บทที่ 98 หากมีข้าก็จะต้องไม่มีมัน!
“จีทิงยวี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?”
เจียงอี้ชวนนางเข้ามาในบ้าน เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนรีบนำชามาเสิร์ฟ เขาหันมาขยิบตาให้กับเจียงอี้และออกจากห้องไปอย่างรู้งาน
จีทิงยวี่ยกถือถ้วยน้ำชาด้วยมืออันเรียวงามของนางและจิบไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็กล่าว “ในตอนที่พวกเราเพิ่งจะเข้าร่วมกับสำนักจิตอสูร ข้าก็ได้เสริมสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานการบ่มเพาะพลังของข้าและเริ่มการทำภารกิจเพื่อสะสมคะแนน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมเยียนเจ้านัก”
“จริงสิ ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกทำร้ายโดยสัตว์อสูรที่ทรงพลัง ตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
“ก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ซูสังหารเจ้าสัตว์อสูรตนนั้นไปแล้วและพวกเราก็ได้รับการช่วยเหลือจากสำนัก”
เมื่อเจียงอี้กล่าวจบ เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพลังจากร่างของจีทิงยวี่ เขายิ้มออกมาและกล่าวต่อ
“ขอแสดงความยินดีกับแม่นางจีสำหรับการทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งปีใช่หรือไม่? ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
“อุฟฟ!”
จีทิงยวี่หัวเราะออกมา “หากมันออกมาจากปากคนอื่น ข้าก็อาจจะดีใจอยู่บ้าง เจ้าก็รู้นิว่าข้านั้นใช้ทรัพยากรของตระกูลไปมากมายและยังฝึกฝนตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ดูเจ้าสิ? ไม่เจอกันเพียงไม่นานแต่กลับทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกแล้ว ด้วยความเร็วระดับนี้ ใครจะกล้าโอ้อวดต่อหน้าเจ้ากัน?”
เจียงอี้ถูจมูกด้วยความเคอะเขินและยิ้ม เขาพึงพอใจกับความเร็วในการบ่มเพาะพลังในตอนนี้มาก แต่ก็น่าเสียดายที่ผนึกในตันเทียนของเขาถูกทำลายช้าไปหน่อย ทำให้ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตัวเขากับเหล่ายอดอัจฉริยะที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน
การเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่ทรงพลังอย่างปีศาจน้ำแข็งทำให้เจียงอี้ตระหนักถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งมากขึ้น หากปราศจากพลังก็จะไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้
“และเจ้า…”
จีทงยวี่ดูลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดนางก็กัดริมฝีปากและกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพูดให้เจ้ารู้สึกแย่… แต่เจ้าไม่ควรที่จะสร้างศัตรูในสำนัก ตั้งแต่ที่ได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูร เจ้าก็ได้ยั่วยุตระกูลเจียงและตระกูลจ่างซุนไปเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็แสยะยิ้มออกมาและกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าไมได้ต้องการที่จะสร้างความบาดหมางกับพวกมัน แต่เป็นพวกมันเองที่ยั่วยุข้าก่อน แม้ว่าข้าจะสามารถอดทนต่อหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่มันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่”
“ก็ถูกของเจ้า”
ดวงตาของจีทิงยวี่เปล่งประกายขณะที่นึกบางอย่างได้ “จริงสิ! ไม่ใช่ว่าท่านเจียงหยุนไฮ่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกหรอกหรือ? ข้าว่าเจ้าน่าจะขอให้เขาไปเจรจากับตระกูลเจียง… เพื่อที่จะได้เปลี่ยนจากศัตรูให้กลายเป็นมิตร เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากไปสร้างความเกลียดชังให้กับตระกูลเจียง”
“เจ้าก็รู้นิว่าเจียงเปี๋ยหลียิ่งใหญ่ขนาดไหน บุตรชายของเขาเองก็ยังเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนผู้นี้จะสามารถสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาของเขา มันไม่คุ้มค่าเลยที่เจ้าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา”
เมื่อฟังคำแนะนำของจีทิงยวี่จนจบ การแสดงออกทางสีหน้าของเจียงอี้ก็เปลี่ยนไป เขาจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่ายและกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “จีทิงยวี่ หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นสหายคนหนึ่ง ก็อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกในอนาคต เจียงนี่หลิวและข้ามีความแค้นจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสันติ!”
“เห้ออ… ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นแบบนี้นะ?”
สีหน้าของจีทิงยวี่หม่นหมองลง จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะและกล่าว “เจียงอี้ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมีความมั่นใจและมีไพ่ตายจำนวนมาก แต่สำหรับบางคนหรือบางตระกูล มันก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ เจ้าฟังคำแนะนำของข้าเถิด อย่าได้เป็นศัตรูกับพวกเขาเลย ไม่เช่นนั้น วันหนึ่งเจ้าอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน จากนั้นไม่นานเขาก็หันกลับมามองจีทิงยวี่และกล่าวด้วยความหนักแน่น
“ทิงยวี่ ข้าเองก็ขอแนะนำเจ้าเช่นกัน… จงอย่าได้ใกล้ชิดกับตระกูลเจียงและตระกูลจ่างซุนมากเกินไป มิฉะนั้นในอนาคต เราคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกต่อไป!”
เจียงอี้รู้ดีว่าจีทิงยวี่เป็นหญิงสาวที่มีความทะเยอทะยานและต้องการที่จะแต่งงานกับตระกูลชั้นสูงที่ทรงอิทธิพล แต่เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยจนกระทั่งนางเอ่ยปากชื่นชมเจียงนี่หลิว สิ่งนี้เองที่ทำให้เขามีโทสะขึ้นมา
เจียงอี้และเจียงนี่หลิวอาจเป็นพี่น้องต่างมารดา แต่พวกเขาก็ไม่มีวันที่จะกลายเป็นพี่น้องที่แท้จริงได้ พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่คอยแต่จะหาทางสังหารอีกฝ่าย หากจีทิงยวี่เลือกเจียงนี่หลิว นางก็จะกลายเป็นศัตรูของเจียงอี้ด้วยเช่นกัน!
“เจ้า..!!”
จีทิงยวี่โกรธจนตัวสั่น แต่สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาและกลับออกไปด้วยความผิดหวัง
“ลูกพี่ เจ้าต้องระวังผู้หญิงคนนี้ให้ดี”
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนจ้องมองไปยังแผ่นหลังของจีทิงยวี่อย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็กล่าว “ผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจนัก นางใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถสร้างความหลงใหลให้กับเจียงฉีหลินและนายน้อยตระกูลจ่างซุนผู้หนึ่ง”
“แต่ตามความคิดของข้า ข้าคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงของนางคงจะเป็นเจียงนี่หลิวหรือไม่ก็ประมุขน้อยตระกูลจ่างซุน,จ่างซุนอู๋จี้ เสียมากกว่า”
“เห้ออ!”
เจียงอี้ถอนหายใจ เขาคิดเสมอว่าจีทิงยวี่เป็นสหายคนหนึ่ง แต่เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากเฉียนว่านก้วนและคำพูดของนางก่อนหน้านี้มารวมกัน เจียงอี้ก็รู้แล้วว่าบางทีสหายคนนี้อาจจะไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาคิด
“โอ้ ใช่แล้ว!”
เฉียนว่านก้วนนึกบางสิ่งออกและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “บุตรชายของประมุขตระกูลเจียงของเจ้า, เจียงเฮิ่นซุ่ย และหลิ่วเหอ พวกมันได้กลายเป็นคนติดตามของเจียงฉีหลินเมื่อไม่นานมานี้ ข้าว่าอีกไม่นาน เจียงนี่หลิวคงจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแล้ว”
“ช่างหัวมัน ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลังต่อแล้ว”
เจียงอี้ส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเท่านั้น
….…
ไม่กี่วันต่อมา ในขณะที่ซูรั่วเสวี่ยยังคงพักฟื้นอยู่นั้น กลุ่มของเจียงอี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์อสูร ดังนั้นเขาจึงสามารถบ่มเพาะพลังได้ทั้งวันทั้งคืนและใช้เวลาที่เหลือในการทำความเข้าใจกับเพลงดาบพิรุณโปรยปราย
เจียงหยุนไฮ่ขอให้คนของเฉียนว่านก้วนนำเม็ดยามาให้เจียงอี้เพิ่มเพื่อช่วยให้เขาสามารถฝึกฝนได้เร็วยิ่งขึ้น ในเย็นของวันที่สี่ หลังจากที่เจียงอี้ฝึกฝนเสร็จและกำลังจะไปกินข้าว เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีสาวงามมารอพบเขา
“อาจารย์ซู!”
เจียงอี้ประหลาดใจเมื่อเห็นร่างอันงดงามของนางมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา
ซูรั่วเสวี่ยยืนอยู่ที่ลานด้านนอก นางเหลือบมองเฉียนว่านก้วนด้วยสายตาอันเย็นชาและกล่าว “เฉียนว่านกก้วน เจ้าออกไปรอข้างนอกสักครู่ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจียงอี้”
“ก็ได้” เฉียนว่านก้วนหันมายิ้มให้กับเจียงอี้และสะบัดก้นจากไป
“อาจารย์ซูมาหาข้าในเวลานี้ ท่านมีอะไรจะคุยกับข้าหรือ?”
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
สีหน้าของซูรั่วเสวี่ยยังคงไว้ด้วยความเย็นชา นางไม่สนใจเจียงอี้และเดินเข้าไปในที่พัก เจียงอี้เองก็รีบตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยตรวจสอบแล้วว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง นางก็เปิดปากพูด
“เจียงอี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าผู้ที่สังหารปีศาจน้ำแข็งแท้จริงแล้วคือเจ้า?”
เจียงอี้ตกตะลึง จากนั้นเขาก็กลอกตาไปมาและกล่าว “อาจารย์ซู มุกนี้ไม่ตลกเลยนะ ข้าอาจจะไม่ได้เรียนสูงนัก แต่ท่านอย่าได้หลอกข้าจะดีกว่า…”
ถึงอย่างนั้นซูรั่วเสวี่ยก็ยังคงแสดงสีหน้าจริงจังออกมา จากนั้นก็เอ่ย “เจ้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไปแล้วจริงๆ? เจ้าไม่รู้หรือว่าตัวเองได้เข้าถึง… เจตจำนงแห่งการสังหารแล้ว?”
“เจตจำนงแห่งการสังหาร?”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้และทำให้ร่างของเขาถึงกับสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเบิกกว้างและรีบหันไปถามซูรั่วเสวี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“อาจารย์ซู ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกข้า?”
“เจ้ามีอะไรดีถึงทำให้ข้าต้องหลอกเจ้า?”
ซูรั่วเสวี่ยถลึงตาใส่เจียงอี้ก่อนที่จะเอ่ยต่อ “เจียงอี้ เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธของเจ้าคือพลังอย่างหนึ่งและข้าคิดว่าเจ้ายังไม่สามารถควบคุมมันได้ ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะเตือนให้เจ้าหาเวลาในการวิเคราะห์มัน”
“เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธยังเป็นพลังที่เติบโตไปพร้อมกับระดับการบ่มเพาะของเจ้าของ มันจะมีประโยชน์ต่อเจ้ามากมายนักในอนาคต”
“ควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์?”
เจียงอี้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงและสับสน เขาไม่รู้ตัวมาก่อนด้วยซ้ำว่าตัวเองสามารถปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการสังหารออกมาได้ แล้วแบบนี้เขาจะควบคุมมันได้อย่างไร?!