ตอนที่แล้วบทที่ 101 จ่างซุนอู๋จี้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 103 ดอกไม้งามกับขี้วัว

บทที่ 102 องค์หญิงหยุนเฟย


เหตุผลที่เจียงอี้ดึงดันจะเข้าร่วมการชำระโลหิตให้ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะต้องการที่จะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สำนักสามัญให้เร็วที่สุดจากนั้นจึงค่อยหาทางยกระดับเป็นศิษย์ชั้นยอด

ซูรั่วเสวี่ยเคยกล่าวกับเขาไว้ว่า หากเขาไม่มีสถานะของศิษย์ชั้นยอด แม้แต่สิทธิ์ที่จะเหยียบเข้าไปในตำหนักของปรมาจารย์เลี่ยวก็ยังไม่มี

เจียงอี้ต้องรีบหาทางรักษาเจียงเสี่ยวนู๋ จากนั้นเขาก็จะค้นหาสถานที่อันเงียบสงบเพื่อบ่มเพาะพลัง มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่อาจทิ้งโอกาสนี้ไปได้

ตั้งแต่ที่เจียงนี่หลิวรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเขา มันจะต้องส่งคนมาลอบสังหารเขาอย่างแน่นอน จากนั้นพื้นที่ในเขตของสำนักก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไป แทนที่จะรอความตายเยี่ยงคนขี้ขลาด ทำไมเขาถึงไม่ลองเสี่ยงโชคในโลกภายนอกดูล่ะ?

หากเจียงอี้สามารถผ่านการทดสอบ เขาจะถูกเลื่อนขั้นให้เป็นศิษย์สำนักสามัญ หลังจากที่กลับไปถึงสำนัก เขาก็จะสามารถท้าทายศิษย์ชั้นยอดห้าคนเพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์ชั้นยอดมาครอง จากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็จะเหลือเพียงแค่รอให้ปรมาจารย์เลี่ยวกลับมายังสำนักเท่านั้น

แน่นอนว่าเจียงอี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องเข้าร่วมการชำระโลหิตในครั้งนี้ มันเป็นเพราะเจตจำนงแห่งการสังหาร!

เจียงอี้ใช้ความพยายามมากกว่าสองเดือน แต่ก็ยังไม่มีเงื่อนงำเกี่ยวกับเจตจำนงแห่งการสังหาร เขาจำเป็นต้องเข้าไปในสุสานของราชันสวรรค์เพื่อเสี่ยงโชค บางทีคงมีเพียงการต่อสู้ที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตเท่านั้นถึงจะทำให้เขาทำความเข้าใจกับมันได้

ตอนนี้เจียงอี้ราวกับถูกใบมีดจ่อไว้ที่คอตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างเร่งด่วน แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่เพียงพอ โอกาสในการเข้าไปในสุสานของราชันสวรรค์จึงเป็นทางเลือกเดียวของเขา

….…

สามวันผ่านไป

ก่อนที่ฟ้าจะสว่าง ผู้ที่เข้าร่วมการชำระโลหิตต่างก็ตื่นหมดแล้ว พวกเขามาร่วมตัวกันที่ประตูทางทิศใต้ตั้งแต่เช้าตรู่

เจียงอี้ตื่นเช้าด้วยเช่นกัน เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเฉียนว่านก้วนมายืนรอที่ประตูอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มเล็กน้อยและตบไปที่ไหล่ของเจ้าอ้วน

“ว่านก้วน ไม่จำเป็นต้องมาส่งข้าหรอก เจ้ากลับไปนอนเถอะ”

“ฮ่าฮ่า ลูกพี่ ข้าไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อส่งเจ้าสักหน่อย!”

ก้อนไขมันบนใบหน้าของเฉียนว่านก้วนกระเพื่อมเล็กน้อยขณะที่หัวเราะ

“ในสำนักมันน่าเบื่อเกินไป อาจารย์ซูและข้าได้ทำเรื่องขอลาเพื่อที่จะกลับไปเตรียมพร้อมที่ตระกูล ดังนั้นข้าเลยคิดว่าจะไปส่งเจ้าที่สุสานของราชันสวรรค์ก่อน!”

“ไม่ใช่ว่าสุสานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่เมืองหลวงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือหรอกหรือ?”

เจียงอี้แอบตั้งคำถามขึ้นในใจ แต่พริบตาเดียวเขาก็เข้าใจได้ทันที ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนคนนี้จะเป็นห่วงเขามากและต้องการที่จะตามไปส่งจนกว่าจะถึงสุสานให้ได้

เจียงอี้จ้องมองไปยังเฉียนว่านก้วนด้วยความซาบซึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเพียงแค่ตบไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายจากนั้นก็ออกเดินทาง

บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เพียงแค่รำลึกมันไว้ภายในใจก็พอแล้ว

ไม่ว่าเฉียนว่านก้วนจะปฏิบัติกับเจียงอี้ด้วยความจริงใจหรือเพราะผลประโยชน์ แต่เขาก็ยินดีที่จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายในฐานะพี่น้อง และมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

ไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกจากที่พัก ร่างเงาสองร่างก็รีบตรงดิ่งมาหาพวกเขา ดวงตาของเฉียนว่านก้วนเป็นประกายก่อนที่จะตะโกน “พี่อู๋ซวง! แม่นางหลินเอ๋อร์!”

จ้านหลินเอ๋อร์ที่ยังคงปิดบังใบหน้าไว้หันมามองเจียงอี้ด้วยดวงตาที่งดงามดุจดั่งไข่มุก “พี่เจียงอี้”

เจียงอี้ยิ้มและพยักหน้าตอบรับ ในขณะที่คิ้วของเจ้าอ้วนถึงกับกระตุกเนื่องจากถูกเมิน

จ้านอู๋ซวงหัวเราะออกมาเล็กน้อยและกล่าว “เจียงอี้ไปกันเถอะ เจ้ากับข้าไปด้วยกัน… เฉียนว่านก้วน ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้เข้าร่วมการชำระโลหิตหรอกหรือ? กลับไปเถอะ เจียงอี้จะปลอดภัยเมื่ออยู่กับข้า”

เฉียนว่านก้วนยิ้มและกล่าว “ฮิฮิ ข้าได้ขอลาหยุดแล้ว ข้าเพียงแค่ตามมาเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่ข้าจะรอให้พวกเจ้ากลับออกมาจากสุสานของราชันสวรรค์”

“โอ้?”

จ้านอู๋ซวงจ้องมองไปยังร่างของเจ้าอ้วนด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปตบที่ไหล่ของอีกฝ่ายและกล่าว “ประเสริฐ! เจ้าเองก็มีความรู้สึกดั่งพี่น้องเช่นกันรึ? เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”

ท่าทีของจ้านอู๋ซวงในครั้งนี้ทำให้เฉียนว่านก้วนระเบิดความดีใจออกมา เขาพยายามที่จะเป็นสหายกับจ้านอู๋ซวงมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเริ่มยอมรับเขาบ้างแล้ว

เจียงอี้มองไปยังคนทั้งสองพร้อมกับรับรู้ถึงความรู้สึกอันยากจะอธิบายที่อยู่ภายในใจ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ไม่นานนักพวกเขาทั้งสี่ก็ได้เดินทางมาถึงตำหนักทักษิณ

ทันทีที่เจียงอี้ก้าวเท้าออกนอกประตู ดวงตาหลายคู่ก็จับจ้องมายังร่างของเขา เมื่อเขากวาดสายตาไปรอบๆก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก

เจียงเฮิ่นซุ่ย, หลิ่วเหอ, จีทิงยวี่, เจียงฉีหลิน, จ่างซุนเฟยหูและ… เจียงนี่หลิว

พวกเขาเหล่านี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มและถูกรายล้อมด้วยคนนับสิบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขายืนล้อมเจียงนี่หลิวและชายหนุ่มที่สวมชุดสีดำในฐานะแกนกลาง

เจียงอี้เมินเฉยต่อสีหน้าอันซับซ้อนที่เจียงเฮิ่นซุ่ยและหลิ่วเหอแสดงออกมา ดวงตาของเขาเหลือบมองไปที่จีทิงยวี่เล็กน้อยและแอบถอนหายใจ นางกับศิษย์สตรีอีกคนยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แม้ว่าจะแสดงท่าทีเฉยเมย แต่มันก็เป็นสัญญาณว่านางได้กลายเป็นสมาชิกพรรคพวกของเจียงนี่หลิวไปแล้ว

เจียงอี้ดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็วและมองตรงไปที่เจียงนี่หลิว พวกเขาทั้งสบตาพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารผ่านทางสายตา

“มันคือเจียงอี้?”

