บทที่ 92 ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก
สำหรับเวลาที่เหลือ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับเจียงอี้และเฉียนว่านก้วน ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้หย่อนยานในฐานะอาจารย์ นางลอบติดตามลูกศิษย์และคอยยื่นมือช่วยเหลือหากพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
นั่นก็หมายความว่าเจียงอี้และเฉียนว่านก้วนไม่สามารถใช้กลอุบายใดๆได้ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกล่าสัตว์อสูรแต่โดยดี
แต่เมื่อเข้าวันที่สอง เฉียนว่านก้วนก็บังเกิดความคิดอันประเสริฐ เขาขอให้กลุ่มของศิษย์ที่มาจากตระกูลเฉียนคอยติดตามเขาและเจียงอี้ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็จะคอยออกล่าด้วยกันพร้อมทั้งมอบวัตถุดิบที่ได้จากสัตว์อสูรให้กับพวกเขาทั้งสอง
เมื่องานเสร็จสิ้น พวกเขาก็จะมองหาสถานที่ซึ่งสามารถใช้บ่มเพาะพลังหรือพักผ่อนได้ ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้เข้ามายุ่งย่ามกับพวกเขา นางเพียงแค่มองว่างานของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น
เมื่อเจียงอี้กลับไปยังสำนักในทุกๆบ่าย เขาก็จะมุ่งตรงไปยังห้องบ่มเพาะพลังทันทีและฝึกฝนจนถึงเวลาเที่ยงคืนก่อนที่จะกลับไปพักผ่อน การบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่องทำให้ปริมาณแก่นแท้พลังในตันเทียนเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่ผนึกในตันเทียนถูกทำลาย ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่งและด้วยความช่วยเหลือจากแก่นแท้พลังสีดำ ประสิทธิภาพในการดูดซับเม็ดยาก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้วยความสามารถที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะได้ถึงสามเท่าของห้องบ่มเพาะพลัง คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้จะน่ากลัวเพียงใด!
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ คือป่านแล้วแต่เจียงนี่หลิวก็ไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนไหว เรื่องนี้ทำให้เฉียนว่านก้วนถึงกับส่งคนออกหาข่าว ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าแท้จริงแล้วเจียงนี่หลิวกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการบ่มเพาะพลังในตำหนักบูรพาและไม่สามารถที่จะลงมือได้เป็นการชั่วคราว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจียงนี่หลิวถึงได้หายเงียบไปและยังส่งผลให้เจียงอี้กับเฉียนว่านก้วนรู้สึกกังวลมากขึ้น มันมีสำนวนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ‘สุนัขที่กัด มักไม่ค่อยเห่า’
แต่เฉียนว่านก้วนก็รับประกันกับเจียงอี้ว่าอำนาจที่เจียงนี่หลิวมี อย่างมากก็เรียกใช้ได้แค่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ชั้นสูงสุดเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้เจียงอี้รู้สึกหายกังวลใจได้บ้างเพราะอย่าลืมว่าเขายังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอย่างเจียงหยุนไฮ่คอยหนุนหลังอยู่
ในเดือนต่อมา สถานการณ์ยังคงสงบสุข เจียงอี้ยังคงสามารถเพลิดเพลินไปกับการบ่มเพาะพลังเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้
สองสัปดาห์ผ่านไป…
ในวันหนึ่ง เจียงอี้ไม่ได้กลับมายังที่พักในคืนนั้น แม้ว่าจะถึงเวลาที่ต้องรวมตัวเพื่อทำงาน แต่เขาก็ยังคงไม่ปรากฏตัวออกมา หากเฉียนว่านก้วนไม่รู้ว่าเจียงอี้ยังคงอยู่ในห้องบ่มเพาะพลัง เขาคงคิดว่าลูกพี่ของเขาถูกเก็บไปแล้ว
“เฉียนว่านก้วน เจียงอี้อยู่ไหน?” เมื่อซูรั่วเสวี่ยทำการนับจำนวนศิษย์และไม่เห็นเงาของเจียงอี้ คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันและหันไปถามเฉียนว่านก้วนด้วยความสงสัย
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนหันไปทางทิศใต้และเอ่ยตอบ “ลูกพี่น่าจะยังอยู่ในห้องบ่มเพาะพลัง เดี๋ยวข้าจะให้คนไปตามเขาให้”
ฟึ่บบ!
แต่ในช่วงขณะนั้นเอง เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็กระโจนออกมาด้วยความเร็วซึ่งทำให้สีหน้าของผู้คนแสดงความตกตะลึงออกมา แม้แต่ซูรั่วเสวี่ยและเฉียนว่านก้วนก็ยังประหลาดใจ
คนผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจียงอี้ ซูรั่วเสวี่ยหันมามองเขาและเอ่ยถาม “เจียงอี้ เจ้าทะลวงสู่ขั้นที่หกของขอบเขตฉูติ่งได้แล้วรึ?”
เฉียนว่านก้วนเองก็อุทานออกมาด้วยเช่นกัน “ลูกพี่! นี่เจ้าทะลวงระดับได้แล้ว?!”
ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจขณะกล่าวตอบ “ใช่แล้ว ข้าเพิ่งทะลวงผ่านเมื่อครู่นี้เอง”
ลูกศิษย์คนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นการแสดงออกของพวกเขาและเผลอพึมพำออกมา “ก็แค่ทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกไม่ใช่หรือ? มีอะไรให้น่าประหลาดใจ?”
บังเอิญว่าเจียงอี้ก็ได้ยินคำพูดของชายคนนั้นพอดี เขาจึงเอ่ยตอบ “ใช่แล้วแหละ ก็แค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก มันไม่ได้น่าสนใจเลย อย่างน้อยต้องบรรลุให้ถึงขั้นที่แปดหรือเก้าถึงจะพอโอ้อวดได้บ้าง ถูกต้องไหม?”
เฉียนว่านก้วนและซูรั่วเสวี่ยลอบสบตากัน คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่พวกเขารู้จักเจียงอี้ดี โดยเฉพาะซูรั่วเสวี่ย ครั้งแรกที่นางพบกับเจียงอี้คือตอนที่อยู่ในเมืองเทียนอวี่ ในเวลานั้นเขายังเป็นเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่เท่านั้น เพียงเวลาแค่สองเดือนเขาก็สามารถทะลวงสู่ขั้นที่ห้าได้แล้ว และหลังจากนั้นอีกสองเดือนเขาก็สามารถทะลวงระดับได้อีกครั้ง
แม้ซูรั่วเสวี่ยจะรู้ว่าเจียงอี้ได้รับความช่วยเหลือจากห้องบ่มเพาะพลังและเม็ดยา แต่มันก็น่ากลัวเกินไปที่จะสามารถยกระดับการบ่มเพาะในเวลาเพียงแค่สองเดือน หากเขายังสามารถคงความเร็วระดับนี้เอาไว้ได้ อีกไม่นานเขาจะต้องไล่ตามพวกศิษย์สำนักอัจฉริยะได้ทันในเวลาอันสั้น
ที่สำคัญที่สุด ความแข็งแกร่งโดยรวมของเจียงอี้ช่างเป็นอะไรที่ท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก ด้วยความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้า เขาก็สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หนึ่งได้แล้ว
หากเขาสามารถทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในขั้นนี้หรอกหรือ?
“ออกเดินทาง!”
ในขณะที่สายตาของซูรั่วเสวี่ยตกกระทบลงบนร่างของเจียงอี้ นางก็เผลอเปิดเผยมนต์เสน่ห์และความเย้ายวนใจออกมาซึ่งสร้างความงุนงงให้กับบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย แต่พริบตาเดียว นางก็กลับมาเป็นหญิงสาวผู้เย็นชาอีกครั้งและนำกลุ่มของลูกศิษย์ออกจากสำนัก
“ลูกพี่ เจ้ามันเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว! พับผ่าสิ! แค่สองเดือน ความแข็งแกร่งของเจ้าก็ยกระดับขึ้นอีกแล้ว!”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนเต็มไปด้วยความหวัง สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือศักยภาพและสถานะของเจียงอี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถคาดหวังกับสถานะของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป แต่เขาก็พึงพอใจกับความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้เป็นอย่างมาก ต้องทราบก่อนว่า แม้แต่อัจฉริยะก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีในการเลื่อนระดับจากขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าไปยังขั้นที่หก
“นายน้อยเฉียน!”
ในขณะที่คนทั้งกลุ่มกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกของตำหนักทักษิณ เฉียนว่านก้วนก็ถูกหยุดไว้โดยใครบางคน หลังจากที่คนผู้นั้นกระซิบข้างหูของเฉียนว่านก้วน ตัวเขาก็รีบเขยิบเข้าไปใกล้เจียงอี้และกล่าว “ท่านลุงสองของข้ามาเยือนเมืองจิตอสูร เกรงว่าข้าจะต้องไปแล้ว ลูกพี่ เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ ข้าจะทิ้งเฉียนฟู่และคนที่เหลือไว้กับเจ้า”
เจียงอี้พยักหน้า หลังจากนั้นเฉียนว่านก้วนจึงนำคนของตระกูลเฉียนสองสามคนตรงไปหาซูรั่วเสวี่ย ไม่รู้ว่าเขากล่าวสิ่งใดกับนาง ปกติแล้วซูรั่วเสวี่ยจะเข้มงวดมาก แต่นางก็ยอมปล่อยให้เฉียนว่านก้วนลาหยุดได้วันหนึ่ง
หลังจากที่มาถึงภูเขา เหล่าลูกศิษย์ก็เริ่มการไล่ล่าสัตว์อสูร เจียงอี้และสมาชิกอีกเจ็ดคนของตระกูลเฉียนสามารถไล่ล่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งจำนวนสองสามตัวได้อย่างง่ายดาย ตามปกติแล้ว เจียงอี้จะขึ้นไปนั่งบนต้นไม้เพื่อบ่มเพาะพลังในขณะที่คนที่เหลือจะรับหน้าที่ในการออกล่า
“เจียงอี้!”
หลังจากที่บ่มเพาะพลังไปได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เขาก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากเสียงเรียกพร้อมกับหันลงมามองใบหน้าอันงดงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาซึ่งอยู่ด้านล่าง
เขากระโดดลงมาจากต้นไม้และยิ้มขณะกล่าว “อาจารย์ซู ท่านเป็นพวกหัวโบราณครำครึหรือ?”
“หัวโบราณ?” ซูรั่วเสวี่ยถลึงตาใส่เจียงอี้ขณะที่กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าว่าข้าแก่รึ?”
“ฮิฮิ!”
เจียงอี้หัวเราะคิกคักและรีบกล่าวแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “ไมใช่แบบนั้น แต่เวลาที่ข้าสนทนากับท่าน มันไม่เหมือนว่าข้ากำลังคุยกับผู้ที่อาวุโสกว่าเลย ดูๆไปแล้วท่านยังดูอ่อนวัยกว่าข้าเสียอีก… ไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าไหร่หรือ?”
“เจ้าเด็กกะล่อน!”
ซูรั่วเสวี่ยกลอกตาไปมา ดูเหมือนว่านางจะเคยชินกับท่าทีของเจียงอี้แล้ว นี่ไม่ใช่ตัวตนที่นางแสดงออกมาในยามปกติ ซูรั่วเสวี่ยรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างก่อนที่จะกลับคืนสู่ความเย็นชาอย่างรวดเร็ว เจียงอี้ไม่เหมือนกับผู้ชายทั่วไป เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะสามารถทำลายกำแพงน้ำแข็งและทำให้นางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา?
เมื่อมองไปยังใบหน้าของเจียงอี้ ซูรั่วเสวี่ยก็ตระหนักได้ทันที มันอาจจะเป็นเพราะทัศนคติของเขาและวิธีการพูดแบบไม่ค่อยแยแสสิ่งใดที่ทำให้นางต้องระวังตัว นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่บางครั้งนางก็เผลอแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
“อาจารย์ซู ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ? นี่ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการบ่มเพาะพลังนะ”
น้ำเสียงและท่าทางของเจียงอี้ที่พูดคุยกับซูรั่วเสวี่ยดูไม่เหมือนกับศิษย์ที่คุยกับอาจารย์ แต่มันเหมือนกับว่าเขากำลังพูดคุยกับสหายเสียมากกว่า
ความจริงแล้ว เหตุผลที่เขาเผชิญหน้ากับเจียงนี่หลิวในวันนั้นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะสร้างความประทับใจให้กับซูรั่วเสวี่ย
แน่นอนว่าเจียงอี้ไม่ได้มีแรงจูงใจแอบแฝงจากอีกฝ่าย เขาไม่มีเวลามากพอมาคิดเรื่องรักๆใคร่ๆ เหตุผลที่เขาต้องการสร้างความประทับใจกับให้ซูรั่วเสวี่ยก็เนื่องจากมาเจียงเสี่ยวนู๋
เจียงเสี่ยวนู๋ต้องได้รับความช่วยเหลือจากหมอเทวะของสำนัก ด้วยสถานะที่โดดเด่นของซูรั่วเสวี่ย หากว่านางเต็มใจที่จะช่วยเหลือ ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะสามารถเชิญหมอเทวะมาได้ เมื่อเจียงอี้เล็งเห็นโอกาสนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยมันไปง่ายๆ?
การที่จะได้รับความประทับใจจากซูรั่วเสวี่ยและกลายเป็นสหายของนาง เขาจะต้องปฏิบัติกับนางด้วยความจริงใจ เขาต้องไม่มีแรงจูงใจแอบแฝงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรักๆใคร่ๆ เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ในตอนนี้ประสบความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว การที่นางเผลอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแม้เพียงชั่วครู่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความสัมพันธ์
“ไม่มีอะไรมาก! ข้าแค่อยากถามเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของเจ้า เจ้าทำอย่างไรถึงได้ทะลวงระดับได้เร็วนัก?”
"โฮกกกกกก!"
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของสัตว์อสูรดังกังวานมาแต่ไกล กลิ่นอายอันทรงพลังและน่าเกรงขามปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ สีหน้าของเจียงอี้สลดลงและหันไปมองซูรั่วเสวี่ย ในตอนนี้ใบหน้าของนางดูเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“มันเป็นสัตว์อสูรระดับสองใช่หรือไม่?”
“อืม... อีกทั้งยังเป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูงสุด!”
หลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยกล่าวจบ นางก็รีบทะยานออกไปในทันทีขณะที่ตะโกนด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน “ศิษย์ทุกคน รีบถอยกลับไปยังสำนักเดี๋ยวนี้! สัตว์อสูรตัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะรับมือได้! รีบไป เร็วเข้า!”