ตอนที่แล้วตอนที่ 1: ชายผู้ถือดาบ บัญชาภราดรภาพ [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3: การกำเนิดของดอกบัวแห่งโชคชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์จุติ [อ่านฟรี]

ตอนที่ 2: เลือดสี่ฤดู [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK [จบแล้ว]

สารบัญ โกลาหลแห่งอสนีบาต

สารบัญ จอมเวทอหังการ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

สารบัญ จอมมารสะท้านภพ

••••••••••••••••••••

ตอนที่ 2: เลือดสี่ฤดู

 

มันคือการเดินทางออกดอกออกผลสำหรับยวินหยาง

เขาออกจากภัตตาคารอย่างเริงร่าขณะนายน้อยเจ็ดคนที่เหลือคอยคุ้มกัน “รักษาตัวด้วย นายน้อยยวิน ไว้พบกันใหม่คราวหน้า…”

ในที่สุดเจ็ดคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากมองไม่เห็นร่างของยวินหยางแล้ว

“ข้าจะกิน! กินเท่าที่จะไหว!” นายน้อยหม่ากัดฟัน “ข้าต้องกินเท่าไหร่ถึงจะได้ 2 ล้านตำลึงเงินกลับคืนมา?”

นายน้อยหกคนที่เหลือกลอกตา เผยความเจ็บปวด อย่างน้อยมีใครบางคนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนพวกเขา!

เพียงแค่คิดแบบนี้ก็ทำให้พวกเขาสุขใจ “มา มา อย่างกลับจนกว่าจะเมา! เถ้าแก่ เสิร์ฟอาหาร! บัดซบ ข้าจะกินส่วนที่สมควรได้ให้หมดเลย!”

จากนั้น พวกเขาเข้าภัตตาคารอีกครั้ง

นายน้อยฉินผู้กำลังเรียกเก็บเงินซีดเผือดแล้วอุทานออกมา “พวกเจ้าอยากท้องแตกตายหรือไง? ออกไป!”

เขาห้ามอีกฝ่ายอย่างลุกลี้ลุกลน

เหล่าเหมยตามยวินหยางพร้อมกับแขนที่กอบโกยความมั่งคั่งมาเต็มที่ แต่คำถามในหัวมีมากกว่าโชคลาภที่อยู่ในมือ

นายน้อยทั้งเจ็ดคนนี้คือตัวละครไร้ยางอายผู้ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้วทำไมพวกเขาทุกคนถึงอ่อนน้อมขนาดนี้? แค่ปีนี้ พวกเขาถูกขู่กรรโชกโดยนายน้อยสองครั้ง อย่าว่าแต่ปีก่อนเลย

นายน้อยมีความสัมพันธ์ยังไงกับพวกเขากันแน่?

“ใช้ 6 ล้านตำลึงในสถานที่ไม่กี่แห่งอย่างใจกว้าง” ยวินหยางสั่งขณะเดิน “เจ้ารู้ว่าต้องระวังตัวยังไง”

เหล่าเหมยตอบอย่างจริงจังว่า “อย่าห่วงไปเลย นายน้อย ข้าทราบดี”

ยวินหยางพยักหน้า

ขณะสนทนา พวกเขามาถึงประตูของที่พักยวิน

ยวินหยางเงยหน้าขึ้นมองอักษรสี่ตัวบนแผ่นโลหะ เผยรอยยิ้มดูถูกก่อนเข้าไป

‘เมฆาเหนือสวรรค์’

ตัวอักษรสีทองแขวนบนทางเข้าของที่พักยวิน พวกมันถูกเขียนโดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สุดยอดป้ายแสดงความเคารพต่อขุนนางชั้นสูงยวิน มันคล้ายกับมังกรมาก

ประตูปิดลง

ไกลออกไป สถานที่หนึ่งนอกที่พัก เสียงของคนคนหนึ่งกำลังสวดมนต์ “เก้าใหญ่แห่งยวี่ถัง วีรชนของโลก ชาติอาลัย ส่งจิตวิญญาณนักรบ วันที่เก้าของเดือนสาม อัศวินที่แท่นบูชา ตัดศีรษะคนเจ้าเล่ห์และชั่วช้า แสดงความเคารพต่อจิตวิญญาณวีรชน จิตวิญญาณของนักรบจะคงอยู่ตลอดกาล วิญญาณยิ่งใหญ่ของพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป…”

