาทิ้งลิงตัวนี้ไปเมื่อวานไม่ใช่หรือ? ทำไมมันถึงมาเกาะแขนเขาในวันนี้ได้อีก? ลิงชอบข้าขนาดนี้เชียวหรือ?
ขณะมองสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่แขน มันคืบคลานไปทั่วอ้อมแขนก่อนกระโจนมาอยู่ที่ไหล่ จากนั้นเลื่อนลงมาที่ด้านหลัง จากนั้นคืบคลานไปทั่วพื้นที่ระหว่างขาแล้ววกกลับมาที่แขนใหม่
ยวินหยางกลอกตา
สายลมพัดโชยมาจากประตู นำมาซึ่งกลิ่นหอมผ่อนคลาย ที่นั่น หญิงสาวงดงามยืนอยู่ นางยิ้มให้ยวินหยาง ร่างกายสวยสดงดงาม ชุดสีดำเดิมที่นางสวมดูเหมือนกับตัดขึ้นมาเพื่อราชินี ราวกับนางมีบรรยากาศงามงดที่ไม่เหมือนคนธรรมดา
ทว่า ใบหน้า กลับดูธรรมดานัก
แน่นอน ยวินหยางไม่คิดว่านี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของหญิงสาว
“ขออภัยที่มาเยี่ยมกะทันหันแบบนี้ นายน้อยยวิน” เสียงไพเราะของหญิงสาวเสนาะหูยิ่งนัก
“ไม่เลย ข้าต่างหากที่ต้องยินดีที่เจ้ามาเยี่ยมบ้านสมถะของข้า” ยวินหยางยิ้มอ่อนโยน “เชิญเข้ามา”
“ขอบคุณ” หญิงสาวเข้ามา ดวงตาทอประกายเริงร่าเมื่อเห็นลิงไม่ออกห่างจากยวินหยางนับตั้งแต่เข้ามา
“ขออภัยในความไม่สุภาพเมื่อคืนนี้ ข้าลืมถามชื่อของเจ้า” ยวินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษ
หญิงสาวในชุดดำกลอกตาไปมาพลางครุ่นคิด “ถ้าข้าไม่มาวันนี้ เจ้าอาจจะไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ไปชั่วชีวิต การที่จู่ ๆ ข้ามาเยี่ยมเจ้านับเป็นข้ออ้างในการเปิดประเด็นได้ดีเช่นกัน!” นี่คือตัวอย่างเหมาะสมสำหรับชายผู้มีปัญญาแต่ถึงกับไม่สนใจว่าหญิงสาวจะคิดอะไร!
“ครอบครัวของข้าคือจี้ จี้จากจี้โหมว” หญิงสาวตอบกลับ
“ช่างเป็นชื่อครอบครัวที่วิเศษอะไรอย่างนี้!” ยวินหยางปรบมือ สีหน้าและน้ำเสียงแปลงมาจากบทละครที่เจือด้วยคำพูดประชดประชันขณะกล่าวชมเสียงดัง “แค่คำเดียวก็ทำให้ข้าคิดถึงผู้คนจากสมัยโบราณจนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จเพราะการประยุกต์ใช้กลยุทธ จี้ นี่คือรากฐานของสังคม จะไม่มีความสำเร็จหากไม่มี… จี้!”
“นายน้อยเยินยอเกินไปแล้ว” หญิงสาวในชุดดำเดินเข้ามาในที่สุดขณะกลอกตา ถ้าไม่ใช่เพราะลิงพันมายาและบางสิ่งที่เกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลัง นางย่อมออกไปทันที
เจ้ากำลังล้อเลียนด้วยการชมชื่นครอบครัวของข้า แถมยังจ้องมองอย่างไม่จริงใจอีก! อาจหาญเช่นนี้สมควรเอากำปั้นหนัก ๆ ยัดหน้าจริง!
ยวินหยางขยี้จมูก “ข้าขอถามชื่อเต็มด้วยได้หรือไม่?”
หญิงสาวแทบจะคร่ำครวญออกมา “ชื่อต้นน่ะหรือ หลิง”
“ช่างเป็นชื่อต้นที่ดีอะไรอย่างนี้!” ยวินหยางกล่าวชมเสียงดังอีกครั้ง “กลยุทธทั้งหมดมีประสิทธิภาพ! เจ้ามีชื่อที่ดีมากเลย! พอเอามาเรียงกันแล้ว จี้หลิง กลยุทธที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธที่ไม่มีประสิทธิภาพย่อมไม่ใช่กลยุทธ มีเพียงกลยุทธที่มีประสิทธิภาพถึงเรียกว่ากลยุทธ ชื่อดี ชื่อดีทีเดียว! เป็นตัวแทนที่อยู่เบื้องหลังทุกความสำเร็จ…”
“…”
จี้หลิงเพียงรู้สึกถึงความโกรธที่มองไม่เห็นในใจ มันมากพอจะทำให้นางล้มโต๊ะแล้วจากไปได้! ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่เหมาะสมกับการใช้ภาษาโง่ ๆ ของผู้หญิง นางย่อมสบถใส่ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีไปแล้ว! ใช่แล้ว นางรู้ว่าไม่ได้รับการต้อนรับ แต่เขาไม่ทำตัวหยาบคายไปหน่อยหรือ? ยังไงเสีย นางยังเป็นผู้หญิง อย่างน้อยเจ้าโง่นี่ไม่แสดงความเป็นอัศวินให้เห็นสักหน่อยหรือไง?
เหล่าเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างและฟังคำพูดยืดยาวได้แต่ถอนหายใจด้วยความฉุนเฉียว
“นายน้อย ไม่สงสัยเลยว่าท่านยังอยู่คนเดียวถึงแม้จะผ่านสิบเก้าคิมหันต์แล้วก็ตาม ทั้งที่รูปร่างหน้าตาดี แต่ขนาดสนทนากับหญิงสาวยังเป็นถึงขั้นนี้! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงมีแต่ปาฏิหาริย์ว่าท่านจะได้แต่งงานหรือไม่!”