บทที่ 91 มันคุ้มแล้วหรือ?
“โอ้โห!”
เมื่อเจียงอี้กล่าวจบ ความปั่นป่วนก็บังเกิดในทันที เจียงนี่หลิวคือใคร? เขาเป็นถึงองค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรเสินหวู่ บิดาของเขาคือผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งของอาณาจักรและยังเป็นจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก!
แม้ว่าจะไม่เอ่ยถึงภูมิหลังของเจียงนี่หลิว แต่ด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้าในขณะที่อายุเพียงสิบเก้าปี พรสวรรค์ของเขาก็กลายเป็นที่เล่าขานไปทั่วทั้งทวีปแล้ว!
ในตอนที่เจียงนี่หลิวกลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูร เขาใช้เวลาเพียงแค่สามเดือนในการไต่เต้าขึ้นเป็นศิษย์สำนักอัจฉริยะ! เขายังได้รับการชื่นชมโดยเจ้าสำนักจูเก๋อและยังถูกยอมรับในฐานะศิษย์คนสุดท้ายภายใต้การดูแลของเจ้าสำนัก!
สถานะของจูเก๋อหลิวหยุนสูงส่งเกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียง ในขณะที่เจียงนี่หลิวได้กลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของยอดคนผู้นี้ แม้แต่รองเจ้าสำนักทั้งหลายต่างก็ไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งใดๆต่อหน้าเขา นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเจียงนี่หลิวถึงไม่เกรงกลัวที่จะเกี้ยวพาซูรั่วเสวี่ยแม้แต่ในที่สาธารณะ
แต่ในตอนนี้กลับมีศิษย์นอกสำนักนิรนามผู้หนึ่งที่กล้าพูดจายั่วยุเจียงนี่หลิวท่ามกลางสายตาของผู้คน แถมยังด่าทอเขาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
ความคิดแรกที่ไหลผ่านเข้ามาในหัวของทุกคนคือ เจียงอี้คงเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว หรือไม่เขาก็เป็นเพียงแค่คนบ้า? แต่ทำไมคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาอย่างเฉียนว่านก้วนถึงพูดคุยกับชายคนนี้ด้วยความเกรงใจ?
“โอ้ว ไม่นะ!”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนซีดขาวราวกับศพ ภายในใจของเขากำลังสาปแช่งโคตรเหง้าศักราชของเจียงอี้ ในขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็ค่อยๆหันไปหาเจียงนี่หลิว
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนตระหนักได้แล้วว่าปัญหากำลังมาเยือน เจียงนี่หลิวที่อยู่ตรงหน้าของเขาทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างสงบ เฉียนว่านก้วนผู้ซึ่งคุ้นเคยกับองค์ชายผู้นี้ดีรู้ว่าบางสิ่งเลวร้ายกำลังเกิดขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่เจียงนี่หลิวยิ้มเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าคนแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบให้เสียเวลา ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะกลายเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัดไปเสียแล้ว
ซูรั่วเสวี่ยสับสนอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง นางหันไปมองเจียงอี้ด้วยความกังวล แต่สิ่งที่นางเห็นมีเพียงความไม่เกรงกลัวและหยิ่งยโสในดวงตาของเขา ซูรั่วเสวี่ยต้องการที่จะเอ่ยบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เจียงนี่หลิวถอนกระบี่กลับมาและใช้มือกดไปที่บาดแผลตรงอกเพื่อห้ามเลือด จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงอี้และเอ่ยอย่างใจเย็น “ประเสริฐ! ข้าค่อนข้างประทับใจในตัวเจ้า เช่นนั้นโปรดบอกนามอันทรงเกียรติของเจ้ามาได้หรือไม่?”
เจียงอี้ไม่ได้แสดงความอ่อนน้อมใดๆ ขณะกล่าวตอบ “ข้าเจียงอี้! เป็นศิษย์นอกสำนักและยังเป็นเพียงเด็กกำพร้า! ฝ่าบาทถามชื่อของข้าแบบนี้คงไม่ใช่ว่าท่านจะส่งคนไปกวาดล้างตระกูลของข้าหรอกนะ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงนี่หลิวระเบิดเสียงหัวเราะขณะที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาของเขาเหลือบมองไปที่ซูรั่วเสวี่ยและกล่าว “ศิษย์เจียงอี้ เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่นะ แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่คนใจแคบ แต่เนื่องจากเจ้ากล้าออกตัวมาขัดธุระของข้าในวันนี้ เช่นนั้นก็จงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของข้า, เจียงนี่หลิว ให้ดี”
เจียงอี้หัวเราะเบาๆและตอบกลับ “หากท่านต้องการที่จะสังหารข้า – เจียงอี้ – ท่านเองก็ต้องเผชิญกับความโกรธของข้าเช่นกัน!”
เผด็จการ! เย่อหยิ่ง!
หัวใจของศิษย์ทุกคนที่อยู่แถวนั้นเต้นรัว พวกเขาหันมองเจี่ยงนี่หลิวสลับกับเจียงอี้ ผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นธรรมดาที่จะหยิ่งยโส ส่วนผู้ที่อ่อนแอแต่กลับทำตัวแข็งกร้าวก็เป็นได้เพียงแค่ตัวตลก เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ผู้นี้ถูกจัดอยู่ในกรณีที่สอง
ฟึ่บ!
เจียงนี่หลิวกระโดดกลับขึ้นไปบนรถม้าศึกและเหลือบมองเจียงอี้ด้วยหางตา จากนั้นก็แล่นตรงกลับไปยังสำนัก
“ลูกพี่ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว!”
หลังจากที่เจียงนี่หลิวจากไป เฉียนว่านก้วนก็รีบเขยิบเข้ามาใกล้เจียงอี้และกล่าวด้วยเสียงโทนต่ำ เจียงอี้ยังคงนิ่งเฉยและกล่าวอย่างไม่แยแส
“นี่ไม่ใช่เรื่องของความประมาท ข้าจะต้องขัดแย้งกับชายผู้นั้นไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ยังไงเจียงนี่หลิวก็ต้องให้ความสนใจข้าอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น เจียงฉีหลินคงไม่ยอมปล่อยข้าไปง่ายๆ หากเป็นเช่นนั้น แทนที่จะหลบอยู่ในมุมมืด ไม่สู้ออกมาปะทะซึ่งๆหน้าเลยไม่ดีกว่ารึ?”
“เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่กล้าแตะต้องข้าสุ่มสี่สุ่มห้า มิฉะนั้นเมื่อครู่พวกมันคงจะลงมือไปแล้ว”
เห้อออ…
เมื่อเฉียนว่านก้วนเห็นการแสดงออกที่ดื้อรั้นของเจียงอี้ เขาก็ถอนหายใจและไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก สิ่งที่เขาทำได้คือทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องพี่ใหญ่จอมหัวแข็งคนนี้!
ซูรั่วเสวี่ยจ้องมองเจียงอี้ด้วยสายตาอันซับซ้อน แต่จากนั้นไม่นานมันก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา “ไปกันได้แล้ว!”
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาอย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างจ้องมองเจียงอี้ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาต่างพยายามที่จะเว้นระยะห่างจากเจียงอี้เพราะกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับปัญหาในอนาคต
ทางด้านของเจียงอี้ที่กำลังจดจ่ออยู่กับเส้นทาง ภายในใจของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกหวาดกลัวหรือเศร้าเสียใจ เขาเพียงแค่รู้สึกถึงความรำคาญใจและเดือดดาลเท่านั้น
เหตุผลที่เจียงอี้ได้รับแรงกระตุ้นก่อนหน้านี้เนื่องมาจากความไร้พลังและตื่นตระหนกเมื่อมองไปที่ซูรั่วเสวี่ย มันทำให้เขาออกตัวช่วยนางตามสัญชาตญาณ แต่มันอาจจะเป็นเพราะนางได้ช่วยเขาไว้ในวันที่จัดเทศกาลชำระโลหิต เจียงอี้ได้จดจำความเมตตาของนางไว้ โดยบุคลิกของเขาแล้ว เขาย่อมต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอย่างแน่นอน
อีกเหตุผลก็คือความเกลียดชังที่มีต่อเจียงนี่หลิว เมื่อเจียงอี้เห็นพฤติกรรมของเจียงนี่หลิว เขาก็เกิดความรู้สึกต่อต้านและทำให้หลงลืมเกี่ยวกับปัญหาที่จะตามมาทั้งหมด
เจียงอี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่พอใจเจียงนี่หลิว มันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องต่างมารดา หนึ่งในพวกเขาได้ใช้ชีวิตสุขสบายและมีสถานะสูงส่ง ส่วนอีกหนึ่งกลับต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมานานกว่าสิบปี
หรืออาจจะเป็นเพราะเจียงเปี๋ยหลีที่ทอดทิ้งแม่ของเจียงอี้และเลือกแม่ของเจียงนี่หลิวแทน เขาต้องการที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับแม่ของเขาที่จากไปตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก เจียงอี้มีความเกลียดชังต่อเจียงเปี๋ยหลีและมองว่าพี่น้องต่างมารดาของเขาเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน
ในที่สุดกลุ่มคนก็ได้มาถึงยังเชิงเขาที่ซึ่งพวกเขาจะทำการล่าสัตว์อสูร ภายใต้คำแนะนำของซูรั่วเสวี่ย ศิษย์ทุกคนต่างกระจายตัวเพื่อออกล่า
“เจียงอี้ เจ้ารอสักครู่”
“ส่วนเจ้า รีบไปล่าสัตว์อสูรได้แล้ว” ซูรั่วเสวี่ยกล่าวกับเจียงอี้ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับเฉียนว่านก้วน
เฉียนว่านก้วนแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาและเอ่ยหยอกล้อเจียงอี้ “ลูกพี่ เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้ล่ะ! โชคดี!”
“ไปให้พ้น!”
เจียงอี้เสแสร้งทำเป็นโกรธขณะเตะไปที่ก้นของเจ้าอ้วน จากนั้นก็หันไปมองซูรั่วเสวี่ยและเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ซู ท่านอย่าได้สนใจเจ้าอ้วนนั่นเลย ว่าแต่ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือ?”
ซูรั่วเสวี่ยนิ่งเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็กัดริมฝีปากและกล่าวออกมา “เจียงอี้… ข้าอยากจะขอบคุณในสิ่งที่เจ้าทำลงไปก่อนหน้านี้ แต่เจ้าประมาทเกินไป ภูมิหลังของเจียงนี่หลิวนั้นไม่ธรรมดา เกรงว่าในอนาคตเจ้าจะมีปัญหาแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็หัวเราะเบาๆและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร สิ่งที่ข้ากลัวน้อยที่สุดก็คือปัญหานี่แหละ”
“เห้อ!”
ซูรั่วเสวี่ยรู้สึกจนใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่าตัวเองจะต้องโดนอะไรบ้าง? เจียงนี่หลิวเป็นถึงทายาทของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก…”
“อาจารย์ซู ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจทุกอย่างดี”
เจียงอี้จ้องมองซูรั่วเสี่ยวและเอ่ยอย่างจริงจัง “อาจารย์ซู ท่านเคยช่วยเหลือข้ามาก่อน ถึงแม้ว่าข้า,เจียงอี้ จะไม่ใช่คนดีนัก แต่ข้าก็ยึดถือเรื่องบุญคุณความแค้นเป็นหลัก ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ยอมตายง่ายๆหรอก”
ซูรั่วเสวี่ยมองเข้าไปในดวงตาอันแน่วแน่ของเจียงอี้ สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหัวและถอนหายใจ “มันคุ้มแล้วหรือ?”
“คุ้มสิ!”
เจียงอี้พยักหน้าด้วยความมั่นใจ เขาจ้องมองไปยังใบหน้าที่สวยงามไร้ที่ติของซูรั่วเสวี่ยและยิ้มออกมา “ขอแค่ได้ช่วยเหลือหญิงสาวที่งดงามเช่นท่าน แม้ว่าข้าจะต้องสละชีวิต ข้าก็พึงพอใจแล้ว”
อุ๊ปป!
ซูรั่วเสวี่ยเคยได้ยินคำเยินยอเช่นนี้มานักต่อนัก แต่นางกลับไม่รู้สึกรำราญใจเมื่อมันออกมาจากปากของเจียงอี้ จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปและตีไปที่ศีรษะของเขาก่อนที่จะกล่าว “เจ้าเด็กกะล่อน รอให้เจ้าโตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยพูดคำแบบนี้ออกมา นี่มันเวลาล่าสัตว์อสูรไม่ใช่รึ? รีบไปได้แล้ว!”
…