ตอนที่แล้วตอนที่ 4: การเปลี่ยนแปลงภายในหนึ่งคืน [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6: ไม่มีความปรานีภายใต้ดาบของข้า [อ่านฟรี]

ตอนที่ 5: ความโหดร้ายของโลกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด? [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 5: ความโหดร้ายของโลกจะสิ้นสุดลงเมื่อใด?

 

เมืองเทียนถัง เมืองหลวงของจักรวรรดิยวี่ถัง ถ้าเมืองคือมงกุฎเพชรของประเทศ เช่นนั้นเมืองเทียนถัง จะเป็นหัวใจของทั้งทวีปเทียนเสวียน เมืองขับเคลื่อนด้วยผู้อาศัยราว 3 ล้านคน มีกำแพงที่แข็งแรงและสูงพอที่จะต้านทานแม้กระทั่งโจรปล้นสะดมหัวรุนแรงได้ การออกแบบแนวป้องกันและช่องธนูจำนวนมากคือความฝันของผู้ป้องกันและเป็นฝันร้ายของกลุ่มโจมตี

ตอนนี้ เสียงเพลงงานศพลอยมาตามสายลมท่ามความโศกเศร้าอันเงียบงัน ผู้อาศัยของทุกหัวมุมออกมา ต่อแถวยาวเพื่อมุ่งหน้าสู่ใจกลางของเมืองเทียนถัง ที่ที่จัตุรัสเทียนถังตั้งอยู่

จัตุรัสเป็นที่ยอมรับในฐานะจัตุรัสขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองภายในทวีปเทียนเสวียน มันถูกสร้างภายใต้การดูแลและการว่าจ้างของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิยวี่ถัง มันทำหน้าที่เป็นสนามฝึกของทหารอาสา แต่ในบางโอกาส มันถูกใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับสาธารณะชนคนทั่วไป

จักรพรรดิผู้ก่อตั้งเคยกล่าวว่า “นักรบทุกคนผู้ฝึกฝนในจัตุรัสนี้ ตอนนี้และในอนาคต จะเป็นแขกของสวรรค์ตลอดกาล แม้กระทั่งยามพวกเขาตายในสมรภูมิ จิตวิญญาณหาญกล้าของพวกเขาจะไม่มีวันถูกลืมเลือน จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์!” ดังนั้น ในช่วงแรก ๆ มันถูกเรียกว่า “จัตุรัสสวรรค์” หลายปีผ่านไป มันค่อย ๆ ถูกเรียกว่าจัตุรัสเทียนถัง ชื่อเดิมของเมือง “เมืองอู่อัน” ถูกแทนที่ช้า ๆ จนกลายเป็นเมืองเทียนถัง

คนจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่จัตุรัสเทียนถัง ทุกคนสวมใส่ดอกไม้สีขาวไม่ก็แถบแพรไหมสีดำมัดรอบแขน ในมือ พวกเขาถือดอกไม้สดไม่ก็เทียน ท่ามกลางสิ่งของเพื่อระลึกถึง ใบหน้าพวกเขาเผยความเคารพและการให้เกียรติยิ่งออกมา

วันนี้ไม่ใช่แค่วันแห่งความทรงจำเท่านั้น วันนี้ ทั่วแคว้นมาเพื่อรำลึกถึงการเสียสละที่จิตวิญญาณสูงศักดิ์เหล่านี้สร้างไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเก้าใหญ่ เก้าใหญ่คือกลุ่มวีรชนที่ไม่เหมือนใคร ชื่อเสียงเรียงนามยังเป็นปริศนา เพชรน้ำหนึ่งลึกลับเก้าเม็ด พวกเขาไร้นามและไม่มีหน้า ถึงอย่างนั้นทุกคนรู้ว่าพวกเขาคือผู้กุมความลับดีที่สุดของจักรวรรดิยวี่ถัง คือนักบุญผู้ค้ำชู เก้าใหญ่ข้องเกี่ยวกับสงครามใหญ่และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ ทุกครั้งที่พวกเขาปรากฏตัว การต่อสู้ที่ต้องสูญเสียจะกลับกลายเป็นมีชัยอย่างคาดไม่ถึง การปรากฏตัวของพวกเขาคือหลักประกันชัยชนะในสมรภูมิ!

