บทที่ 96 ตรวจสอบ!
ในขณะเดียวกับที่ซูรั่วเสวี่ยพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น ร่างเงานับสิบร่างก็เร่งฝีเท้าขึ้นมาบนภูเขา ผู้นำกลุ่มเป็นชายวัยกลางคนซึ่งสวมชุดเกาะสงครามสีน้ำเงิน
เขากวาดสายตามองรอบๆจนเห็นร่างของปีศาจน้ำแข็งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นจากนั้นก็หันไปมองซูรั่วเสวี่ยและเจียงอี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปและดูมืดมน จากนั้นก็ตะโกน “มันเกิดอะไรขึ้น?! ทำไมสัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ถึงมาอยู่ในบริเวณนี้ได้? ไปหาตัวคนที่ปล่อยปะละเลยหน้าที่จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากมันขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้เลย!”
ใบหน้าที่แสดงออกถึงความดูถูกของซูรั่วเสวี่ยจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยใบหน้าอันเย็นชา “หัวหน้ากู้ ท่านควรจะหาทางช่วยเหลือคนที่อยู่ที่นี่ก่อน รองเจ้าสำนักฉีคงจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะตามมาในไม่ช้า หากมีคนตายมากขึ้น เกรงว่าคงเป็นหน่วยของท่านที่จะถูกตำหนิ”
“ใช่ ใช่แล้ว! มันเป็นเพราะความประมาทของข้า ข้าจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด!” กู้ซานเหอไม่โต้แย้งและออกคำสั่งทันที “พวกเจ้าจะเดินไปรอบๆหาอะไร?! รีบไปช่วยคนเร็วเข้า!”
สมาชิกของหน่วยราดตระเวนกระจายตัวและรีบออกค้นหาผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้ซูรั่วเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเฉียนฟู่จะยังไม่ตายแต่ร่างของเขาก็ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์อีกหลายสิบชีวิตที่ตายไปตั้งแต่การโจมตีระลอกแรกของปีศาจน้ำแข็ง
“อาจารย์ซู ท่านจะให้ข้าส่งท่านกลับไปก่อนดีหรือไม่?”
กู้ซานเหอเอ่ยถามซูรั่วเสวี่ยด้วยความกังวลและแสร้งทำเป็นช่วยนาง ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่สมาชิกจากหน่วยลาดตระเวนผู้หนึ่งและขยิบตาส่งสัญญาณ จากนั้นชายคนนั้นก็รีบเดินตรงไปที่เจียงอี้และทำเป็นว่าจะช่วยเหลือเขา
“ไม่ต้องสนใจข้า อาการบาดเจ็บของข้าไม่ได้ร้ายแรงนัก ข้าจะรอรองเจ้าสำนักฉีอยู่ที่นี่”
ซูรั่วเสวี่ยไม่สนใจความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายและหันไปมองเจียงอี้ที่อยู่ใกล้ๆ “ยังไม่ต้องยุ่งกับศิษย์คนนี้ บาดแผลของเขาไม่ได้สาหัส พวกเจ้าไปช่วยคนอื่นก่อนเถิด”
ซูรั่วเสวี่ยไม่กล้าจากไปเพราะนางกลัวว่าคนพวกนี้จะใช้วิธีการสกปรกลอบสังหารเจียงอี้ ก่อนที่รองเจ้าสำนักฉีจะมาถึง นางจะไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น
“ก็ได้”
กู้ซานเหอดึงมือกลับไปด้วยความอับอาย จากนั้นเขาก็เบนความสนใจไปที่ร่างของปีศาจน้ำแข็งและกล่าว “อาจารย์ซู ใครคือผู้ที่สังหารปีศาจน้ำแข็งตนนี้?”
“จะเป็นใครล่ะ?”
ซูรั่วเสวี่ยหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกและกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าอยู่แล้ว แต่ข้าหวังว่าหัวหน้ากู้จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”
“แน่นอนๆ!”