จ่างซุนอู๋จี้จ้องเขม็งไปยังร่างของเจียงอี้ด้วยสายตาอันเย็นยะเยือก แต่ไม่นานนักความสนใจของเขาก็ถูกแย่งไปโดยบุคคลที่สามที่ก้าวออกมาจากประตูของตำหนักทักษิณ รอยยิ้มอันชั่วร้ายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเป็นมิตรในเสี้ยววินาที

“องค์หญิงหยุนเฟย!”

ใครบางคนอุทานขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเจียงอี้, จ้านอู๋ซวงหรือเฉียนว่านก้วน สายตาของพวกเขาทั้งสามคนต่างก็จับจ้องไปยังร่างของคนผู้เดียว

ศิษย์สตรีทั้งสามคนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พวกนางสวมใส่ชุดที่ดูเย้ายวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่อยู่ตรงกลาง นางสวมกระโปรงสั้นซึ่งเผยให้เห็นต้นขาอันเรียวยาวและสวมชุดเกราะหนังสีแดงรัดรูปซึ่งเผยให้เห็นสัดส่วนของขนาดหน้าอกอันน่าหลงใหลคู่นั้นของนาง

ช่างเป็นหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์ยิ่งนัก!

เจียงอี้คร่ำครวญในใจ หญิงสาวผู้นี้มีผิวสีน้ำตาลอ่อนราวกับข้าวสาลี ดวงตาของนางงดงามและเผยให้เห็นถึงความดุร้ายซึ่งดูคล้ายกับแม่เสือสาวที่พร้อมจะขย้ำบุรุษเพศทุกคน

“เป็นผู้หญิงที่ไม่เลวเลย!”

จ้านอู๋ซวงเองก็ถูกนางดึงดูดความสนใจเช่นกัน เมื่อจ้านหลินเอ๋อร์เห็นการแสดงออกของพี่ชาย นางจึงเอ่ยหยอกล้อ “จ้านอู๋ซวง ไม่ใช่ว่าท่านเป็นชายชาตรีหรอกรึ? เช่นนั้นก็เดินเข้าไปหานางสิ ท่านมัวรออะไรอยู่?”

“ใช่แล้วๆ!” เฉียนว่านก้วนหัวเราะและกล่าว “องค์หญิงหยุนเฟยอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของนางก็อยู่ที่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หกแล้ว! นางยังมีศาสตร์เวทย์ของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน มีเพียงหญิงสาวเช่นนี้ที่จะเหมาะสมกับพี่อู๋ซวง!”

จ้านอู๋ซวงเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ชายผู้ที่มีชีวิตเพียงเพื่อฆ่าและก้าวสู่ความสำเร็จ ฉะไหนเลยจะให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง? เจียงอี้ ลูกเจี๊ยบตัวนี้เหมาะกับเจ้ามากกว่า”

ฟับ! ฟับ! ฟับ!

เสียงของจ้านอู๋ซวงค่อนข้างดังและดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวทั้งสามในทันที ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็จ้องมองไปยังองค์หญิงหยุนเฟยที่ดูเหมือนจะมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย

“จ้านอู๋ซวง? ทายาทสายตรงของตระกูลเทพสงคราม? ทำไมถึงได้อ่อนแอเช่นนี้? ดูเหมือนว่าตระกูลเทพสงครามในตำนานจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่เขาเล่าลือกันกระมัง?”

ดวงตาของจ้านหลินเอ๋อร์เผยให้เห็นถึงความโกรธ แต่ในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรออกมานั้น นางก็ถูกจ้านอู๋ซวงหยุดไว้ จากนั้นเขาก็กล่าว

“องค์หญิงหยุนเฟย เช่นนั้นข้ากับเจ้ามาประลองกันดีหรือไม่? หากข้าแพ้ ข้าจะยอมเป็นทาสของเจ้าเป็นเวลาหนึ่งปี แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องมอบจุมพิตให้กับเจียงอี้สหายข้า เจ้าคิดว่ายังไง?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด