บทที่ 89 น่าเสียดาย
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าจากด้านหลังได้ปลุกให้เจียงอี้ตื่นจากภวังค์ เขาหันหลังกลับไปมองและต้องตกใจกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยทั้งหลาย โชคดีที่ยังมีสองสามคนที่เขาพอจะรู้จักอยู่บ้างจึงทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่มีใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง, ซูรั่วเสวี่ย
“เจียง… ศิษย์เจียงอี้? ข้าคือรองเจ้าสำนักฉี เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หญิงชราผมสีเงินเอ่ยถาม ดวงตาของนางเผยให้เห็นถึงความคาดหวังอยู่กรายๆ
เจียงอี้ส่ายหัวไปมาเพื่อลบภาพอันน่ากลัวออกจากจิตใจของเขา จากนั้นเขาก็หันไปทางหญิงชราและเอ่ยตอบ “ท่านรองเจ้าสำนักฉี ข้าสบายดี!”
“เอ่อ…”
กลุ่มคณาจารย์แสดงสีหน้าอึดอัดใจออกมา เจียงอี้ผู้นี้จะเลอะเลือนเกินไปแล้ว! รองเจ้าสำนักฉีได้เปิดเผยสถานะของตัวเองออกมา มีใครบ้างที่กล้าพูดคุยกับนางด้วยท่าทีสบายๆเช่นนี้?!
โชคดีที่รองเจ้าสำนักฉีไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางจ้องมองเจียงอี้ด้วยความกังวลและกล่าว “ศิษย์เจียงอี้ เจ้าเพิ่งจะสัมผัสกับ… เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธจากราชันสวรรค์สังหารใช่หรือไม่?”
“เจตจำนงแห่งเต๋า?”
เจียงอี้กระพริบตาปริบๆด้วยความสงสัย “มันคืออะไร?”
“นี่… มันยากที่จะอธิบายให้เจ้าเข้าใจ” รองเจ้าสำนักฉีลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยต่อ “เจ้าบังเกิดการตระหนักรู้สิ่งใดภายในโถงจารึกเทพหรือไม่?”
เจียงอี้อ้าปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดชะงักก่อนที่จะเอ่ยต่อ “ไม่ ข้าไม่เข้าใจอะไรเลยขอรับ ข้ามองเห็นเพียงเหตุการณ์อันน่ากลัว คนที่มีรูปร่างเหมือนกับรูปปั้นนี้ได้สังหารกองทัพที่มีทหารนับล้านชีวิต หลังจากการเข่นฆ่าสิ้นสุดลง ภาพตรงหน้าก็หายไป”
“อืม..”
บรรดาอาจารย์ทั้งหลายต่างก็มองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นความผิดหวัง โถงจารึกเทพถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์ทั้งหกโดยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
มันคือโอกาสสำหรับใครก็ตามที่สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่อยู่ในภายในโถงจารึกเทพและบังเกิดการตระหนักรู้ แต่คงมีเพียงแค่โชคชะตาที่จะตัดสินว่าใครคือผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากมัน
แต่สำหรับเจียงอี้ผู้นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้!
รองเจ้าสำนักฉีไม่ยอมแพ้ นางจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้รับอะไรเลยจริงๆ? อย่างเช่นทักษะวิชาหรือสมบัติบางอย่าง?”
“ไม่มี!”
เจียงอี้กล่าวอย่างหนักแน่น “ภาพที่ข้าเห็นคือราชันสวรรค์สังหารเข่นฆ่าผู้คน จากนั้นภาพก็ตัดไป ข้าไม่ได้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว”
“เห้อออ… ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
รองเจ้าสำนักฉีถอนหายใจด้วยความเสียดายอย่างที่สุด “ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธที่ถูกราชันสวรรค์สังหารทิ้งเอาไว้ แต่พวกเขาก็คล้ายคลึงกับศิษย์เจียงอี้ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจพวกมันได้เลย เป็นไปได้ไหมว่าเจตจำนงที่ราชันสวรรค์สังหารทิ้งไว้จะลึกลับและเข้าถึงยากเกินไป?”
เมื่อรองเจ้าสำนักฉีกล่าวจบ นางก็หันไปมองรองเจ้าสำนักคนอื่นๆพลางส่ายศีรษะจากนั้นก็นำกลุ่มคนจากไป
เจียงอี้จองมองไปที่จารึกหินและจู่ๆภาพดวงตาสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอีกครั้ง เขาจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของรูปปั้นสลับกับดวงตาที่อยู่ภายในห้วงความคิดของเขา ดูเหมือนว่ามันจะขาดสิ่งดึงดูดบางอย่าง?
หลังจากที่สังเกตอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจียงอี้ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจและรีบออกจากโถงจารึกเทพอย่างรวดเร็ว เขาไม่ทราบว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานขนาดไหน บางทีคะแนนสะสมที่เขาได้มาด้วยความยากลำบากคงจะถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
“คำสั่งจากท่านรองเจ้าสำนักฉี เนื่องจากเจ้าสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ การหักคะแนนสะสมจึงถูกทำให้เป็นโมฆะ!”
เจียงอี้ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อที่ได้รับป้ายหยกคืนโดยไม่ถูกหักคะแนน เมื่อเขากวาดมองออกไปรอบๆ เขาก็ต้องประหลาดใจที่เห็นกลุ่มคนขนาดใหญ่
“ลูกพี่!”
เจ้าก้อนไขมันเฉียนว่านก้วนเดินนำกลุ่มคนมา ภายในนั้นยังรวมไปถึงจ้านอู๋ซวงและน้องสาวของเขา, จ้านหลินเอ๋อร์ “ลูกพี่ เจ้านี่มันเกินความคาดหมายตลอดเลยนะ! โชคดียิ่งนักที่ข้า, เฉียนว่านก้วน ไม่ได้มองคนผิด! เจ้าจะต้องกลายเป็นศิษย์สำนักอัจฉิรยะได้อย่างแน่นอน ว่าแต่เจ้าตระหนักรู้สิ่งใดมาบ้าง?”
จ้านอู๋ซวงเองก็เอ่ยถามด้วยเสียงเบา “ใช่แล้วเจียงอี้ เจ้าเข้าถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธแบบใด?”
“ไม่มี!”
เจียงอี้ส่ายศีรษะ เขาหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นหลังจากที่เห็นว่ามีคนจำนวนมากกำลังรายล้อมอยู่รอบตัวเขา “ค่อยคุยกันตอนกลับไปถึงเถอะ”
คนทั้งกลุ่มรีบเดินตรงไปยังตำหนักประจิมอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มของคณาจารย์และเจียงอี้จากไป ฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆโถงจารึกเทพก็กระจายตัวเช่นกัน ไม่นานนักความสงบก็กลับคืนมา
เจียงอี้อาจจะทำลายข้อจำกัดของโถงจารึกและสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจที่จะตระหนักรู้สิ่งใดได้เลย
…………
“ลูกพี่ เจ้าไม่ได้อะไรกลับมาเลยจริงๆหรือ? นี่มันช่าง…”
ในลานขนาดเล็กของตำหนักประจิม เจ้าอ้วนแสดงสีหน้าเศร้าเสียดายออกมา แม้แต่จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์ก็มีสีหน้าหม่นหมองเช่นกัน
มีเพียงเจียงอี้ที่แสดงสีหน้างุนงงและเปิดปากเอ่ยถาม “ไอเจ้าสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธมันคืออะไรกันแน่?”
จ้านอู๋ซวงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มอธิบาย “เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธคือส่วนหนึ่งของแก่นแท้วรยุทธที่แตกต่างไปจากทักษะวิชาและมันยังแตกต่างจากเต๋าสวรรค์ด้วยเช่นกัน”
“จะว่ายังไงดีล่ะ ถ้าให้พูด มันก็คือสิ่งที่ตกผลึกหลังจากที่ยอดฝีมือได้รับจากการตีความเต๋าสวรรค์”
“เช่นเดียวกับเจตจำนงแห่งไฟ ผู้ที่สามารถตีความมันได้จะสามารถดึงพลังของอัคคีธาตุมาใช้ได้มากกว่าเดิมถึงสองเท่าเป็นอย่างน้อย ยกตัวอย่างในกรณีของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก เขาคือผู้ที่ครอบครองเจตจำนงแห่งผู้พิชิต เมื่อปลดปล่อยเจตจำนงออกมา ศัตรูที่ไม่ได้มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับเดียวกันจะถูกสะกดข่มในทันที ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะลดลงเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น!”
“ทั้งหมดนี้คือความหมายของเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ!”
ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายขณะที่หวนรำลึกถึงจิตสังหารอันท่วมท้นของราชันสวรรค์สังหาร เมื่อเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ฝ่ายทัพของศัตรูก็ถูกกำราบทันที ยิ่งนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ หัวใจของเจียงอี้ก็ยิ่งสั่นไหวมากขึ้นเท่านั้น
“อะไร? ลูกพี่? เจ้านึกอะไรได้หรือ?” เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนจ้องมองไปที่สีหน้าอันแปลกพิกลของเจียงอี้
เจียงอี้ไม่ได้ตอบในทันที แต่ดูเหมือนว่าภายในใจเขาจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาพยายามที่จะรู้สึกถึงมันอีกครั้ง แต่ก็ไม่บังเกิดผล จากนั้นเขาก็หยุดและส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าไม่เข้าใจอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรๆ ในเมื่อเจ้าสามารถทำลายข้อจำกัดของโถงจารึกเทพได้ครั้งหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ตราบเท่าที่เจ้าพยายามอย่างหนัก โอกาสในอนาคตย่อมมีมาเสมอ!”
จ้านอู๋ซวงลุกขึ้นยืนและเดินไปอยู่ที่ด้านข้างของจ้านหลินเอ๋อร์ “หลินเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ได้ขอบคุณเจียงอี้ไม่ใช่รึ? หากเขาไม่อยู่ในวันนั้น เจ้าคงตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว”
ใบหน้าจ้านหลินเอ๋อร์ยังคงถูกผ้าคลุมปิดปังไว้ ดวงตาของนางจ้องมองมาที่เจียงอี้ขณะที่โค้งคำนับและกล่าว “พี่ใหญ่เจียงอี้ ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้เจ้าค่ะ”
หลังจากที่เจียงอี้พยักหน้ารับ สองพี่น้องตระกูลจ้านก็ขอตัวก่อนที่จะจากไปทันที เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนก็นำคนของเขาออกไปเช่นกัน
เจียงอี้กลับมาที่ห้องของเขาแต่ในขณะเดียวกัน ภายในใจของเขาก็ยังคงเล่นภาพที่เกิดขึ้นในสนามรบซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีแดงฉานยังคงชัดเจนอยู่ในใจเขา
เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ! เป็นไปได้ไหมว่าจิตสังหารอันน่าเกรงขามของราชันสวรรค์สังหารจะเป็นเจตจำนงแห่งการสังหาร?
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในโถงจารึกเทพ สติของเจียงอี้ราวกับกำลังหลุดลอยไป ในใจของเขาปรากฏภาพในอดีตตอนที่อยู่ในภูเขาซีชานของเมืองเทียนอวี่ ร่างของเขาค่อยๆปลดปล่อยจิตสังหารออกมาพร้อมกับดวงตาที่เริ่มกลายเป็นสีแดงซึ่งดูคล้ายคลึงกับดวงตาของราชันสวรรค์สังหารอยู่หลายส่วน
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่ หากมีคนมาพบเห็นเจียงอี้ในสภาพนี้ พวกเขาจะต้องคิดว่าเขาได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วเป็นแน่
เมื่อเวลาผ่านไปดวงตาของเจียงอี้ก็ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนเดิม จิตสังหารเองก็มลายหายไปพร้อมสีหน้าของเขาที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ตัวของเขาเองกลับไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หลงเหลืออยู่เลย…