วันที่เก้าของเดือนสามเมื่อปีที่แล้ว วันที่ผู้คนของจักรวรรดิยวี่ถังจะไม่มีวันลืม

นั่นคือวันที่พวกเขาเสียเก้าใหญ่

เก้าใหญ่นำนักรบ 800 คนปฏิบัติภารกิจลับก่อนจะถูกซุ่มโจมตีและถูกฆ่าที่ผาเทียนเสวียน ไม่มีผู้รอดชีวิตในบรรดาผู้หาญกล้า 809 คนที่เข้าร่วมภารกิจ

มันถูกเป็นความลับสูงสุด แต่ด้วยวิธีใดไม่ทราบ ข่าวถูกแพร่งพรายออกไป ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อหน้าตาของจักรวรรดิ จักรวรรดิยวี่ถังทุ่มทรัพยากรทั้งหมดเพื่อออกล่าคนร้ายมาหลายปีเพื่อแสดงให้เห็นความพยายามอันน้อยนิด

ในจัตุรัส นายพลและทหารผ่านศึกจำนวนมากมองตรงไปยังศูนย์กลางของจัตุรัสเทียนถังด้วยน้ำตาที่กำลังไหลออกจากดวงตา ที่นี่ อนุสรณ์สถานสูงเก้าแห่งตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิใจเคียงข้างกัน คล้ายกับตำนานตั้งตระหง่านที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อรำลึกความทรงจำ พี่น้องเหล่านี้เคยต่อสู้ร่วมกันยามที่มีชีวิต แม้จะตายไปแล้ว พวกเขาจะยังยืนหยัดเคียงข้างกัน เสียงสะอื้นดังมาจากฝูงชนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัส ที่ที่ทหารผ่านศึกรวมตัวกัน ด้วยการจ่ายแขนขาและช่วงชีวิตเพื่อให้มีชีวิตรอดมาได้ นักรบเฒ่าและพิการเหล่านี้ที่แทบจะเดินไม่ไหว ยืนขึ้นเพื่อมอบบรรณาการ แม้กระทั่งผู้ที่เสียขายังนั่งตัวตรง หันหน้าให้กับวีรชนและพระผู้ช่วยด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเกรงขาม ภาพของเก้าใหญ่พุ่งผ่านสมรภูมิปรากฏขึ้นตรงหน้า ความองอาจ หาญกล้าและกำลังใจก่อเกิดในคราวเดียว

มังกรพสุธาฟาดปฐพี ฝังเหล่าศัตรู ปฐพียิ่งใหญ่แสดงให้เห็นถึงพละกำลังของเขา

เปลวเพลิงพวยพุ่งสูงแรงกล้ายามเปลวเพลิงยิ่งใหญ่มาเยือน

คลื่นแรงกล้าปั่นป่วนทะเลยามสายน้ำยิ่งใหญ่ขยับ

สายลม เมฆ อสนีบาตและอสนีแยกท้องฟ้าสงบนิ่งยามสายลมยิ่งใหญ่ เมฆายิ่งใหญ่และอสนีบาตยิ่งใหญ่ปรากฏกาย

เก้าใหญ่!

นี่คือบทอธิษฐานที่จารึกไว้ในอนุสรณ์สถานของเก้าใหญ่ ผู้ที่มาจัตุรัสจะจ้องมองอยู่นาน ทั้งเศร้าโศกและทุกข์ระทมกับความยิ่งใหญ่ของคำพุดเหล่านี้

ปฐพีไร้พรมแดนคลุ้มคลั่งราวมังกร ปฐพียิ่งใหญ่

ทองถูกขัดเกลาในมือ วางกองอยู่ในถ้ำ ทองยิ่งใหญ่

คลื่นมหึมา ปั่นป่วนโกลาหลทั่วโลก สายน้ำยิ่งใหญ่

ไม้สูงตระหง่าน ยืนหยัดไม่มีวันถูกทำลาย ไม้ยิ่งใหญ่

เปลวเพลิงแห่งความไร้พ่ายพวยพุ่ง เปลวเพลิงยิ่งใหญ่

อสนีบาตคำราม คุกคามโลก อสนีบาตยิ่งใหญ่

โลหิตของวีรชน รอคอยความทุกข์ยาก โลหิตยิ่งใหญ่

สายลมบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ ความยุติธรรมจะก่อเกิด สายลมยิ่งใหญ่

หัวใจของเก้าใหญ่ หมู่เมฆที่สามารถกลืนกินสวรรค์ได้ เมฆายิ่งใหญ่!

