ตอนที่ 88 มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน
ตอนที่ 88 มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน
เมืองของพวกเราเป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่มีวิทยาลัยแย่ๆเปิดอยู่จำนวนมาก
และวิทยาลัยศิลปะที่ติดอับดับโครตห่วยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก คนที่เป็นคนจนยอมจ่ายเงินเรียนมหาลัยพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่หวังจะได้ใบปริญญามาเท่านั้น
มหาลัยของหยางเฉ่ว มีชื่อว่ามหาลัยศิลปะชิงชาน
อยู่ห่างจากที่ผมอยู่ไม่ไกล ใช้เวลานั่งรถประมาณ 40 นาทีก็ถึงแล้ว
เมื่อผมมาถึง ก็เป็นเวลาบ่ายสอง กว่าๆแล้ว
ผมพึ่งลงรถ ก็เห็นเฟิงเฉ่วหานยืนอยู่ใต้ร่มไม้ตรงป้ายรถเมล์
“เหล่าเฟิง!” ผมตะโกน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเขาทันที
เฟิงเฉ่วหานพูดกับผมด้วยเสียงเย็นชา “งานศพนี่เร็วดีนิ!”
ผมส่ายหัวไปมา “อย่าไปพูดถึงมัน เมื่อคืนยิ่งเกิดเรื่องไม่ควาดคิดอยู่ด้วย!”
เฟิงเฉ่วหานเลิกคิ้วขึ้น เผยใบหน้าสงสัยออกมา “เกิดอะไรขึ้นมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเหรอ”
ผมถอนหายใจ จากนั้นก็เล่าเรื่องหมาผีที่เจอเมื่อคืน
รวมถึงเรื่องที่หมาตัวนั้นกินวิญญาณคน สัญลักษณ์ใต้ท้องของหมา ที่ดูเหมือนหน้าของผีชั่วที่ป่าช้าเก่าแบบสุดๆ ให้เฟิงเฉ่วหานฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง
สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือ เจ้าเดรัจฉานนั่นอาจเป็นผลงานของนักพรตกุ่ย หรือเรื่องนี้อาจเป็นฝีมือ
ของนักพรตกุ่ยอีก
ตัวผมที่ไม่รู้อะไร จึงพูดว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตกุ่ยมากเท่าไหร่ และบอกว่าบางทีอาจเป็นเศษซากที่ถูกทิ้งไว้จากรังผี
เพราะเจ้าเดรัจฉานอยู่ที่อาจารย์ และมันไม่ได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้มากนัก พวกเราจึงพูดถึงมันอย่างละเอียดไม่ได้
หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาหยางเฉ่ว เพื่อบอกให้หยางเฉ่วออกมาเจอกัน
แต่พึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมา เฟิงเฉ่วหานก็บอกผมว่า “ไม่ต้องรีบ ฉันกับอาจารย์เร่ร่อนมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยเข้าไปในมหาลัยเลย พวกเราเข้าไปเดินเล่นกันก่อนเถอะ!”
เฟิงเฉ่วหาทำสีหน้าจริงจัง และแววตาอ้อนวอน
ผมจึงไม่พูดอะไรมาก เก็บโทรศัพท์ในมือ จากนั้นก็พาเฟิงเฉ่วหานเข้าไปในมหาลัยพร้อมกัน
มหาวิทยาลัยเถือนแบบนี้ ยามเฝ้าประตูก็เป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น แม้แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ได้ล็อคประตู
มหาลัยแห่งนี้ใหญ่กว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก แต่มันเก่ามาก และด้านในมหาวิทยาลัยเองก็มีนักศึกษาอยู่จำนวนไม่มากนัก
แต่ผมสองคนพึ่งเดินมาที่สนามกีฬา ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากที่ห่างไกล
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนนักศึกษาที่อยู่รอบๆยังเริ่มวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน
ผมและเฟิงเฉ่วหานหยุดเดิน นี่มันไม่ใช่เวลากินข้าวเหรอ เกิดอะไรขึ้นกันนะ
ผมไม่เข้าใจ จึงดึงนักศึกษาชายคนหนึ่งมาถาม “เฮ้เพื่อน ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
นักศึกษาชายคนนั้นมองผมอยู่ครู่หนึ่ง “น้องชาย นายคงไม่ได้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของเราละซิ”
ผมยิ้มและพยักหน้า “ไม่ใช่ พวกเราเข้ามาหาเพื่อนน่ะ!”
“ถึงว่า ข้างหน้ามีคนกระโดดตึก! เดือนนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ตอนนี้ฉันขอเข้าไปดูก่อนนะว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้โชคร้าย!”
หลังจากนักศึกษาชายพูดจบ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที
ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะมองตามเขา นี่เป็นครั้งที่สามของเดือนนี้งั้นเหรอ
คนทำงานแบบพวกเรา เรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่สุดก็คือคนตาย
หนึ่งเดือนสามครั้ง มันค่อนข้างแปลกแล้ว
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้คิดเลยสักนิด รีบหมุนตัวเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อข้ามสนามกีฬา เดินผ่านตึกเรียนมาหนึ่งหลัง ในที่สุดพวกเราก็เห็นตึกร้างที่สร้างยังไม่เสร็จ
ตึกหลังนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว ด้านบนถึงกับมีหญ้าและพืชต่างๆขึ้นเต็มไปหมด และบางส่วนยังไม่ถูกรื้อถอน จนเผยให้เห็นสภาพตึกที่เป็นโครงเหล็กโทรมๆ
ตอนนี้ด้านหน้าของตึกหลังนี้ มีนักศึกษาจำนวนมากมายืนล้อมรอบเอาไว้
ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ต่างพูดกันว่า “บัดซบ นี่มันไม่ใช่เจ้าโง่ห้องสามที่อยู่ห้องถัดไปเหรอ”
“ใช่ ฉันจำเขาได้ เลวสุดๆ สมควรตายแล้ว!”