กู้ซานเหอส่งเสียงหัวเราะและรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าพลังของซูรั่วเสวี่ยจะไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่สถานะของนางก็ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถเทียบได้ มันเป็นเรื่องปกติที่นางจะมีไพ่ตายที่เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ซูรั่วเสวี่ยก้มหน้าลงและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงเล็กน้อย ที่นางกล่าวออกไปแบบนั้นเป็นเพราะว่าต้องการที่จะช่วยเหลือเจียงอี้
หากคนกลุ่มนี้รู้ว่าเจียงอี้คือผู้ที่สังหารปีศาจน้ำแข็งและรู้ว่าเขาเข้าถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธได้แล้ว ซูรั่วเสวี่ยกลัวว่าพวกเขาจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเจียงอี้ออกไปให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่ายังไงพรสวรรค์และศักยภาพของเด็กคนนี้ก็น่าตกตะลึงเกินไป เขาจะกลายเป็นหายนะสำหรับคนพวกนี้ในอนาคต
ฟึ่บ!
ในเวลาไม่นานนัก กลุ่มคนกลุ่มใหม่ก็ได้มาถึง ด้านหน้าของกลุ่มถูกนำด้วยรองเจ้าสำนักฉี นางมีผมสีเงินและมือข้างหนึ่งก็ถือไม้เท้าไว้ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่งและว่องไวราวกับจิ้งจอก
เมื่อนางมาถึง นางก็กวาดสายตาไปรอบๆและตะโกนด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “กู้ซานเหอ! เจ้ามันไม่ได้เรื่อง! หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย เจ้าจงไปรับโทษจากเจ้าสำนักจูเก๋อด้วยตัวเอง!”
หลังจากที่กล่าวจบ รองเจ้าสำนักฉีก็ไม่ได้ให้ความสนใจกู้ซานเหออีกต่อไป นางหันไปมองซูรั่วเสวี่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเอ่ยถาม
“รั่วเสวี่ย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ใครก็ได้พารั่วเสวี่ยกลับไปพักที”
อาจารย์หญิงผู้หนึ่งรีบเข้ามาพยุงซูรั่วเสวี่ย ในขณะเดียวกันรองเจ้าสำนักฉีก็หันไปตำหนิกู้ซานเหออีกครั้งก่อนที่จะเตรียมตัวกลับสำนัก แต่ในตอนนั้นเองซูรั่วเสวี่ยก็รีบกล่าว “ท่านรองเจ้าสำนัก พาเจียงอี้กลับไปพร้อมกันเถิด หากไม่ได้เขาช่วยไว้ ข้าก็คงจะไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรตนนี้ได้ เขามีผลงานมากในการต่อสู้ครั้งนี้”
รองเจ้าสำนักฉีพยักหน้า จากนั้นก็สั่งให้อาจารย์ชายผู้หนึ่งนำเจียงอี้กลับไปที่สำนัก
ปั้ง!
หลังจากที่กลุ่มของรองเจ้าสำนักฉีจากไป กู้ซานเหอก็ต่อยไปที่ต้นไม้ด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็หันกลับไปตะโกนใส่คนของเขา “พวกเจ้าจงปักหลักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาฝ่าบาทและท่านเจ้าสำนัก”
…….
เป็นไปตามที่ซูรั่วเสวี่ยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ กู้ซานเหอได้คุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายอันเผด็จการอยู่รอบตัว
“ฝ่าบาท ข้าล้มเหลวเสียแล้วและดูเหมือนว่าซูรั่วเสวี่ยจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางจึงระแวงข้าเป็นพิเศษ…”
เจียงนี่หลิวที่นั่งอยู่ทางด้านหน้า ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง เขาเพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่แยแส “มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าซูรั่วเสวี่ยจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยศิษย์เหล่านั้น ภูมิหลังของนางไม่ธรรมดาและยังมีศาสตร์ลับที่น่ากลัว มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะสามารถสังหารสัตว์อสูรตนนั้นได้”
“ฝ่าบาท พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?” กู้ซานเหอเอ่ยถามด้วยความกังวล
“หาแพะรับบาปและอย่าได้ทิ้งร่องรอยไว้”
เจี่ยงนี่หลิวออกคำสั่ง จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ
“อย่าเพิ่งแตะต้องเจียงอี้เป็นการชั่วคราว ข้าไม่อยากให้ซูรั่วเสวี่ยเกลียดข้า ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องครอบครองหญิงสาวนางนี้ให้ได้”
“เจียงอี้คงไม่อยู่ในสำนักไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง? การแก้แค้นสิบปีก็ไม่นับว่าสายไป”
กู้ซานเหอพยักหน้าและตอบด้วยความเคารพ “ไม่ต้องเป็นห่วงฝ่าบาท ข้าจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอน ข้าจะส่งคนไปปิดปากหน่วยลาดตระเวนเหล่านั้นทันที!”
เจี่ยงนี่หลิวพึมพำบางอย่างกับตัวเองก่อนที่จะเอ่ยถาม “เจียงี้ผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร? ทำไมมันถึงกล้าต่อต้านข้า? คงไม่ใช่ว่ามันไม่มีสถานะอะไรหรอกนะ?”
สีหน้าของกู้ซานเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะยกศีรษะขึ้นและกล่าว “เรื่องนี้ไม่มีความคืบหน้ามากนัก ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนขัดขวางไม่ให้เราส่งคนไปตรวจสอบเบื้องหลังของเจ้าเด็กเจียงอี้ แต่ข้ากำลังสงสัยว่า… มันจะเป็นฝีมือของพวกตระกูลเฉียนขอรับ!”
“จงไปตรวจสอบให้ดี!”
นัยน์ตาของเจียงนี่หลิวเผยให้เห็นความโหดเหี้ยม “เรียกผู้เชี่ยวชาญของตระกูลมาและให้ทำการตรวจสอบโดยไม่ต้องสนใจวิธี หากเฉียนว่านก้วนกล้าที่จะแส่เข้ามาขัดขวาง เช่นนั้นก็จงสังหารมันด้วย!”
…….…
ณ ตำหนักอุดรของสำนักจิตอสูร, ที่พักของรองเจ้าสำนักฉี…
อาการบาดเจ็บของซูรั่วเสวี่ยอยู่ในการควบคุมแล้วและถูกจัดให้อยู่ในห้องๆหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เจียงอี้ก็ถูกนำไปพักฟื้นอีกห้อง หลังจากที่รองเจ้าสำนักฉีนำพวกเขามาที่นี่ นางก็รีบออกไปด้วยความเร่งรีบและกลับมาในเวลาหนึ่งชั่วโมง
นางเดินเข้ามาในห้องที่ซูรั่วเสวี่ยอยู่และเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “รั่วเสวี่ย ข้าไม่สามารถทวงคืนความยุติธรรมให้กับเจ้าได้ กู้ซานเหอได้ลอบสังหารหน่วยลาดตระเวนอย่างลับๆ ทำให้ไม่มีหลักฐานว่าเขาจงใจปล่อยให้สัตว์อสูรตนนั้นหลุดเข้ามา หากไม่มีหลักฐานเพียงพอ เกรงว่าเจ้าสำนักคงจะไม่ฟัง แต่อย่างน้อยกู้ซานเหอก็ถูกปลดออกจากฐานะหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแล้ว”
ซูรั่วเสวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ ใบหน้าของนางก็ซีดขาวอย่างน่าสงสาร นางยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วแหละว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาเช่นนี้ แม้ว่าเราจะมีหลักฐานเพียงพอ เจ้าสำนักจูเก๋อก็จะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเจียงนี่หลิว ตัวเขาและจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันซึ่งเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของพวกเขาด้วย”
“เห้อ ถึงยังไงเจ้าก็หุนหันพลันแล่นเกินไป เจ้าถึงกับเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยลูกศิษย์เหล่านั้น? หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอธิบายกับเสด็จพ่อของเจ้ายังไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังใช้ศาสตร์ลับเพื่อสังหารปีศาจน้ำแข็ง จะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป? ผู้คนจะคาดเดาถึงตัวตนของเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น และหากศัตรูรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าจะต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงในอนาคต”
ซูรั่วเสวี่ยเพียงหัวเราะเบาๆและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ความจริงแล้วนางต้องการที่จะเปิดเผยความจริงที่ว่าเจียงอี้คือผู้ที่สังหารปีศาจน้ำแข็งและยังเกิดการตระหนักรู้ในเจตจำนงแห่งการสังหาร แต่สุดท้ายแล้วนางก็ปกปิดเรื่องนี้ไว้เพราะเกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม!
ชายหนุ่มผู้นี้ได้เสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยซูรั่วเสวี่ยโดยไม่ห่วงชีวิตของตนเอง ดังนั้นนางเองก็ต้องการที่จะปกป้องเขาด้วยเช่นกันและยังต้องการที่จะเฝ้าดูว่าอัจฉริยะผู้นี้จะไปได้ไกลถึงขนาดไหน…?