ชื่อของเก้าใหญ่ถูกสลักบนอนุสรณ์สถาน หากสรุปรวบรัด ภาพของวีรชนสวมหน้ากากเก้าคนยืนสูงตระหง่านต่อหน้าศัตรูทรงพลังขณะกล่าวอย่างสงบว่า “บุกขึ้นไป!” คล้ายกับเข้าสู่ดวงตาของทุกคนอีกครั้ง ฝูงชนยืนอยู่ตรงหน้าอนุสรณ์สถาน มองมาที่บรรณาการ ศีรษะเงยขึ้นสูง มีฝูงชนกลุ่มใหญ่ผิดปกติที่รวมตัวอยู่หน้าอนุสรณ์สถาน ของเมฆายิ่งใหญ่และปฐพียิ่งใหญ่ ปฐพียิ่งใหญ่ ผู้นำของเก้าใหญ่ คือผู้อาวุโสที่สุด อีกด้าน เมฆายิ่งใหญ่ คือน้องเล็กที่สุดของเก้าใหญ่แต่ยังเป็นมันสมองและหัวใจของทีม

ตะวันขึ้นสูงช้า ๆ

เป็นเวลาเนิ่นนาน จักรพรรดิมาถึง รายล้อมด้วยขุนนาง ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เริ่มพิธี

ยวินหยางยืนอย่างเงียบงันอยู่มุมหนึ่ง เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์อีกคนท่ามกลางคนหมู่มาก

“นายน้อย ท่านต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น” ยวินหยางส่ายหน้า

“นี่… ตอนนี้ท่าน…”

“ไม่จำเป็น”

“ตามที่ท่านต้องการ นายน้อย” เสียงของเหล่าเหมยเต็มไปด้วยความผิดหวัง

ยวินหยางปฏิเสธที่จะให้เหล่าเหมยไปด้วย ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าจะทำตัวน่าอายเมื่อถูกอารมณ์ถาโถมเข้ามา แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นหนึ่งในเก้าใหญ่! จนกว่าจะแก้แค้นให้พี่น้องได้ เขาไม่สมควรประกาศให้ทั่วโลกรู้ อีกอย่าง ศัตรูล้วนทรงพลังเกินไป ประกอบกับนิสัยที่แท้จริงของเขาจะทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยง

เขายืนอย่างเงียบงัน มองอนุสรณ์สถานเก้าแห่งด้วยอาการปวดหัวและแววตาที่โหยหา

พี่น้องเอ๋ย ข้าอยู่นี่แล้ว

ข้ามาที่นี่เพื่อมาพบพวกเจ้า

ราวกับเขาล่องหนขณะยืนอย่างเงียบงันในความมืด

กลิ่นเทียนและธูปปกคลุมอากาศ จักรพรรดิอ่านคำปราศรัยงานศพด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังมาจากผู้คน

ยวินหยางยืนห่างออกไป ไม้ค้ำร่างกายให้ตัวตรง ดวงตามืดมิดราวราตรี ผู้คนเดินผ่านไป แต่ไม่มีใครคล้ายกับเข้าใจว่ามีใครบางคนที่มีชีวิตและกำลังหายใจยืนอยู่ในเงา เมฆาบดบังคือมนต์พิเศษของเมฆายิ่งใหญ่แห่งเก้าใหญ่ ทำให้เขาล่องหน จิตวิญญาณไร้ลักษณ์ เขายืนอย่างเงียบงันไม่ขยับไปไหน สายลมพัดผ่านชุดคลุมสีม่วงเข้มขณะอากาศอันโดดเดี่ยวกวาดผ่านเข้ามา

ยามพลบค่ำกำลังคืบคลานเข้ามา

พิธีอันยาวนานสิ้นสุดลง

ดอกไม้สดปกคลุมพื้น กลิ่นเทียนลอยละล่องไปถึงสวรรค์ โลหิตอุ่นย้อมพื้นที่ตรงหน้าอนุสรณ์สถานของเก้าใหญ่ สีแดงชานเป็นของอู๋เหวินเยียนและทหารของเขา

ฝูงชนไม่เผยร่องรอยความเห็นใจแม้แต่น้อย ไม่มีน้ำตาแห่งความสำนึกผิดต่อญาติพวกเขาแม้จะเป็นสักขีพยานต่อร่างที่ถูกปู้ยี่ปู้ยำหลังจากประหารชีวิตไปแล้วก็ตาม

จอมพลเฒ่าชิวเจี้ยนหันยังคงมองตรงไปที่เหตุการณ์ดังกล่าว

เมื่อวาน อู๋เหวินเยียนหายตัวไปอย่างลึกลับจจากคุก แต่จู่ ๆ ศพของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้งในช่วงเที่ยงคืน หลังจากนั้นก้ได้รับแจ้งว่าภรรยาและแม่ของอู๋เหวินเยียนหายตัวไป เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้จอมพลเฒ่าโกรธ การป้องกันของทหารไม่อาจทะลวงได้ คุกถูกคุ้มกันด้วยการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ผู้ลงมือสามารถก่อเหตุแบบนี้โดยที่ไม่ถูกพบตัวได้อย่างไร?

จอมพลจะกลายเป็นตัวตลกของโลก เขาเปลี่ยนผู้คุมสามชุดเพราะเหตุการณ์นี้ไปแล้ว บทลงโทษนี้ทำให้เสียผู้ช่วยไปหลายสิบคน แต่มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว

ท้ายที่สุด ฝูงชนที่จัตุรัสแยกย้าย พื้นที่ขนาดใหญ่ค่อย ๆ กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยวินหยางยืนนิ่งอยู่ในเงามืดไม่ขยับไปไหน สายตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง

ชีวิตนี้คือหนึ่งในการต่อสู้และความตายบนม้าศึก เขาอยากให้พี่น้องปลอดภัยชั่วชีวิตและมีความสุขในอาณาจักรหน้า

สายลมราตรีพัดผ่านเย็นเยือก ทั่วจัตุรัสเทียนถังปกคลุมด้วยความมืด ยวินหยางยังคงยืนอยู่ที่เดิมตลอด ดวงตาหลับลงก่อนสัมผัสกระจายออกไป เขาสามารถรู้สึกได้เลือนรางถึงเสียงก้องจากอดีต เขากำลังยืนอยู่ข้างพวกพ้องนับแสน ความรู้สึกของชุดเกราะเหล็กนับไม่ถ้วนเหมือนจริงเหลือเชื่อ เขาแทบจะได้ยินคำพูดขณะตัวเองและพี่น้องโต้คารมกันอย่างเกียจคร้าน สายลมพัดเส้นผมปลิวไปมาก่อนจะวกกลับมาพัดที่ใบหน้าได้รูป เขาคล้ายกับรูปปั้นละเอียดอ่อนในราตรี สงบนิ่งและปลอดภัย ถึงอย่างนั้นความโดดเดี่ยวและความเศร้าโศกก่อเกิดขึ้นพร้อมกัน

เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้น หญิงสาวในชุดขาวก้าวเข้ามาแผ่วเบาพร้อมใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดของนางคือลูกสาว ด้านข้าง ผู้อาวุโสกำพร้าคอยช่วยพยุง นางเดินโซเซราวคนเมา เห็นได้ชัดว่าหัวใจอันโศกเศร้าดูดกลืนพลังงานของนางไป ท่วงท่าการเดินราวกับคนที่ตายไปแล้ว

“หวังจวง พวกข้ากลับมาแล้ว”

หญิงสาวพึมพำ สายตาและสีหน้าไร้อารมณ์ชาด้าน นางผ่านยวินหยาง ใกล้พอที่จะสัมผัสตัวได้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงตัวตนของเขาแม้แต่น้อย อีกฝ่ายหลับตาแน่นและยังคงไม่ขยับ แต่หางตากระตุกขณะความเสียใจสุดแสนที่ซ่อนอยู่ข้างในปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ภรรยาของผู้ช่วยนายพลหวังจวง

ยวินหยางจำหวังจวงได้ ชายผู้แต่งงานมาได้เพียงสองปีก่อนจะถูกส่งตัวออกไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ลูกสาวของเขาเพิ่งอายุหนึ่งขวบ ทว่า เขาไม่เคยได้กลับมา นักรบผู้มอบชีวิตเพื่อประเทศจะไม่เสียใจ แล้วครอบครัวล่ะ?

ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ครอบครัวของหวังจวงเป็นอย่างไรบ้างหลังจากเสียเสาหลักค้ำจุนไป?

