บทที่ 97 สาวงามกำลังมองหาเจ้า
เหตุการณ์การอาละวาดของปีศาจน้ำแข็งทำให้เกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น ศิษย์นอกสำนักจำนวนมากและพวกเขาต้องไปตามล่าสัตว์อสูรทุกวัน หากไม่มีการรับรองความปลอดภัยใดๆใครจะกล้าทิ้งชีวิตไปเสี่ยงอีก?
เจ้าสำนักจูเก๋อโกรธมากและสั่งให้ทำการสอบสวนอย่างละเอียด แต่โดยไม่คาดคิดที่สมาชิกทั้งหมดของทีมลาดตระเวนพร้อมกับหัวหน้าหน่วยเล็กฆ่าตัวตายเพื่อหนีการลงโทษ ไม่มีทางที่จะตรวจสอบแม้ว่าเจ้าสำนักจูเก๋อต้องการที่จะตรวจสอบ
เจ้าสำนักจูเก๋อจึงออกคำสั่งให้เพิกถอนสถานะหัวหน้าเหล่าหน่วยลาดตระเวนของกู้ซานเหอและให้รองเจ้าสำนักรับหน้าที่แทน นอกจากนี้เขายังประกาศว่าเหล่าศิษย์ที่เสียชีวิตจะถูกฝังอย่างมีเกียรติและชดเชยด้วยเงินจำนวนมหาศาล หลังจากเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้พวกเขาทำได้เพียงระงับความเจ็บปวดไปบ้าง
เจียงอี้ตื่นขึ้นมาในวันถัดไป ร่างกายของเขาอาจไม่ได้รับบาดเจ็บมากมาย แต่เขาก็ยังอ่อนแอมาก เขาตื่นขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกลับไปนอนหลับสนิทเช่นเดิม
หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว เขากระพริบตาปริบๆและรู้สึกว่าร่างกายของเขาหายดีแล้ว แต่ท้องของเขาดังก้องไปด้วยความหิว เขาลุกขึ้นและมองไปรอบๆและรู้ว่าเขาอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย ห้องพักหรูหราและไม่มีใครอยู่ในนั้น
"นี่ข้ายังไม่ตายเหรอ?ที่นี่ที่ไหน?ใครช่วยข้ากันนะ?"
เจียงอี้อยู่ในอาการงุนงง เขาจำได้เพียงว่าปีศาจน้ำแข็งวิ่งตรงไปหาซูรั่วเสวี่ยก่อนที่เขาจะหมดสติ ในตอนนั้นไม่มีผู้เชี่ยวชาญในบริเวณนั้น เขาน่าจะตายไปแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่เข้าใจอะไรเลย ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนความหิวโหยในท้องของเขาได้ เขาอยากยืนขึ้นเพื่อหาอาหารและข้อมูลแต่เขาอ่อนแอเกินไปและร่างกายของเขาล้มลงกับพื้น หัวของเขากระแทกกับโต๊ะกลมเล็กๆและปัดถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะแตก
"แม่เจ้า!"
หญิงสาวที่แต่งตัวเหมือนเด็กรับใช้ที่อยู่นอกห้องตกใจ นางเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเห็นเจียงอี้ที่พยายามดิ้นรนเพื่อยืนขึ้น นางถามอย่างรวดเร็วว่า "นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?"
"เจ้าเป็นใคร?ที่นี่ที่ไหน?" เจียงอี้ถาม
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะคิกคัก "นี่คือตำหนักของรองเจ้าสำนักฉีเจ้าค่ะและข้าเป็นสาวใช้ของรองเจ้าสำนักฉี นายน้อยโปรดนั่งลงก่อน รองเจ้าสำนักฉีออกไปข้างนอกและนางจะกลับมาเร็วๆนี้เจ้าค่ะ"
"รองเจ้าสำนักฉีเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้?"
ใจของเจียงอี้ตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงซูรั่วเสวี่ยและกลุ่มของเฉียนฟู่ จากนั้นเขาก็ถามอย่างหงุดหงิดว่า "อาจารย์ซูและเฉียนฟู่กับคนของเขาได้รับการช่วยเหลือหรือยัง?" สาวใช้ยิ้มและพูดว่า "อาจารย์ซูเป็นผู้ฆ่าปีศาจน้ำแข็ง นางอยู่ห้องถัดไปและนางคงตอบคำถามได้ดีกว่าข้าเรื่องเหตุการณ์ตอนนั้นเจ้าค่ะ"
"เข้าใจแล้ว!"
เจียงอี้เป็นห่วงเรื่องเฉียนฟู่และคนอื่นๆ เขาพยายามลุกขึ้นและเดินกะเผลกไปยังห้องถัดไป
เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง ซุรั่วเสวี่ยก็ตื่นอยู่แล้ว นางนั่งเอนกายและอ่านหนังสือของนาง ผมยาวสีดำของนางไม่ได้หวีและมันก็เหมือนสายน้ำตกบนไหล่ของนาง เจียงอี้มองไปที่มุมด้านข้างของนาง ใบหน้าที่มีเสน่ห์เช่นนั้นถึงกับทำให้เขาล้ม
ซูรั่วเสวี่ยหันกลับมามองและเห็นภาพที่กำลังหลงใหลในดวงตาของเจียงอี้ที่จ้องมองนาง ทันใดนั้นนางก็นึกถึงตอนที่เจียงอี้ตกลงมาบนร่างของนางที่ภูเขาตอนนั้น ใบหน้าของนางแดงก่ำทันทีและนางมองสาวใช้ด้วยสายตาที่ตำหนิ "เสวี่ยเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่ามีคนเข้ามาล่ะ?"
เมื่อเจียงอี้ได้สติ เขาถามอย่างลุกลนว่า "อาจารย์ซู เฉียนฟู่และคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง?"
ซูรั่วเสวี่ยจัดเสื้อคลุมของนางและสางผมยุ่งๆของนาง จากนั้นนางตอบว่า "พวกเขาสบายดี เจ้าไม่ต้องกังวลพวกเขายังไม่ตายและกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น"
"โอ้ เยี่ยมเลย"
ในที่สุดเจียงอี้ก็โล่งอกอย่างสมบูรณ์ หากพวกเขาตายไปหมดเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เฉียนว่านก้วนฟังอย่างไร เขารู้สึกอ่อนแอและควบคุมตัวเองไม่ได้ก่อนที่จะไปนั่งที่โต๊ะข้างๆเตียง จากนั้นเขาก็หันศีรษะของเขาไปถามสาวใช้อย่างงุ่มง่าม “พี่สาว...เจ้าช่วยหาของกินให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
"รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ" เมื่อนางถูกเรียกในฐานะพี่สาวของเจียงอี้ นางก็ระเบิดความดีใจออกมาและออกไปข้างนอกทันที
หลังจากสาวใช้ออกไป เจียงอี้ก็หันกลับมามองตาซูรั่วเสวี่ยโดยไม่รู้ตัว เมื่อทั้งสองสบตากัน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสองในห้อง และซูรั่วเสวี่ยกำลังสวมชุดนอนของนาง?
"ฮะ…"
ซูรั่วเสวี่ยหลบตาของนางทันทีและมีประกายสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง นางเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้พูด นางไม่สามารถไล่เจียงอี้ออกไปได้ใช่ไหม? ตอนนี้เขาอ่อนแอมากและอาจเป็นเหมือนศพตลอดทางกลับ
เจียงอี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรในตอนนี้และบรรยากาศภายในห้องนี้ก็กลายความน่าอึดอัดใจ
เอ๊ะ ข้ากำลังจะพูดอะไร?
เจียงอี้หยุดก่อนที่จะพูดอย่างตั้งใจว่า "อาจารย์ซู ข้าจะออกไปเมื่อข้ากินเสร็จแล้ว โอ้ใช่แล้ว ... ขอบคุณที่ช่วยข้า หากท่านมีอุบัติเหตุใดๆในอนาคต ข้า เจียงอี้จะไม่บ่นอะไร แม้ว่าข้าจะต้องปีนภูเขาที่มีอุปสรรคมากมายหรือจะต้องผ่านทะเลเพลิงก็ตาม"
หลังจากเจียงอี้พูดเช่นนี้ ซูรั่วเสวี่ยก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป นางกระพริบตาเหมือนแก้วใสๆและถามว่า "เจียงอี้ เจ้าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?"
"อื้อ!"
เจียงอี้พยักหน้าหงึกๆและตอบว่า "ข้าเห็นปีศาจน้ำแข็งวิ่งเข้าหาท่าน แล้วข้าก็เป็นลมจากความปั่นป่วนที่ถูกครอบงำและลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง เกิดอะไรขึ้นหรืออาจารย์ซู?"
เมื่อซูรั่วเสวี่ยได้ยินเสียงฝีเท้าของสาวใช้ นางไม่พูดอะไรมากและลดเสียงของนางลง "หลังจากที่เจ้ากินและนั่งพักผ่อนเสร็จแล้วก็กลับไปที่ตำหนักประจิมจนกว่าอาการบาดเจ็บของข้าจะหายดี พวกเจ้าทุกคนไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์อสูรใดๆ โดยเฉพาะเจ้า อย่าออกนอกเขตสำนักเด็ดขาด! มีบางสิ่งที่ข้าต้องบอกเจ้าในภายหลัง "
"โอ้!"
เจียงอี้ค่อนข้างสับสน แต่เขาไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติม เขารีบกลืนข้าวต้มชามใหญ่ที่เสิร์ฟโดยสาวใช้ เมื่อข้าวต้มทั้งชามลงไปอยู่ในท้องของเขา เขาก็เลียริมฝีปากของเขาและมองสาวใช้อย่างกระวนกระวาย "พี่สาว ข้าขอเพิ่มได้ไหม?"
สาวใช้รู้สึกตกใจกับมารยาทบนโต๊ะอาหารของเจียงอี้และพยักหน้าทันที "ยังมีเหลืออยู่ ข้าจะไปนำมาให้นะเจ้าคะ"
"ฮิ! แค่นี้ก็พอแล้ว!"
ซูรั่วเสวี่ยหัวเราะและพูดว่า "เจียงอี้ แก่นแท้พลังเจ้าแทบจะไม่เหลือ มันจะไม่ดีสำหรับร่างกายของเจ้าหากกินมากเกินไป พักก่อนแล้วค่อยกลับไปที่ตำหนักประจิม"
เจียงอี้พยักหน้าและยิ้มให้ซูรั่วเสวี่ย เขายืดร่างของเขาและรู้ว่าเขาฟื้นตัวเล็กน้อย เขากล่าวคำอำลากับซุรั่วเสวี่ยและออกมาพร้อมกับสาวใช้
หลังจากออกจากตำหนักรองเจ้าสำนักฉีแล้ว เจียงอี้ก็เดินไปจนถึงตำหนักประจิม เขาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องรับแขกของเขา เมื่อเขาเข้าไปในตำหนัก ร่างที่มีรูปร่างคล้ายลูกบอลก็วิ่งออกมาและตะโกนออกมาจากระยะไกล "ลูกพี่! เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม เจ้าทำข้ากังวลแทบตาย!"
เจียงอี้ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว เขาถามในขณะที่โทษตัวเองว่า "เฉียนฟู่เป็นอย่างไรบ้างและคนอื่นๆล่ะ เห้อ…ข้ามีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้พวกเข้าเป็นเช่นนี้"
“ไม่เป็นไร พวกเขาจะไม่ตาย แต่ขาข้างหนึ่งของเฉียนจวินหัก”
การแสดงออกของเฉียนว่านก้วนเย็นชาลงและเขาลดเสียง "ลูกพี่ สิ่งนี้ถูกจัดฉากขึ้นโดยเจียงนี่หลิว กู้ซานเหอเป็นขี้ข้าแก่ตระกูลเจียง คนอื่นๆอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่ข้ามั่นใจในเรื่องนี้"
"เป็นเขาหรือ?"
ดวงตาของเจียงอี้เผยจิตสังหารออกมา พวกเขาเกือบเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ เจียงนี่หลิวคนนี้อาจจะดูเป็นขุนนางที่ถ่อมตัว แต่เจียงอี้ไม่ได้คิดว่าเขาจะใจแคบเหมือนเจียงฉีหลินแต่เห็นได้ชัดว่าเจียงนี่หลิวหลักแหลมมาก แม้ว่าบางคนจะคาดว่าเขาเป็นผู้บงการ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลย และไม่มีใครเชื่อเลยแม้ว่าข่าวลือจะกระจายไปทั่ว
"ข้าขอเวลาหนึ่งปี ข้าจะชำระแค้นหนี้เลือดของเฉียนจวินให้ได้!"
เจียงอี้มีสายตาเย็นชาบนใบหน้าของเขา เขาคงเพิกเฉยหากเจียงนี่หลิวพยายามลอบสังหารเขา แต่เฉียนฟู่และคนอื่นๆได้รับบาดเจ็บ เฉียนจวินขาหัก ทำให้ศิษย์คนอื่นๆเสียชีวิตไปมากกว่าสิบคน เขาไม่สามารถเฉยกับเรื่องนี้ได้ เขาต้องการเพียงหนึ่งปี เขามั่นใจว่าพลังของเขาจะเกินเจียงนี่หลิวและมันเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเขาในการชำระแค้นหนี้เลือดนี้
หลังจากเดินจากตำหนักอุดรไปตำหนักประจิม เจียงอี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้า เขาตั้งใจพูดกับเฉียนว่านก้วนสักพักก่อนจะไปพักผ่อนในห้องของเขา ขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้องเขาได้ยินเสียงตะโกนของเฉียนว่านก้วน "ลูกพี่ มีสาวงามกำลังมองหาเจ้า"
เจียงอี้มองออกไปและเห็นร่างที่สวมชุดสีเหลืองสดใส จีทิงยวี่ยืนอยู่ที่ลานกว้างและยิ้มให้เขา หญิงสาวที่สวยงามนางนั้นเหมือนดอกโบตั๋นที่บานและแพรวพราวจนสามารถทำให้ผู้คนอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