“ใช่ ตายแล้วก็ดี! ทั้งสามคนจะได้อยู่ด้วยกัน วันนี้ถือว่าพวกมันประสบความสำเร็จแล้วละ”
“ใช่! ทุกปีต้องตายสามคน ทุกปีที่มหาลัยเปิดฉันต้องกังวลทุกทีว่าจะแขวนคอตาย แต่สุดท้ายฉันก็อยู่รอดมาได้จนถึงปีสี่”
“……”
นักศึกษาที่อยู่รอบๆต่างพูดคุยกัน ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา ผมก็คิดว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดา เพราะมันแปลกเกินไป
คุณชายเฟิงเฉ่วหานผู้เย็นชา ไม่มีทางเข้าไปร่วมวงเม้ากับพวกเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นผมจึงต้องเดินเข้าไปใกล้ๆข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆว่า “นาย เรื่องที่นายพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ทุกปีสามคนอะไรกัน”
นักศึกษาสามคนหันมามองหน้าผม จากนั้นก็พูดว่า “นายไม่ใช่นักศึกษามหาลัยของเราละซิ”
ผมแอบกลอกตา ถ้าฉันเป็นนักศึกษาในมหาลัยพวกนาย แล้วจะเข้ามาถามพวกนายทำเพื่ออะไร
แต่ใบหน้าผมยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! ฉันเข้ามาหาเพื่อนน่ะ!”
“ถึงว่า ฉันจะบอกนายให้นะ! ที่มหาลัยชิงชานของพวกเรา ยังมีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อ คือมหาลัยชิงซาน ทุกปีจะมีคนหายไปสามคน ก็คือตายไปสามคน” นักศึกษาคนนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมละ” ผมทำหน้าสงสัย
“ใครจะไปรู้ละ! แต่ยังไงทุกปีก็ต้องมีคนตายสามคน ตั้งแต่มหาลัยของพวกเราเปิดมา ที่นี่ก็มีคนตายเยอะสุดๆแล้ว!”
ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะตกใจในใจ คิดว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายมากทีเดียว
“เพราะแรงกดดันตอนเรียนเยอะเกินไป หรือว่ามีคนตั้งใจทำเรื่องนี้” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดขึ้นมา
นักศึกษาอีกคนได้ยินคำพูดนี้ จึงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายคิดดูว่ามหาลัยเน่าๆของพวกเรา จะมีแรงกดดันอะไรละ ส่วนเรื่องที่มีคนตั้งใจทำเรื่องนี้ไหม ใครจะไปรู้ได้ แต่ยังไงก็มีคนตายสามคนทุกปี! ทางมหาลัยก็จัดการแบบมุกเดิมๆทุกครั้ง บอกว่าเพราะความรัก เลยฆ่าตัวตาย”
“จากนั้นก็สร้างกระแส แต่เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นฝีมือของผี ฉันเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า เมื่อก่อนที่นี่เคยมีนักศึกษาหญิงถูกข่มขืนแล้วตายหนึ่งคน หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนตายเรื่อยๆ ปีที่แล้วฉันยังเห็นว่าท่านอธิการบดีเชิญนักบวชมาทำพิธีให้ที่นี่ด้วยนะ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะสุดท้ายก็ยังมีคนตายอีกอยู่ดี” นักศึกษาอีกคนพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มืดมนลงทันที เรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ
หลังจากนั้น ผมสองคนก็เบียดนักศึกษาเข้าไป ดูศพที่กระโดดลงมาตาย
แต่หัวของชายคนนี้แตก กระจายเต็มพื้นไปหมด เนื้อทะลักเลือดอาบ จนมองอะไรไม่ออกเลยสักนิด
เมื่อนักศึกษาจำนวนมากเห็นก็คลื่นไส้ อดไม่ได้ที่อ้วกออกมา
แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานกลับทำหน้าจริงจัง มองขึ้นไปบนตึกร้างตามสัญชาตญาณ
ตึกร้างหลังนี้นอกจากจะเก่าแล้ว ยังทำให้คนรู้สึกขนลุกด้วย
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ วินาทีที่ผมมองขึ้นไป
ดูเหมือนผมจะเห็นว่าหน้าต่างของตึก จะมีใครบางคนยืนอยู่
หน้าของคนๆนั้นขาวซีด สวมเสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ดวงตาสีขาวโพนมองลงมาด้านล่าง และมันยังจ้องมาที่หน้าของผมด้วย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกใจอย่างแรง
ผมกระพริบตา อยากมองให้แน่ใจอีกครั้งว่าเป็นอย่างที่เห็นจริงๆรึเปล่า
แต่เมื่อลองมองอีกครั้ง หน้าต่างบานนั้นก็ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว
มันเป็นเพียงหน้าต่างพังๆ ที่มีเถาวัลย์สีเขียวห้อยอยู่สองสามเส้นเท่านั้น ไม่มีอะไรยืนอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด
ผมเริ่มคิดว่าตาลาย แต่ทำไมภาพนี้ถึงต้องปรากฎตอนนั้น แล้วมันเป็นตอนที่ผมหันขึ้นไปมองด้วยนะ ผมเริ่มคิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง ในตึกจะต้องมีอะไรแน่ๆ!”
เฟิงเฉ่วหานเองก็ถอนหายใจ “ใช่! ฉันเองก็ดูออก!”
เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหานมั่นใจ ผมก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ผมกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ทำใจให้สงบอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อสงบลงแล้วผมก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ในเมื่อเข้ามาเห็นแล้ว พวกเราเองก็จะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆก็ไม่ได้……”