ทั้งสามเดินไปตามทาง ทิ้งระยะห่างจากยวินหยางช้า ๆ

เขาลอบถอนหายใจ

คิ้วขมวดอย่างรวดเร็วตามด้วยถอนหายใจ บางสิ่งไม่ถูกต้อง เขาลืมตาขึ้นก่อนเห็นเงาสี่ร่างปรากฏตัวจากด้านหลังทั้งสาม เงามืดปรากฏเป็นรูปร่างของชายกำยำสี่คน สายตาพวกเขาจ้องมองหญิงสาวที่กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างเหนื่อยล้า ขณะซ่อนตัวในความมืดอย่างระวัง พวกเขายังคงตามหญิงสาวอยู่ห่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าผ่านยวินหยางไป

จิตสังหารรุนแรงวูบไหวผ่านดวงตาของยวินหยาง

ราวกับสัมผัสอันตรายใกล้เข้ามาได้ ชายกลุ่มนั้นสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนกับมีผีตามติด

“ที่นี่น่าขนลุกนิดหน่อย…” หนึ่งในชายกลุ่มนั้นลูบร่างกายที่ขนลุกชูชันไปทั่วขณะพึมพำ

“เห็นด้วย พวกเรารีบกลับกันเถอะ มีจิตวิญญาณคนตายมากเกินไปอยู่ที่นี่ ข้ารู้สึกไม่สบาย…” ชายอีกคนพึมพำแผ่วเบา

สายตาของยวินหยางพลันเย็นเยือก

จิตวิญญาณคนตายมากเกินไปงั้นหรือ?

ในเมื่อกล้าพูดถึงขนาดนี้ สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือความตาย

“แต่ความตายของหวังจวงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา! เจ้าโง่นั่นตายมาหลายปีแล้ว ข้ารอมานานแล้วเช่นกัน ตอนนี้พิธีรำลึกนั่นจบแล้ว ทุกสิ่งควรจะบรรเทาลงบ้าง…” ชายร่างกลมผู้เหมือนกับผู้นำหัวเราะอย่างเพลิดเพลิน

“ใช่ เจ้าโง่นี่ตายแล้ว พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ตอนที่มันมีชีวิต แต่สุดท้ายมันก็ตายกลายเป็นผีโดดเดี่ยวอยู่ดี… เหอะเหอะ” อันธพาลคนนั้นหัวเราะ

“หึ พวกเราถูกกลั่นแกล้งตอนหวังจวงมีชีวิต ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันแล้ว” ผู้นำผิวปาก “ข้าต้องบอกว่าภรรยาของเจ้าสารเลวหวังจวงดูดีมากเลยล่ะ… โดยเฉพาะดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตานั่น มันช่วงชวนให้หลงเหลือเสียเหลือเกิน! ประกอบกับร่างกายเล็กบอบบางนั่นแล้ว…” คำพูดที่หายไปกลายเป็นเสียงถอนหายใจด้วยความใคร่

“เหอะเหอะเหอะ…” สามคนที่หลือหัวเราะหื่นขณะเดินผ่านยวินหยางไป

ยวินหยิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะมองไปทางจัตุรัส ดูเหมือนกับสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองกลับมา เขาพยักหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันขณะหันกลับไปอย่างเงียบงัน ชุดคลุมสีม่วงโบกสะบัดขณะเริ่มตามอันธพาลและเหยื่อที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ถนนที่เขาเดินวิเวกวังเวงมากขึ้น พวกเขากำลังขยับเข้าหานอกเมืองเทียนถัง รอบข้างน่าขนลุกมากขึ้นในทุกก้าวที่ย่างเดิน

หญิงสาวและผู้ดูแลยังคงเดินอย่างไร้จุดหมายต่อไป ไม่มีสถานที่หรือจุดหมายอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสที่ช่วยพยุงอยู่นั้น นางอาจจะหมดสติไปนานแล้ว

พวกเขากำลังเข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง มีแสงตะเกียงอ่อน ๆ ส่องทางได้ไม่ไกลนัก

นั่นคือบ้านของนาง

แต่อนิจจา บ้านที่ไม่มีสามียังจะเป็นบ้านได้อีกหรือ?

หนึ่งปีมาแล้วสินะ หวังจวง เจ้าอยู่ที่นั่นสุขสบายดีหรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะข้าต้องดูแลลูกสาว ข้าคงตามไปพบเจ้านานแล้ว…

เจ้ารู้หรือไม่ ชีวิตตัวคนเดียวแบบนี้มันลำบากแค่ไหน?

ขณะทั้งสามกำลังหันเข้าตรอก เสียงหัวเราะแปร่งหูดังขึ้นจากด้านหลัง

“โอ้ แม่สาวน้อย อย่าเดินเร็วนักสิ…” เสียงน่ารังเกียจกล่าวขึ้น “หันมาให้ข้าได้ดูร่างกายนั่นหน่อยสิ…จุ๊ จุ๊ มีเสน่ห์อะไรอย่างนี้!”

หยิงสาวยังคงเดินต่อไปราวกับไม่ได้ยิน ชายกำยำสี่คนตามทันในที่สุดก่อนมาขวางทางแล้วยิ้มเยาะกับชัยชนะที่ได้รับมา

“โอ้… ข้ามองเห็นในความมืดไม่ชัดเท่าไหร่… นี่ใช่นายหญิงน้อยของนายพลหวังจวง จวนเอ๋อร์ หรือไม่? จุ๊ จุ๊… ไม่สงสัยเลยว่าข้าสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของเจ้า เหอะเหอะ จวนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมถึงมีดอกไม้สีขาวอยู่บนหัวล่ะ? ข้าได้ยินมาว่านายพลหวังจวงผู้หาญกล้าของพวกเรากลายเป็นจิตวิญญาณคนตายแล้วไม่ใช่หรือ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอะไรอย่างนี้!” คำพูดที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความตัณหามากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ทั้งสามชะงักฝีเท้า

ผู้อาวุโสที่พยุงหญิงสาวตวาดจนตัวสั่น “หวังเป้า! เจ้าต้องการอะไร? ให้พวกข้าผ่านเดี๋ยวนี้!”

หัวหน้าของอันธพาล หวังเป้า หัวเราะร่วน “ให้ผ่านงั้นหรือ? ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นล่ะ? อ๋อ ใช่ ข้าต้องให้ผ่านหากหวังจวงขอให้ทำเพราะชื่อเสียงที่สั่งสมมา แต่ตอนนี้เขาเป็นวิญญาณมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ทำไมข้ายังต้องให้ผ่านอีก?”

เขาหัวเราะ ด้วยน้ำเสียงตัณหา เขาอุทานว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าต้องบอกว่า… ชุดของจวนเอ๋อร์ช่างดูดีมากทีเดียว… หัวใจของข้าปวดตุบเมื่อได้มองจนถึงกับต้องหลั่งน้ำตา จวนเอ๋อร์ หวังจวงไม่สามารถดูแลเจ้าได้อีกแล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ข้า…”

ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่หน้าหญิงสาวตวาดใส่พวกอันธพาล “หวังเป้า สามีของจวนเอ๋อร์ หวังจวงตายในวงครามเพื่อจักรวรรดิยวี่ถัง เขาปกป้องประเทศด้วยชีวิต ตายในฐานะวีรบุรุษของประเทศ เจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ เป็นพวกไม่มีหัวจิตหัวใจหรือไง?”

หวังเป้าร่างอ้วนหัวเราะร่วนอีกครั้ง “วีรบุรุษหรือ? ใครขอให้เขาไปสู้เพื่อสงครามล่ะ? แน่นอนว่าไม่ใช่ข้า! เขาไม่ได้ตายเพื่อข้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร สำหรับข้า มันก็แค่ลมที่พัดผ่านเท่านั้น!”

“หวังจวง เจ้าโง่นั่น ห้ามพวกข้าไม่ให้ทำหลายสิ่งตอนที่ยังมีชีวิต ข้าอยากให้มันตายมานานแล้ว หัวใจข้าอบอุ่นขึ้นมาเมื่อรู้ว่าในที่สุดมันก็ตาย! เหอะเหอะ ข้าต้องยอมรับนะว่าเขาเป็นคนดีตอนที่ยังมีชีวิต แต่เขาตายมาหนึ่งปีแล้ว! ตอนนี้เขาถูกฝังหกฟุต ถึงเวลาที่ข้าจะเล่นสนุกกับภรรยาของเขาเสียที เขาจะมายืนขวางทางข้าได้อย่างนั้นหรือ?”

ด้วยแววตาราคะ หวังเป้าเริ่มโน้มตัวหาจวนเอ๋อร์

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด