บทที่ 88 เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ
“หืม?”
ณ มุมหนึ่งของโถงจารึกเทพ จ้านอู๋ซวงหันหน้าไปทางหนึ่งในจารึกหินขณะที่พยายามทำความเข้าใจกับมัน แต่ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเข้มข้นและรีบถอยออกจากห้องโถงโดยสัญชาตญาณ
บรรดาศิษย์ทั้งหลายที่กำลังตีความจารึกหินต่างก็เร่งรีบออกมารวมตัวกันที่ภายนอก พวกเขาต่างมองกลับเข้าไปในโถงจารึกเทพด้วยสายตาอันหวาดหวั่น
“ทุกคนใจเย็นๆก่อน! ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่สัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธในจารึกหิน”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามดังขึ้นภายในกลุ่มคนที่ตกอยู่ในความโกลาหล แต่มีเพียงทหารยามสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“จูเก๋อหลิวหยุน?”
ประกายแสงแวบผ่านดวงตาของจ้านอู๋ซวง แม้แต่เจ้าสำนักผู้ลึกลับก็ยังต้องปรากฏตัวออกมาเพื่อสังเกตการณ์? ต้องทราบก่อนว่าเขาคือหนึ่งในสิบยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของทวีปนี้!
เจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธ? ใครบางคนสามารถทำความเข้าใจหนึ่งในจารึกเทพได้?
ฟึบ!
ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากตำนักอุดร อาจารย์ทั้งหมดของสำนักต่างก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงเองก็มารวมตัวด้วยความสนใจ แต่ก็ถูกขัดขวางไว้โดยเหล่าทหารยาม
“คารวะรองเจ้าสำนักทั้งเจ็ดและคณาจารย์ทุกท่าน!”
เสียงทักทายดังออกมาอย่างไม่ขาดสายขณะที่คนประมาณสี่สิบคนแหวกออกมาจากฝูงชน จ้านอู๋ซวงกวาดสายตาไปทางด้านนั้นและมองเห็นอาจารย์ทั้งหมดของสำนักซึ่งมีผู้นำกลุ่มเป็นรองเจ้าสำนักทั้งเจ็ด
“ทุกคนออกไปก่อน! โถงจารึกเทพจะทำการปิดชั่วคราว!”
หญิงชราผมสีเงินซึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือตะเบ็งเสียงออกมา จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆไม่มีทางเลือกจึงทำได้แค่เดินออกไปพร้อมกับคำถามมากมายภายในใจ
ตอนนี้ในบริเวณของโถงจารึกเทพเหลือคนอยู่เพียงแค่สี่สิบกว่าคนเท่านั้น พวกเขาต่างหยุดอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปยังร่างของเจียงอี้ซึ่งอยู่ภายใน
“เด็กคนนั้นเป็นใคร?”
เห็นได้ชัดว่าหญิงชรามีสถานะที่สูงส่งมาก ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ร่างของเจียงอี้ขณะที่เอ่ยถาม
“เป็นเขา?”
หญิงสาวผู้งดงามซึ่งสวมชุดสีขาวอ้าปากค้าง เมื่อหญิงชราสังเกตเห็นใบหน้าของนาง นางจึงเอ่ยถามทันที “รั่วเสวี่ย เจ้ารู้จักเด็กคนนี้ด้วยรึ?”
หญิงสาวผู้งดงามคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากซูรั่วเสวี่ย นางพยักหน้าและกล่าวตอบ
“รองเจ้าสำนักฉี เขามีนามว่าเจียงอี้และเป็นหนึ่งในศิษย์นอกสำนักที่เพิ่งรับเข้ามาในปีนี้ มองผิวเผินแล้วเขาอาจจะมีความแข็งแกร่งที่ในขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่ง แต่ความจริงแล้วพลังของเขาสามารถเทียบได้กับจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หนึ่งหรือสองได้เลยทีเดียว”
“จริงสิ... วันที่นักฆ่าพวกนั้นลอบเข้ามา พวกมันทั้งหมดก็ถูกสังหารโดยเจียงอี้ผู้นี้ ท่านรองเจ้าสำนักหลิ่วก็สมควรรู้จักเขาด้วยเช่นกัน”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพยักหน้าพลางกล่าว “ใช่แล้ว เดิมทีเขาไม่มีคะแนนสะสมเลยแม้แต่คะแนนเดียวดังนั้นสำนักจึงได้ชดเชยให้เขาถึงห้าร้อยคะแนนเนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น”
“ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะใช้คะแนนพวกนั้นเพื่อเข้ามาในโถงจารึกเทพ… แถมยังสัมผัสได้แม้กระทั่งเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธจากจารึกหิน?”
หญิงชราผมสีเงินซึ่งถูกเรียกว่ารองเจ้าสำนักฉีพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้า? รั่วเสวี่ย เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าพลังต่อสู้โดยรวมของเขาเทียบได้กับจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่?”
“แน่ใจเจ้าค่ะ ท่านรองเจ้าสำนักฉี!”
ซูรั่วเสวี่ยกล่าวต่อ “เขาสังหารคนไปนับสิบในตอนที่อยู่ในเมืองเที่ยนอวี่ เขาสามารถจัดการได้แม้แต่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรก… ใช่แล้ว ในวันที่นักฆ่าลอบเข้ามา หนึ่งในพวกมันเองก็เป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรกด้วยเช่นกัน!”
“เด็กคนนี้จะต้องเป็นอัจฉริยะที่น่าหวาดกลัว!”
ดวงตาของรองเจ้าสำนักฉีเป็นประกายขณะที่จองมองไปยังร่างของเจียงอี้ “ราชันสวรรค์สังหารครอบครองเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธซึ่งทรงพลังเกินกว่าใครจะเทียบเคียงได้ หากเด็กคนนี้สามารถทำความเข้าใจกับมันได้อย่างถ่องแท้ สำนักของเราก็จะได้รับสุดยอดอัจฉริยะมาอีกหนึ่งคน”
“แต่เรื่องนี้ก็ยากที่จะเอ่ย แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งเต๋าวรยุทธในโถงจารึกเทพ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถทำความเข้าใจมันได้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างคงขึ้นอยู่กับศักยภาพและโชคของเขาแล้ว”
…….…
ในขณะที่ด้านนอกยังคงตกอยู่ในความโกลาหล ภายในโถงจารึกเทพ เจียงอี้ยังคงไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ในความเป็นจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในขณะนี้
ในตอนที่เจียงอี้กำลังจ้องมองจารึกหิน เขาก็ใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการมองเห็น แต่ในเวลานั้นเองก็ปรากฏแสงสีแดงอันสว่างจ้า พริบตาเดียวภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป รูปปั้นที่อยู่ระหว่างจารึกหินทั้งสองก็หายไปด้วยเช่นกัน เขาตระหนักได้แล้วว่าตอนนี้ตัวเขาถูกส่งมาอยู่ในสถานที่อันแปลกประหลาดเสียแล้ว
สถานที่แห่งนี้เป็นถิ่นทุรกันดารซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของมันได้ ในขณะที่เจียงอี้กำลังยืนงงงวยด้วยความสับสน เขาก็ได้ยินเสียงรถม้าศึกจากระยะไกลซึ่งกำลังดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่พื้นดินเองก็กำลังสั่นไหว
บนเส้นขอบฟ้าด้านซ้ายมือของเจียงอี้ปรากฏเส้นสีดำและขยายตัวขึ้นเรื่อยๆจนดูคล้ายกับหมู่เมฆสีดำทมิฬซึ่งบดบังทัศนวิสัยของเขาทั้งหมด
โอ้พระเจ้า เป็นกองทัพทหารที่มีจำนวนมากมายอะไรเช่นนี้ ดูแล้วต้องมีไม่ต่ำกว่าหลายล้านคน…
ดวงตาของเจียงอี้แข็งค้างในขณะที่หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นเพราะตกใจกลัว แรงกดดันที่กองทัพเหล่านั้นปลดปล่อยออกมาทำให้เขาเกือบจะหายใจไม่ออก
โชคดีที่ทหารนับล้านเดินผ่านเขาไป ดูเหมือนว่าพวกมันจะมองไม่เห็นเขา มันคือภาพลวงตาใช่หรือไม่? ไม่ใช่เรื่องจริง?
ฟิ้ววว
ในขณะที่เจียงอี้กำลังสงสัยอยู่นั้น ร่างเงาร่างหนึ่งก็ทะยานมาจากทางขวามือของเขา คนผู้นี้กำลังพุ่งเข้าหากองทัพนับล้านด้วยความเร็วราวกับดาวตก
ราชันสวรรค์สังหาร?
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลง คนผู้นั้นมีผมสีขาว สวมใส่ชุดเกราะสีโลหิตและยังถือง้าวสีโลหิตด้วยเช่นกัน หากไม่ใช่ราชันสวรรค์สังหารแล้วจะเป็นใคร? แต่ที่น่าแปลกก็คือดวงตาของเขาไม่ได้มีสีแดงเลือดเหมือนกับรูปปั้น แต่กลับเป็นสีดำสนิท
“ฆ่ามัน!”
เหล่าทหารต่างก็ชักกระบี่สีดำออกมาพร้อมกับคำรามด้วยเสียงอันกู่ก้อง เสียงของพวกมันแทรกซึมไปทั่วทั้งพื้นปฐพีและท้องฟ้า จิตสังหารอันหนาแน่นพวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย
“ตาย!”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกซึ่งเสียดแทงไปถึงชั้นกระดูกดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนักแต่มันก็ครอบคลุมทั้งกองทัพที่มีทหารอยู่หลายล้านชีวิต ราชันสวรรค์สังหารยังคงยืนอยู่ด้านหน้ากองทัพและลอยตัวสูงขึ้น ง้าวสีโลหิตของเขาเปล่งแสงสีแดงออกมาพร้อมกับกลิ่นอายอันน่าขนลุกซึ่งกวาดไปทั่วทั้งบริเวณ
ตุบ!
เจียงอี้ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไป เขาล้มลงกับพื้น ในเวลาเดียวกันภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เป็นไปได้อย่างไรที่จิตสังหารของคนเพียงคนเดียวจะสามารถต้านทานจิตสังหารของกองทัพที่มีทหารนับล้านคนได้?!
ตุบ! ตุบ!
ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนล้มลงกับพื้นในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเหล่าทหารเองก็รู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ รูปแบบการจัดทัพของทหารนับล้านถูกทำลายลงเพียงเพราะจิตสังหารจากคนเพียงคนเดียว
“หากเต๋าแห่งมวลมนุษย์ไม่ยุติธรรม มันจะถูกตอบแทนด้วยศพนับล้าน! หากแม้แต่เต๋าแห่งสวรรค์ยังหาความยุติธรรมไม่ได้ ข้าจะเข่นฆ่าทุกสิ่งภายใต้สวรรค์!”
ในขณะที่ราชันสวรรค์สังหารแผดเสียงคำราม ร่างของเขาก็กลายเป็นลูกศรและพุ่งไปข้างหน้า ง้าวในมือของเขาได้ปลดปล่อยคลื่นพลังปราณที่มีขนาดหลายร้อยเมตรและกวาดไปตลอดทาง พลังทำลายของมันสามารถบดขยี้เหล่าทหารได้อย่างง่ายดาย
พริบตาเดียว เศษชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ก็เกลื่อนกลาดไปทั่วสนามรบ มันได้เปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้กลายเป็นนรกบนดิน!
นี่เขาเป็นมนุษย์หรือพระเจ้ากันแน่? เพียงแค่ชายผู้นี้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ทหารนับล้านก็ไม่สามารถต่อต้านได้แล้ว ด้วยการขยับเพียงเล็กน้อย ชีวิตนับร้อยนับพันก็มลายสิ้น นี่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทำได้จริงหรือ?
เจียงอี้ตื่นตระหนกโดยสมบูรณ์ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ดวงตาของเขาได้กลายเป็นสีแดงไปเรียบร้อยแล้ว ภายในใจของเขานึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเขาซีชานในเมืองเทียนอวี่ หัวใจของเจียงอี้กระหน่ำเต้นพร้อมกับจิตสังหารที่ลุกโชนขึ้นมา
ปังง!
ผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ กองทัพนับล้านก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่ม้าศึกก็ยังกลายเป็นเนื้อบด ฉากอันน่าสยดสยองเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ที่มีสภาพจิตใจเข้มแข็งถึงกับอาเจียนออกมาได้ หากเป็นคนที่มีสภาพจิตใจอ่อนแอก็อาจจะหมดสติในทันที
โชคดีที่เจียงอี้เคยผ่านเหตุการณ์เกี่ยวกับการฆ่าฟันในภูเขาซีชานมาบ้างแล้ว เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนหายไป เขาสามารถมองเห็นเพียงแค่ดวงตาสีแดงก่ำที่ดูเหมือนว่าจะสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งดวงวิญญาณของเขา
หู้ววว!
เมื่อรู้ตัวอีกที เจียงอี้ก็พบว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในโถงจารึกเทพอีกครั้ง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้จิตใจของเขาแบกรับแรงกดดันมหาศาล ความรู้สึกของเขาในตอนนั้น มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับผู้ไร้พลังซึ่งทำได้เพียงคุกเข่าด้วยความกลัว
หน้าผากของเจียงอี้ยังคงเปียกโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขายังจดจำเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่พร้อมกับดวงตาสีแดงคู่นั้นที่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาครอบคลุมท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี