GE399 เตรียมตัวเข้าสู่ทะเลส่วนใน [ฟรี]
หลังจากผ่านราตรีแห่งความสุข หนิงฝานและเซี่ยวเหมินในร่างเปลือยเปล่านอนกอดกันแน่น
นางซุกหน้าบนหน้าอกหนิงฝาน พลางรับฟังเรื่องราวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดมากนัก
เมื่อนางได้รู้ว่าผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกอย่างหยุนเทียนเฉว เป็นผู้พาหนิงฝานไปทดสอบ นางก็เข้าใจและรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
หยุนเทียนเฉวเป็นผู้มาหาถึงที่ ย่อมปฏิเสธไม่ได้
‘เทพกระบี่อาภรณ์ขาว’ ผู้ทรงพลังและเลือดเย็น ความแข็งแกร่งของหยุนเทียนเฉวนับว่าโด่ดเด่นแม้อยู่ในแดนสวรรค์ ทำให้เป่ยเซี่ยวเหมินที่ได้ยินแค่ชื่อก็หวาดกลัว
เมื่อได้ฟังเรื่องที่หนิงฝานได้เข้าสู่หุบเขามังกร นางเป็นกังวล นางได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนั้นอันตรายมาก
และเมื่อได้ฟังเรื่องที่หนิงฝานสังหารอสูรไปมากมายในบ่อโลหิตมังกร นางก็ไม่กล้าตำหนิหนิงฝานอีก
“ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร… แต่เรื่องที่หยุนเทียนเฉวพาตัวเจ้าไป ฮึ่ม! ข้าจะขอให้ท่านแม่แก้แค้นให้!” นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
ความเป็นห่วงของนางทำให้หนิงฝานมีความสุข แต่เรื่องแก้แค้นย่อมไม่จำเป็น
หนิงฝานมีศัตรูก็จริง แต่ศัตรูที่ว่าไม่ใช่หยุนเทียนเฉว… แต่เป็นทั้งโลกพิรุณ
กษัตริย์พิรุณจะแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทั่วไป ด้วยที่มันเป็นกษัตริย์ เป็นผู้เชี่ยชาญระดับสูง จึงมีกฏว่าห้ามสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับล่าง ไม่อย่างนั้นจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์
หนิงฝานไม่ได้คิดจะให้เซี่ยวเหมินช่วยแก้แค้นกษัตริย์พิรุณ เพราะเขาจะจัดการมันด้วยตัวเอง
หนิงฝานพักอยู่ในเกาะเผิงไหล 1 เดือน ในแต่ละวัน ช่วงเช้าเขาใช้เวลาไปกับการเข้าสู่โลกหยินเพื่อป้อนโอสถให้กับหลั่วโยว่
เมื่อถึงยามราตรี เขาจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับเซี่ยวเหมิน เพื่อช่วยนางยกระดับพลัง และรักษาโรคที่ยังไม่หายสนิท
นางประหลาดใจกับความสามารถของหนิงฝาน นางไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการอะไร โรคที่แม้แต่วิชาดาราทมิฬยังรักษาไม่หาย แต่หนิงฝานกลับรักษาให้หายได้
แม้นางจะสงสัยถึงวิธีการ แต่หากนางไม่ถาม หนิงฝานก็ไม่บอก
หนิงฝานกล่าวถามถึงสตรีที่ชื่อเป่ยเหยา แต่คำตอบที่ได้จากเซี่ยวเหมินกลับทำให้เขาประหลาดใจ เพราะนางบอกว่าในวิหารสาบสูญไม่มีสตรีชื่อนี้อยู่
หนิงฝานขบคิด เขามั่นใจว่านางคือคนของวิหารสาบสูญ แต่อาจไม่ใช่พี่สาวของเซี่ยวเหมิน
เขาไม่กล่าวถามนางถึงเรื่องของเป่ยเหยาต่อ เพราะไม่อยากให้นางรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยเหยา
หนึ่งเดือนผ่านไป โรคที่เซี่ยวเหมินเป็นอยู่ก็หายสนิท นางยกระดับพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนหลั่วโยว่ หลังจากได้โอสถจากหนิงฝาน สีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงจิตเริ่มดูเหมือนมนุษย์จริงๆ
ยามนี้ หนิงฝานนั่งอยู่ข้างกายหลั่วโยว่ ผสมโอสถ 15 เม็ดสุดท้ายกับน้ำให้นางดื่ม จากนั้นกุมมือนาง ถ่ายปราณของเขาเข้าไปในร่างนาง
มือของนางในยามนี้เริ่มอุ่นขึ้น พลังค่อยๆฟื้นฟูอย่างช้าๆในแต่ละวัน
จากขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้น… กลาง… สูง...
ขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้น… กลาง… สูง… โดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลง
หนิงฝานถอนหายใจ กุมมือนางไว้และถ่ายปราณเข้าสู่ร่างนางอย่างต่อเนื่อง ยามนี้ แรงกดดันของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหยุนจิงหงแล้ว
โอสถทั้ง 207 เม็ดที่หนิงฝานปรุงให้ ช่วยให้นางฟื้นฟูถึงขอบเขตไร้แบ่งแยกที่ 1!
แรงกดดันที่ทรงพลังของนางแผ่ไปทั่วโลกหยิน พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หนิงฝานที่อยู่ข้างกายถูกผลักกระเด็น
หนิงฝานยิ้มอย่างมีความสุข การที่นางฟื้นฟูพลังถึงขอบเขตไร้แบ่งแยกที่ 1 ได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
หากหนิงฝานถูกคนของวิหารพิรุณตามล่า นางย่อมช่วยเขาได้
หนิงฝานเชื่อใจนางอย่างที่สุด นางเองก็เชื่อใจหนิงฝานเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้หนิงฝานยังคงผิดหวัง คือแม้ปราณของนางจะฟื้นฟูถึงขอบเขตไร้แบ่งแยกที่ 1 แต่นางยังคงไม่ตื่นจากหลับไหล
แรงกดดันที่ทรงพลังค่อยๆเลือนหายไป สีหน้าของนางยามนี้ดูมีความสุขมากขึ้น
หนิงฝานถอนหายใจ หากนางไม่ได้สติกลับมา แม้นางจะฟื้นฟูพลังแต่ก็ไม่อาจปกป้องเขาได้
ถึงจะน่าเสียดาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้
“ถึงเจ้าจะยังไม่ตื่น แต่การที่ดวงจิตของเขากลับมาทรงพลังข้าก็ดีใจ… อย่างน้อยๆข้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล เจ้าพักให้สบายเถอะ มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกังวลใดๆ”
หนิงฝานลูบสัมผัสใบหน้าของนางเบาๆพลางส่ายหน้า ถ้าเกิดนางตื่นมาเห็นว่าเขากำลังสัมผัสใบหน้านาง นางคงโกรธน่าดู
หนิงฝานห่มผ้าให้แล้วก่อนจะกลับออกจากโลกหยิน
แต่เมื่อเขากลับออกมา หลั่วโยว่กลับลืมตาขึ้น ใบหน้าเห่อร้อน “เด็กน้อย ช่างกล้าล่วงเกินข้า...” นางตื่นมาสักพักแล้ว แต่ไม่อยากให้หนิงฝานรู้ ดวงจิตของนางบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจออกจากโลกหยินไปยังโลกภายนอกได้อย่างอิสระ
เมื่อถูกหนิงฝานกอด ป้อนโอสถ กุมมือ นางที่เป็นสตรีย่อมเขินอาย จึงไม่กล้าลืมตาขึ้น ที่สำคัญ นางมองหนิงฝานเป็นเพียงเด็ก ไม่ใช่บุรุษที่คู่ควรกับนาง แต่กลับกลายเป็นว่า เด็กที่นางมองเห็นนั้นกลับคิดว่านางเป็นสตรีของตน
นางหวนนึกถึงสิ่งที่หนิงฝานได้พูดคุยยามที่นางแกล้งหลับ นึกยามที่หนิงฝานถ่ายปราณขับความเย็นออกจากร่าง
“มีข้าอยู่เจ้าวางใจได้...”
“ยามนี้ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง...”
คำเหล่านี้ทำให้นางไม่รู้จะสู้หน้าหนิงฝานยังไง
“เจ้ายังปกป้องข้าไม่ได้หรอก… ศัตรูของตระกูลหลั่ว ไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะรับมือได้” สีหน้านางแปรเปลี่ยนเย็นชา ลุกยืนขึ้นจากเตียง เปิดหน้าต่างบ้าน จ้องมองท้องนภาอย่างโดดเดี่ยว
นางไม่ใช่สตรีที่ช่างพูด แม้จะหวั่นไหวจากการกระทำของหนิงฝาน แต่นางก็ไม่กล้ากล่าวมันออกมา
เดิมทีหนิงฝานตั้งใจรอให้นางตื่นก่อนจะเข้าสู่ทะเลส่วนใน แต่เมื่อนางยังไม่ตื่นเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเอง
การเข้าสู่ทะเลส่วนในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมาอีกเมื่อไหร่
เซี่ยวเหมินไม่ได้ห้ามที่หนิงฝานจะเข้าสู่ทะเลส่วนใน เพราะนางเองก็ต้องกลับแดนสวรรค์เช่นกัน
ต้นเหตุเพราะเรื่องที่หนิงฝานเอาชนะซีเหมินเย่ได้ แม้ตระกูลซีเหมินจะไม่ติดใจเอาความ แต่วิหารสาบสูญกลับไม่พอใจ ซึ่งผู้ที่ไม่พอใจคือผู้อาวุโสใหญ่
แต่ถึงมันจะไม่พอใจ มันก็ไม่ได้ส่งคนมาสังหารหนิงฝานถึงที่นี่ เพราะด้วยระดับพลังของมัน มันย่อมไม่เห็นหนิงฝานอยู่ในสายตา
ต่อให้หนิงฝานบรรลุขอบเขตไร้ดัดแปลง ไร้แบ่งแยก หรือบรรลุเซียนในขอบเขตก้าวผ่านความจริง มันก็ไม่สน
แต่ถึงอย่างนั้น เซี่ยวเหมินก็ต้องกลับไปอธิบายเรื่องราวให้มันฟังอยู่ดี
“ซัวหมิง ข้าต้องกลับแดนสวรรค์แล้ว ที่นั่นข้ามีมารดาอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล หากในอนาคตเจ้ามีโอกาสขึ้นไปแดนสวรรค์เหนือ ให้เจ้ามายังเกาะเผิงไหล...ตามหาคนที่ชื่อลู่ฉิง เขาจะช่วยให้เจ้าได้พบกับข้า”
เป็นครั้งแรกที่นางเป็นห่วงหนิงฝานและแสดงออกให้เขาเห็น แต่เมื่อเห็นสีหน้าล้อเลียนของหนิงฝาน นางกลับโมโหขึ้น
“ฮึ่ม! คิดว่าที่ข้าช่วยเพราะข้าชอบเจ้าหรือไง? เจ้าเป็นแค่กระถางขัดเกลาของข้า ข้าแค่ไม่อยากเห็นเจ้าตายในโลกมนุษย์ก็แค่นั้น!” นางกล่าวพลางเชิดหน้า
“ข้ารู้… แต่ที่ข้ากลัวคือไม่รู้ว่าเมื่อได้จะได้ลิ้มรสเจ้าอีก”
“นี่เจ้า!” ใบหน้านางแดงก่ำ แต่ถึงอย่างนั้น การจากลาก็ทำให้นางเศร้าใจ
“รักษาตัวดีๆนะ” หนิงฝานจูบหน้าผากนางเบาๆแล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะมุ่งไปยังเกาะปีศาจสำราญ
นางจ้องมองแผ่นหลังของหนิงฝานที่จากไปพลางกำหมัดแน่น
“ซัวหมิง...”
“คุณหนูไม่ต้องเศร้าที่ได้พรากจากเขา เขาคือผู้มีพรสวรรค์ อีกไม่นานก็คงได้ขึ้นไปเยือนแดนสวรรค์” ทหารศิลากล่าวปลอบ
“ข้ารู้ท่านปู่...” นางพยักหน้า แต่แล้วนางกลับตกใจและหันไปตะคอกใส่ทหารศิลา
“ข้าไม่ได้เศร้าซะหน่อย! ไร้สาระ!” เมื่อกล่าวเสร็จแล้วนางก็จากไป ทหารศิลารู้ว่านางรักหนิงฝานมาก
หนิงฝานเองแม้จะได้สิทธิ์ขึ้นไปยังแดนสวรรค์จากวิหารสาบสูญในโลกพิรุณ แต่เขายังไม่ได้ตัดสินใจจะไป
เหตุที่เขายังไม่ไปเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ
หนิงฝานกลับมาหาสู่ฉุ่ยหลิงที่เกาะกู่ซู เขาสัญญากับนางว่าจะพานางไปยังทะเลส่วนในด้วย แต่เมื่อมาถึง กลับพบว่าตงสู่ได้พานางล่วงไปยังตระกูลปีศาจยักษ์แล้ว
นางทิ้งข้อความบอกกล่าวว่านางต้องไปพบสหายคนสนิท ยามนี้สหายของนางกำลังมีปัญหา แต่การที่มีตงสู่อยู่ข้างกาย คงไม่มีใครทำร้ายนางได้
หนิงฝานส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ถ้าเกิดเขามุ่งไปยังตระกูลปีศาจยักษ์ก็คงได้พบนาง แต่เขายังไม่ไปตอนนี้
ชีวิตของผู้ฝึกตนและมนุษย์นั้นต่างกัน ทั้งในเรื่องของอายุขัยและการดำเนินชีวิต...
ในเกาะปีศาจสำราญ ยู่หลงได้คอยหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณเสริมดวงจิตมาให้หนิงฝานเป็นจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยมีผลกับหลั่วโยว่ในยามนี้แล้ว
ดังนั้นหนิงฝานจึงให้มันไปหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาทะเลสติแทน เพราะอย่างน้อยมันจะได้ช่วยศพนางสวรรค์ได้
ก่อนจะกลับมาจากเกาะปีศาจสำราญ หนิงฝานได้มอบโอสถจำนวนหนึ่งให้กับยู่หลงและคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้พวกมันยกระดับพลังได้ง่ายขึ้น
เมื่อจัดการเรื่องต่างๆในเกาะปีศาจสำราญเสร็จสิ้น หนิงฝานกลับมายังเกาะกู่ซูอีกครั้งเพื่อพบไป๋ซู
นางได้รับการถ่ายทอดวิชามากมายจากฉุ่ยหลิง ยามนี้นางจึงฝึกฝนจนบรรลุขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 10 แล้ว อีกไม่นานนางสมควรบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ
ยามนี้เกาะกู่ซูไม่ใช่สถานที่ของมนุษย์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันกลายเป็นเกาะอีกแห่งที่มีผู้เชี่ยวชาญพักอาศัย
พรสวรรค์ของไป๋ซูไม่นับว่าสูงส่งมากนัก แต่ด้วยการชี้แนะของหนิงฝาน ตงสู่ และคนอื่นๆ ก็ช่วยให้นางเหนือล้ำกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วไปอยู่มาก
เมื่อนางได้เริ่มฝึกฝน ใบหน้าของนางดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กอายุ 12 ปี งดงามขึ้นมาก ราวกับเป็นนางสวรรค์
เมื่อไป๋ซูเห็นหนิงฝานกลับมา นางเร่งเข้าครัวทำอาหารและนำสุรามาให้หนิงฝาน ยามนี้เหลือเพียงตัวเขาและนางเท่านั้นที่ร่วมร่ำสุรา
เสี่ยวฉือไม่ได้อยู่ในเกาะกู่ซู หวางซื่อนำเสี่ยวฉือออกเดินทางไปตามแคว้นต่างๆในโลกพิรุณ
หวางซื่อเป็นมือกระบี่ เสี่ยวฉือเองก็ชื่นชอบกระบี่ หวางซื่อจึงได้เมล็ดพันธุ์ชั้นดีไปโดยปริยาย
เมื่อพันปีที่แล้วหยุนเทียนเฉวคือมือกระบี่ที่มีพรสวรรค์ บางทีอีกพันปีข้างหน้าเสี่ยวฉืออาจเป็นเหมือนหยุนเทียนเฉว เพราะเสี่ยวฉือคือผู้ที่เกิดมาเพื่อกระบี่
ก่อนที่เสี่ยวฉือจะเริ่มฝึกฝน หนิงฝานกล่าวว่าให้เสี่ยวฉือต้องก้าวไปเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของโลกให้ได้
เสี่ยวฉือไม่ได้ยกระดับรวดเร็วเท่ากับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ แต่ด้วยกระบี่ในมือย่อมทำให้เสี่ยวฉือทรงพลังไม่แพ้คนเหล่านั้น
ก่อนจะไป เสี่ยวฉือได้ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ในจดหมายกล่าวว่า ฝากให้ลุงหนิงดูแลมารดาของตน
“ลูกข้า...” ไป๋ซูกล่าวไม่ออก ได้แต่ยื่นจดหมายของเสี่ยวฉือให้หนิงฝาน
เมื่อเขาได้อ่าน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนทันที
“เสี่ยวฉือยังเยาว์ คุณชายซัวไม่ต้องใส่ใจหรอก”
“ไม่หรอก… เสี่ยวฉือกล่าวได้ถูกแล้ว หากเขาทุ่มเทเพื่อฝึกฝนกระบี่ บางทีอาจไม่ได้กลับมายังเกาะกู่ซูอีก การที่ฝากฝังท่านไว้กับข้า ทำให้เขาสบายใจ”
“แต่ข้าไม่รบกวนคุณชายหรอก...” ไป๋ซูขมวดคิ้ว
“ช่างเถอะ… แค่ดื่มเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
หนิงฝานไม่ได้อยากบังคับนาง สำหรับไป๋ซูแล้ว แค่นางเตรียมอาหาร สุรา และนั่งดื่มเป็นเพื่อนก็ดีมากแล้ว
อย่างน้อยหนิงฝานก็รู้ว่า นอกจากเขาแล้ว นางจะไม่ร่วมดื่มกับผู้ใดอีก
“อืม...” นางยกจอกสุราดื่มกับหนิงฝาน และสุดท้าย ฤทธิ์ของสุราก็ทำให้นางหมดหลับไป
หนิงฝานปล่อยให้นางได้นอนพัก ส่วนเขาก็ดื่มต่อเพียงลำพัง ความรู้สึกต่างๆที่สั่งสมเริ่มปรากฏขึ้นในอย่างช้าๆ
“ยากนักที่ผู้ฝึกตนจะได้พบเจอกับชีวิตที่สงบสุข… แต่ยังไงซะ สุราของเกาะกู่ซูก็เป็นสุราที่รสชาติดีอีกแห่ง”
ยามนี้ดูเหมือนหนิงฝานจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสตรีและสุรา
หนิงฝานหันมองไป๋ซูและยื่นมือสัมผัสที่แผ่นหลังของนางเบาๆ
“เจ้าอยากเดินทางไปกับข้าหรือเปล่า...”
“ข้าอยากอยู่ที่นี่… ข้าไม่ชอบการเข่นฆ่า ที่นี่จะทำให้ข้าฝึกฝนได้อย่างสงบ หากวันใดท่านเหนื่อยล้าและอยากจะพัก ข้าจะอยู่รอทำอาหารและนำสุราให้ท่าน”
“อืม...” หนิงฝานไม่กล่าวต่อ หากวันใดเขาสะสางทุกอย่างจนสมบูรณ์ เขาจะกลับมายังเกาะกู่ซู แม้ว่าวันนั้นจะนานแสนนานก็ตาม
“นี่คือบุบผาแดง เจ้ารับไป ข้าอยากให้เจ้าตั้งใจฝึกฝน เพราะหากเจ้ามีอายุยืนยาวไม่พอ เจ้าอาจไม่ได้เห็นข้ากลับมาที่นี่ เพราะบางทีข้าอาจจากที่นี่ไปพันปี หรือหมื่นปี หากยามข้ากลับมาและเห็นป้ายหลุมศพของเจ้า ข้าคงเศร้าใจมาก”
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนจนบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม และข้าจะมีอายุยืนยาวถึง 3 พันปี...” นางยิ้ม
“ข้าจะรอท่านแค่ 3 พันปี… ท่านจะตายก่อนข้าไม่ได้”
หนิงฝานตระหนักดีว่าเขาจะตายไม่ได้ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่ต้องเป็นที่กำบังคุ้มฝนให้
หนิงฝานไม่รู้ว่าวันใดข้าจะได้เป็นหนึ่งในโลกพิรุณ แต่ด้วยศักดิ์ฐานะผู้อาวุโสของวิหารพิรุณและป้ายทองคำ เขาอาจทำให้ขุมกำลังของตนใหญ่ขึ้น
หนิงฝานกล่าวลาไป๋ซูและออกจากเกาะกู่ซู มุ่งหน้าไปยังเกาะมุกหยกฟ้า
เมื่อหนิงฝานปรากฏตัว ข่ายอาคมของเกาะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหล่าผู้เชี่ยวชาญภายในตกใจ
พวกนางเร่งออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือหนิงฝาน พวกนางจึงเร่งเก็บอาวุธ
“ข้าฟงหยู ยินดีต้อนรับคุณชายหมิง” ผู้อาวุโสฟงหวาดกลัว หนิงฝานลดระดับพลังของนางมาเหลือเพียงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น
ส่วนซูเหยายามนี้ นางบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง หากให้เวลานาง นางสมควรบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณได้ไม่ยาก
“ซัวหมิง กลับมาแล้วเหรอ...” เชียนสื่อและซูเหยายิ้มให้ เพียงแต่รอยยิ้มของเชียนสื่อแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
แต่ถึงนางไม่บอกแต่หนิงฝานก็รู้ว่านางคิดอะไร
เรื่องที่จะขึ้นไปยังตำหนักม่วงในแดนสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องที่นางจะตัดสินใจได้ง่ายๆ นางรู้ว่าหนิงฝานไม่ชอบฝ่ายธรรมะ นางจึงไม่อยากให้หนิงฝานเกลียดหากเข้าร่วม
“ไม่ต้องลังเลหรอก ข้าสนับสนุนเจ้า” หนิงฝานยิ้มพลางกล่าว แต่ก็ทำให้เชียนสื่อประหลาดใจ
“นี่...เจ้ารู้แล้วเหรอ?”
“อืม ข้ารู้… นี่ผลไม้แห่งเต๋าตัดวิญญาณของเจ้า มันจะช่วยให้เจ้าทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณได้เร็วขึ้น… ข้าได้ยินมาว่าตำหนักม่วงมีจักรพรรดิเซียนอยู่ 2 คน หากผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมก่อเรื่อง คงโดนจักรพรรดิเซียนทั้งสองกวาดล้าง เมื่อถึงยามนั้นข้าคงต้องหวังพึ่งเจ้า”
“ฮึ่ม” นางแค่นเสียง
ที่หนิงฝานมาหานางก็เพื่อจะพูดแค่เรื่องนี้?
หากนางช่วยหนิงฝานได้จริงนางคงช่วยไปแล้ว
นางรู้นิสัยหนิงฝาน เขาเป็นคนกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวที่จะสังหารผู้ใด แต่จากคำกล่าวของหนิงฝานก็ทำให้นางคิดได้ว่า หากนางขึ้นไปบนแดนสวรรค์ ในอนาคตนางอาจจะเก่งกว่าเขาและจับเขามาตีก้นสั่งสอนได้ และสุดท้าย… ก็คงจะมีโอกาสช่วยเขาได้เช่นกัน
“รับผลไม้แห่งเต๋าผลนี้ไว้ด้วย… มันจะช่วยให้เจ้าทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณได้เร็วขึ้น” หนิงฝานนำผลไม้สีทองออกมาจากกระเป๋า คนของเกาะมุกหยกฟ้าจ้องมองด้วยความอิจฉา
แม้หนิงฝานจะเคยมอบสิ่งล้ำค่าให้ แต่ครั้งนี้นางก็ยังประหลาดใจอยู่ดี
“ผลไม้แห่งเต๋าตัดวิญญาณ!”
ต้องสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ 100 คน จึงจะมีโอกาสได้ผลไม้แห่งเต๋าตัดวิญญาณ 1 ผล
การที่หนิงฝานมีมันในครอบครอง นับว่าน่าอัศจรรย์กับพวกนางมาก เพราะนั่นหมายความว่าหนิงฝานเคยสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมาแล้วไม่น้อยกว่า 100 คน
“เจ้าเก็บไว้เถอะ… ศัตรูของเจ้าล้วนแต่ทรงพลัง เจ้าสมควรเร่งยกระดับพลัง เพราะฉะนั้น...”
“ห้ามปฏิเสธ! ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ เพราะข้าอยากได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า”
หนิงฝานหันมองไปยังผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ พวกนางเร่งก้มหน้าไม่กล้าสบตา ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวแล้วเร่งจากไป พวกนางรู้ดีว่าหนิงฝานอยากพูดคุยกับซูเหยาและเชียนสื่อเพียงลำพัง
“ขลุ่ย?” ซูเหยาหันมองเชียนสื่อราวกับมีนัยบางอย่าง เชียนสื่อเองก็ก้มหน้าด้วยความอาย
“ก็ได้...” นางนำขลุ่ยออกมาจากกระเป๋า
ก่อนหน้านี้เชียนสื่อเคยเป่าขลุ่ยในซูเหยาฟัง และซูเหยาก็บอกว่าคำว่าเป่าขลุ่ยมีความหมายอีกนัย
“เจ้าไม่ต้องอายไปหรอก” หนิงฝานยิ้มพลางทำสีหน้าหยอกล้อนาง แต่นั่นยิ่งทำให้นางอาย
“ขะ...ข้า...” เชียนสื่อผู้เงียบบขรึม ผู้เป็นประมุกเกาะมุกหยกฟ้า และอนาคตนางสวรรค์แห่งตำหนักม่วง ยามนี้กลับเขินอายราวกับสาวน้อยแรกรุ่น
“ถ้าเจ้าไม่อยากเป่าขลุ่ยให้เขา… ข้าจะทำแทนเจ้าเอง” ซูเหยากล่าว
“ข้าแค่ล้อเล่น พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก” หนิงฝานโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ได้ต้องการจะฟัง
“ไม่! ข้าจะทำ!” เชียนสื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นางรู้ว่าหนิงฝานต้องออกเดินทางไปไกล ไม่รู้วันไหนจะได้พบกันอีกครั้ง สิ่งที่หนิงฝานขอไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากนางยังยืนกรานปฏิเสธ นางจะเป็นฝ่ายที่เสียใจไปตลอดชีวิต
“มาที่บ้านข้าเถอะ… ที่นี่มีคนอยู่เยอะเกินไป...” นางรวบรวมความกล้า จับมือหนิงฝานแล้วพาเดินไปที่บ้านของนาง
ซูเหยาตกตะลึง นางคาดไม่ถึงว่าเชียนสื่อผู้เหนียมอายจะกล้าจริงๆ
หลังจากหนิงฝานและเชียนสื่อเข้าห้องไปได้เพียงชั่วธูปไหม้หมดดอก เสียงลมหายใจถี่กระชั้นดังมา นางไม่ได้เป่าขลุ่ยให้หนิงฝานฟังจริงๆ แต่ขลุ่ยในความหมายของซูเหยาและเชียนสื่อ คือการใช้ปากปรนนิบัติหนิงฝานน้อย!
เชียนสื่อยังไม่เชี่ยวชาญนักแม้ซูเหยาจะสอนนางมาบ้าง ยิ่งหากเทียบกับน่าหลานจื่อแล้ว นางยิ่งสู้ไม่ได้...
ชีวิตของเชียนสื่อเริ่มจากเป็นประมุขนิกายในแคว้นเยว่ จากนั้นยกระดับมาเป็นประมุกนิกายมุกหยกฟ้า และในอนาคต นางจะกลายเป็นบุคคลสำคัญของตำหนักม่วง จนทำให้บุรุษมากมายต้องก้มหัวให้
แต่วันนี้ นางตัดสินใจยอมเป็นของหนิงฝานแต่เพียงผู้เดียว นางปลดอาภรณ์ ทอดกายให้หนิงฝานได้ยล ริมฝีปากเล็กๆทำในสิ่งที่นางฝึกฝน จนทำให้หนิงฝานแทบจะสะกดราคะในใจไว้ไม่อยู่
หนิงฝานลูบสัมผัสผมดำสลวยของนาง ลำคอของนาง ไหล่ที่ขาวนวลของนาง และหน้าอกอันอวบอิ่มของนาง...
“สบายหรือเปล่า...” นางก้มหน้าถามด้วยความเขินอาย
“ลองดูเดี๋ยวเจ้าก็รู้!” หนิงฝานพลิกร่างนางขึ้นบนร่างเขา สองมือขยับปรับท่า แยกขาทั้งสองข้าของนางและขยับนางมานั่งคร่อมบริเวณศีรษะของเขา แล้วใช้ลิ้นและปากทำให้นางบ้าง
“อ้า~~” นางตกตะลึง ร่างกายสั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่… ตรงนั้น… มันสกปรก… อื้ม~~”
เสียงที่ลอดออกมาจากห้องนั้นเบามาก หากไม่ตั้งใจฟังก็จะไม่ได้ยิน
หนิงฝานเริ่มเพิ่มความหนักหน่วงของลิ้น จนทำให้ร่างกายของนางสั่นไม่หยุด
เดิมทีที่หนิงฝานมาก็เพิ่มจะมอบผลไม้แห่งเต๋าตัดวิญญาณให้นาง และมาฟังเพลงขลุ่ยของนางอีกสักครั้งก่อนจะออกเดินทาง
แต่ในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ หนิงฝานก็ไม่ปฏิเสธ...