ผู้มีจิตศรัทธานับไม่ถ้วนออกมา เจ้าหน้าที่ ผู้บัญชาการทหาร ทหาร ประชาชน… ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปร้านขายดอกไม้และธูป…

เทียนและธูปทั้งหมดตอนช่วงบ่ายในเมืองเทียนถัง

เสียงร้องไห้แผ่วเบาดังขึ้น

วันนี้คือวันที่แปดของเดือนสาม พรุ่งนี้จะเป็นวันมอบบรรณาการให้จิตวิญญาณวีรชน

ยวินหยางพิงกับประตูของที่พักยวิน ฟังเสียงสวดมนต์สูงต่ำด้วยความเจ็บปวดทรมาน

“เก้าใหญ่จะคงอยู่ตลอดไป!”

ยวินหยางกล่าวเสียงเบา สายตามุ่งมั่น “เพราะข้ายังอยู่ที่นี่!”

ที่พักยวิน

ห้องลับ

ยวินหยางสวมชุดคลุมสีม่วง ยืนมองอู๋เหวินเยียนตรงหน้าโดยไขว้แขน จิตสังหารทอประกายในดวงตาขณะพูดเสียงเบาว่า “เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการอู๋ ข้าได้ยินชื่อของท่านมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้พบสักครั้ง ดังนั้น ข้าเชิญท่านอู๋มาในวันนี้เพื่อสนทนาอย่างฉันมิตรเป็นพิเศษ”

ผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามในชุดนักโทษคืออู๋เหวินเยียน เขาหัวเราะเบา ๆ “นายน้อยยวิน ข้าเพียงคิดว่าท่านคือนายน้อยขุนนางชั้นสูงแห่งเมฆาสวรรค์ จึงไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน ดูท่าท่านจะเป็นบุคคลที่คาดเดาไม่ได้ในจักรวรรดิยวี่ถังสินะ”

เขาหัวเราะ “ถึงกับพาข้ามาที่นี่จากประตูคุกได้อย่างง่ายดาย นายน้อยยวินคล้ายกับมีลูกเล่นพิเศษสินะ”

ยวินหยางมองประมุขฝ่ายตรวจการ เขามองไม่เห็นร่องรอยความวิตกหรือความหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย

นี่คือคนที่พร้อมตาย

ยวินหยางตัดสินใจก่อนเผยยิ้มออกมา “แค่วิธีง่าย ๆ โปรดอย่าถือสาพวกเขาเลย”

อู๋เหวินเยียนกล่าวว่า “ข้าสงสัยจริงว่านายน้อยยวินต้องการสนทนาอะไร ถึงกับพาข้าออกจากคุกแล้วมาที่นี่?”

ยวินหยางยิ้มสบาย “ข้าอยากเล่นเกมกับท่านอู๋เสียหน่อย”

“เกมอะไรหรือ?” อู๋เหวินเยียนถาม

“หื้ม เกมถามคำถามน่ะ” ยวินหยางหัวเราะ “ท่านถามข้าหนึ่งคำถาม ข้าถามท่านหนึ่งคำถามเช่นกัน”

อู๋เหวินเยียนหัวเราะเบา ๆ เช่นกัน “ท่านอาจจะสามารถตอบคำถามข้าได้ แต่ข้าอาจจะไม่อยากตอบของท่านก็ได้นะ”

ยวินหยางยิ้ม กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ครอบครัวทั้งหมดของท่านอู๋ถูกจับไป รวมถึงแม่เฒ่า ภรรยา เมียน้อยสองคน ลูกชายสามคนและลูกสาวหนึ่งคน”

สายตาของอู๋เหวินเยียนพลันเย็นชา “ท่านพยายามจะสื่ออะไรกันแน่?”

ยวินหยางกล่าวอย่างอ่อนโยนต่อว่า “ท่านอู๋ไม่สนความเป็นความตายแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่สนสิ่งอื่นสิ่งใด แต่ว่า… ท่านอู๋จะไม่สนชีวิตของครอบครัวด้วยหรือเปล่า?”

อู๋เหวินเยียนหรี่ตา “ท่านหมายความว่า…?”

ยวินหยางกล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าตอบคำถามข้อแรก ข้าสามารถมอบความตายอย่างสงบให้ได้ นี่คือของแถมแรก”

อู๋เหวินเยียนกล่าวหยอกล้อว่า “ท่านจะไว้ชีวิตข้าต่อให้ไม่ตอบคำถามอื่นอย่างนั้นหรือ?”

ยวินหยางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เรื่องท่านตายก็เรื่องหนึ่ง ท่านอู๋ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย ถ้าไม่ตอบคำถามของข้า จะไม่มีสมาชิกครอบครัวสักคนรอด แต่ท่าน ท่านอู๋ ท่านจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”

เขายิ้มกว้าง เผยให้เห็นแถวฟันสีขาวราวไข่มุก “ท่านอู๋ ท่านคิดว่าไงล่ะ?”

อู๋เหวินเยียนพร้อมตาย แต่เขายังสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง

มีชีวิตตลอดกาล…

คำพูดมงคลอย่างการมีอายุยืนยาวนี้กลับมีความหมายน่ากลัวเมื่อออกมาจากปากของยวินหยาง แน่นอนว่าอู๋เหวินเยียนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขาจะสามารถ ‘มีชีวิตตลอดกาล’ ได้อย่างไร

เขาเงียบสักพักก่อนกล่าวว่า “ท่านหมายความว่าครอบครัวข้าสามารถมีชีวิตต่อไปได้งั้นหรือ?”

ยวินหยางตอบว่า “แน่นอน ตอบคำถามข้อสองจะรับประกันชีวิตของภรรยา ข้อสามรับประกันชีวิตของแม่… ข้อสี่ของลูกสาว ข้อห้ารับประกันชีวิตของลูกชายคนเล็กที่ท่านโปรดปรานที่สุดและข้อสุดท้าย ทั้งครอบครัว ยกเว้นท่าน จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ มีชีวิตได้อย่างอิสระเท่าที่ต้องการ”

อู๋เหวินเยียนหลับตาอย่างปวดร้าว “และถ้าข้าไม่ตอบสักข้อล่ะ?”

ยวินหยางตอบอย่างง่ายดายว่า “ยกตัวอย่างนะ ถ้าท่านไม่ตอบข้อสี่ ข้าจะไว้ชีวิตลูกสาวท่าน แต่อยู่ในซ่อง ข้าจะทำให้แน่ใจด้วยว่าลูกค้าแต่ละคนจะรู้ว่านางเป็นลูกสาวของท่านอู๋ หื้ม แต่ละคำถามเป็นตัวแทนหนึ่งคนในครอบครัวของท่าน”

อู๋เหวินเยียนชำเลืองมองด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะคำราม “ท่านมันโหดเหี้ยม!”

ยวินหยางยิ้ม “ไม่ใช่ข้าสักหน่อย เป็นเพราะท่านปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมต่างหาก กลับกัน ในฐานะลูกชาย สามีและพ่อ ท่านสามารถจัดเตรียมสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ให้พวกเขาได้”

อู๋เหวินเยียนหลับตา ความสิ้นหวังเกาะกุมหัวใจ

การพร้อมตายของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ยวินหยางจี้ใจดำถูกจุด

“นายน้อยยวินพูดถูก” อู๋เหวินเยียนยิ้มแห้ง

“ท่านอยากรู้อะไรล่ะ?”

ยวินหยางวางแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลังแล้วกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คำถามข้อแรก ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีคือวสันต์ นี่เป็นคำพูดที่ดี แต่กลับมีความนัยแฝงอยู่ ข้าอยากให้ท่านอู๋ช่วยขยายความเสียหน่อย”

ใบหน้าของอู๋เหวินเยียนแพ้พ่าย เขาคล้ายกับกำลังดิ้นรนสักพักก่อนตอบว่า “มันคือหอคอยสี่ฤดู… สี่ฤดูในหนึ่งปี นี่หมายถึงต้องให้หอวสันต์ลงมือ…”

ยวินหยางพยักหน้า “ดีมาก สำหรับของแถมกับคำตอบนี้ ท่านสามารถตายอย่างสงบได้แล้ว คำถามข้อสอง คนที่สิบของเดือนแรก มันหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าคือคนที่สิบของเดือนแรก” อู๋เหวินเยียนหลับตา ตอบอย่างซึมกะทือว่า “แต่ละฤดูของหอคอยสี่ฤดูมีสามหอ แต่ละหอมีชื่อหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนและมีอยู่สามสิบคน เริ่มจากหนึ่งถึงสามสิบ”

“ยินดีด้วย ภรรยาของท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อ” ยวินหยางกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ข้อสาม ใครคือนายเหนียน?”

อู๋เหวินเยียนสบตากับยวินหยางแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้”

ยวินหยางขมวดคิ้ว จ้องมองดวงตาของชายตรงหน้าสักพักก่อนผ่อนคลายลง “เอาล่ะ เปลี่ยนคำถาม ใครคือหัวหน้าของหอวสันต์?”

“ข้าไม่รู้เรื่องนั้นเช่นกัน” อู๋เหวินเยียนหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “ท่านไม่ต้องถามข้าแบบนี้ตลอดก็ได้ พวกข้าทำสัญญาฝ่ายเดียวกันมาตลอดจนไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ข้าไม่รู้ว่าใครคือคนที่เก้าและคนที่สิบเอ็ดของเดือนนี้ อย่าว่าแต่หัวหน้าหอเลย!”

ยวินหยางระบายลมหายใจ เขาดูไม่ยินดี

“ประมุขฝ่ายตรวจการในราชสำนักเป็นได้แค่หนึ่งวันในสี่ฤดูของปีหากปราศจากหน้าที่… หอคอยสี่ฤดู ช่างใหญ่โตอะไรอย่างนี้!”

ยวินหยางหัวเราะครืนแต่ความเย็นเยือกที่แฝงอยู่ข้างในทำให้อู๋เหวินเยียนขนลุก

“ในเมื่อท่านไม่รู้อะไรเลย…” ยวินหยางเริ่มขมวดคิ้ว “เช่นนั้น คนที่เกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตีเก้าใหญ่ที่ผาเทียนเสวียนในช่วงวสันต์เมื่อปีที่แล้วเป็นใคร?”

เมื่อได้ยินเรื่องซุ่มโจมตีเก้าใหญ่ที่ผาเทียนเสวียนมากพอจะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของอู๋เหวินเยียนกระตุก “ข้าเพียงตัวแทนเท่านั้น ผู้ที่รับผิดชอบในการดำเนินตามแผนคือหัวหน้าของหอวสันต์เสมอ ข้าไม่รู้ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง”

ยวินหยางพยักหน้า “นอกจากท่าน ต้องมีตัวแทนคนอื่นแน่ ๆ พวกเขามาจากกองทัพหรือเปล่า?”

อู๋เหวินเยียนตอบว่า “คนที่เก้าและคนที่สิบเอ็ดที่มาติดต่อกับข้าให้ความรู้สึกเหมือนกับนายพลทหาร แต่ข้าไม่รู้ว่าตำแหน่งพวกเขาคืออะไร ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นเหมือนกัน”

ยวินหยางกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ ข้าถามหมดแล้ว ท่านสามารถเริ่มถามข้าได้ ถามมาได้เลย”

อู๋เหวินเยียนสั่นสะท้านก่อนถามเสียงดังกว่าว่า “ทำไมท่านถามแค่สามคำถาม? ในเมื่อถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผาเทียนเสวียน ท่านควรจะถามให้มากกว่านี้สิ!”

ยวินหยางตอบอย่างเย็นชาว่า “เพราะข้ารู้คำตอบของคำถามอื่นแล้ว อีกอย่าง ถ้าข้าถามแล้วท่านตอบได้สำเร็จ ข้าจะต้องปล่อยตัวลูกชายท่าน ข้าไม่เต็มใจทำแบบนั้นแน่”

อู๋เหวินเยียนโกรธาก่อนตะโกนออกมา “แต่ท่านถามข้าไปสี่ข้อแล้วนะ!”

ความโกรธของเขาเจอเข้ากับน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านไม่ได้ตอบสองข้อที่แล้ว ดังนั้นข้าจึงนับว่าเป็นหนึ่งข้อ ดังนั้น รวมทั้งหมด ท่านตอบไปเพียงสามข้อเท่านั้น ข้อแรกคือให้ท่านได้ตายอย่างสงบ ข้อสองคือไว้ชีวิตภรรยาท่าน ข้อสามคือช่วยชีวิตแม่ท่าน อย่าห่วงไปเลย ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง!”

ร่างกายของอู๋เหวินเยียนอ่อนปวกเปียก ความสิ้นหวังเด่นชัดขึ้นในใจ

คนคนนี้มอบความหวังด้วยการเดิมพันจากคำถามความเป็นความตาย แต่กลับตัดมันทิ้งในช่วงเวลาสำคัญที่สุด คนสำคัญที่สุดที่เขารักมากกว่าใครยังไม่สามารถหลบหนีจากโชคชะตาแห่งความตายได้

เขามองสีหน้าชั่วร้ายของยวินหยางแล้วถามทันทีว่า “ท่านเป็นใครกันแน่?”

ความเศร้าโศกอย่างรุนแรงกวาดผ่านใบหน้าของยวินหยางขณะสายตาแข็งทื่อกลางอากาศก่อนกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ยวิน!”

ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ยวิน!

นับตั้งแต่การต่อสู้คราวที่แล้วและการกลับเมืองเทียนถังพร้อมบาดแผลสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจ ความเศร้าโศกและความเจ็บปวดสุดแสนประดังเข้าหาเขาทุกครั้งเมื่อคิดถึงตัวตนของเขา

ในที่สุดเขาสามารถพูดสี่คำนี้ออกมาด้วยตัวเองได้หลังจากผ่านไปหนึ่งปี!

เพราะข้าพบเบาะแสแรก ในที่สุดข้าสามารถคลื่นสงบน้อยนิดได้เมื่อคิดถึงพี่น้อง

ใบหน้าของอู๋เหวินเยียนตกตะลึงยิ่งขณะมองยวินหยางด้วยความประหลาดใจ ความตกตะลึงทำให้พูดอะไรไม่ออก เขาทำได้เพียงฟังยวินหยางเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าคือ… ผู้ยิ่งใหญ่ยวินแห่งเก้าใหญ่!”

“เจ้ายังไม่ตายหรือ?!” อู๋เหวินเยียนคำราม “เจ้าต้องตายไปแล้วสิ!”

สีหน้าแปลกประหลาดปรากฏบนใบหน้าของยวินหยาง น้ำเสียงทุกข์ทรมาน “เก้าใหญ่จะไม่มีวันตาย!”

อู๋เหวินเยียนยิ้มเยาะออกมา “เป็นแบบนี้เอง เป็นแบบนี้เอง… เจ้ายังไม่ตาย…”

เขากระซิบประโยคดังกล่าวหลายครั้ง ดวงตากำลังเสียประกายขณะจิตวิญญาณคล้ายหลุดออกจากร่าง “ใครจะรู้ล่ะว่า… บุคคลสำคัญของเก้าใหญ่ถึงกับมีชีวิตอยู่… นี่ นี่คือโชคชะตาหรือ?”

ใบหน้าของยวินหยางเหินห่าง แต่สายตาลึกล้ำราวมหาสมุทร

ด้วยสระที่มืดมิดปานนั้น ไม่มีใครมองเห็นความคิดข้างในอันปั่นป่วนที่เขากำลังประสบอยู่ได้

“จมหมู่เมฆบนท้องฟ้า กระพือสายลมบนปฐพี ปลุกอสนีและอสนีบาต พิทักษ์หลุมศพของสวรรค์” อู๋เหวินเยียนพึมพำ “ลำแสงทองสาดส่อง มังกรผงาดและทะยานขึ้นสูง สู่ความสำเร็จไม่มีสิ้นสุด ไฟลามทุ่งหญ้า ร่องรอยของน้ำหายไปในเลือดของวีรชน คอยหล่อเลี้ยงอยู่ชั่วนิรันดร์! เก้าใหญ่ ยังมีคนรอดอยู่…”

สายตาของยวินหยางเร่าร้อนขณะได้ยินประโยคดังกล่าว เขาพึมพำแผ่วเบาว่า “ใช่แล้ว ข้ายังมีชีวิตรอด ในเมื่อข้ายังรอด ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องตาย!”

“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของผาเทียนเสวียน… ต้องตาย!”

“หนี้เลือดที่พี่น้องของข้าหลายคนแสวงหา…” ยวินหยางก้มศีรษะแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนขณะมองอู๋เหวินเยียนผู้อยู่ตรงหน้า “เจ้าคือคนแรก”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด