บทที่ 87 ราชันย์สวรรค์สังหาร
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของจ่างซุนเฟยหู เจียงอี้ส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะพูดอะไรในขณะที่เขามองที่อาจารย์เฟิง
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงคืออาจารย์เฟิงท่านนี้แสดงริยาให้เหล่าทหารรักษาการณ์ช่วยเหลือจ่างซุนเฟยหูในการพักฟื้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างจริงจังและเขาพูดกับเจียงอี้ “มันจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมเช่นนี้สำหรับการประลองกันแบบธรรมดาหรือ? ศิษย์จ่างซุนได้รับบาดเจ็บสาหัส การเดิมพันจะถูกปฏิเสธ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ ศิษย์เจียงอี้?”
เจียงอี้หัวเราะขณะที่ศิษย์ที่อยู่แถวนั้นทุกคนคิดว่าพวกเขาได้ยินผิด เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการบาดเจ็บ จริงๆแล้วอาจารย์เฟิงพยายามแสดงให้เห็นความลำเอียงของเขาต่อหน้าทุกคนหรือ? เขาใช้น้ำเสียงที่เหมือนการเจรจาต่อรอง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาใช้สถานะของอาจารย์เพื่อกดขี่เจียงอี้!
เขาไม่มีความเห็นใดๆ
ท้องของเจียงอี้เต็มไปด้วยความเดือดดาล แต่เขาไม่มีที่ที่จะระบายความโกรธนี้ออกมาได้ เขาไม่แม้แต่พยายามที่จะให้เกียรติอาจารย์และเย้ยหยันว่า “อาจารย์เฟิง เราควรทำตามกฎของสนามประลอง! แน่นอน ... หากท่านต้องการปฏิเสธการแข่งขันครั้งนี้ ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแจ้งเจ้าสำนัก”
"เอ๊ะ?"
ดวงตาของอาจารย์เฟิงปล่อยสายตาอันเยือกเย็นออกมา ไอ้ศิษย์นอกสำนักต่ำต้อยคนนี้ไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เขายังกล้าที่จะใช้เจ้าสำนักมาเพื่อกดดันเขาอีกงั้นเหรอ? ศิษย์สำนักหลายคนมีการเปลี่ยนแปลงท่าทางการแสดงออกหลังจากได้ยินว่าเจียงอี้เป็นคนหัวแข็งแค่ไหน อาจารย์เฟิงยังคงเป็นอาจารย์หลังจากจบเรื่องนี้ ใช่ไหม? ถ้าเขาทำให้อาจารย์ขุ่นเคือง ในอนาคตของเขา เขาจะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร?
ตึกๆๆ!
ตอนนั้นเอง ศิษย์กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ผู้ที่เดินนำเข้ามาคือจ้านอู๋ซวง เขากวาดสายตาของเขาผ่านฝูงชนและในที่สุดก็หยุดที่เจียงอี้และเผยรอยยิ้มออกมา “พี่เจียง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังต่อสู้อยู่? ทำไมเจ้าไม่ขอให้ข้ามาและช่วยสนับสนุนความกล้าหาญของเจ้าล่ะ?”
การแสดงออกของอาจารย์เฟิงเปลี่ยนไปทันที ทหารรักษาการณ์ทั้งสองยังยังหลุดแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา จ้านอู๋ซวงเพิ่งเข้าเรียนที่สำนักได้ไม่นาน เขาใช้เวลาเพียงสามวันในการท้าทายศิษย์สำนักสามัญห้าคนและยกระดับของเขาจากศิษย์นอกสำนักเป็นศิษย์สำนักสามัญได้ เขาเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลนักรบสวรรค์ ทั้งสถานะและความสามารถของเขานั้นได้รับการยกย่องอย่างสูงจากสำนักเป็นอย่างมาก
บุคคลดังกล่าวเรียกเจียงอี้ว่าพี่เจียง? ด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร? อาจารย์เฟิงลังเลสักครู่ก่อนตัดสินใจในใจของเขา "การต่อสู้ครั้งนี้ได้ข้อสรุปแล้ว ตามกฎแล้วเจียงอี้ได้รับคะแนนสะสมสามร้อยคะแนน"
อาจารย์เฟิงหมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขารอบป้ายหยกสองป้าย ป้ายของจ่างซุนเฟยหูแสงหรี่ลงในขณะที่ป้ายของเจียงอี้สว่างขึ้น เมื่อเจียงอี้รับป้ายหยกของเขา เขาก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขาเพื่อดูและเห็นเลข 'แปดร้อย' ปรากฏขึ้น นั่นหมายความว่าคะแนนสะสมของเขาเพิ่มขึ้นสามร้อยคะแนน
"ไอ้หลานชาย เจ้าจำไว้ ข้า จ่างซุนเฟยหู จะต้องเอาคืนเจ้าเป็นสิบเท่าของวันนี้ในภายภาคหน้า!"
จ่างซุนเฟยหูทิ้งคำสบประมาทไว้ก่อนที่จะถูกนำตัวไปโดยทหารที่รักษาการณ์คนหนึ่ง เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงเดินออกไปพบเฉียนว่านก้วนและชายอีกห้าคนที่กำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเฉียนว่านก้วนเห็นว่าเจียงอี้ปลอดภัยแล้ว เขาก็มองจ้านอู๋ซวงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "พี่ใหญ่จ้านอู๋ซวงก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ลูกพี่?"
"ข้าไม่เป็นไร!"
เจียงอี้พยักหน้าและมองไปรอบๆก่อนที่จะพูดเบาๆ "ขอบคุณนายน้อยจ้าน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงพยายามเบี้ยวคะแนนสามร้อยแต้ม อาจารย์เฟิงเป็นสมาชิกของตระกูลจ่างซุนด้วยไม่ใช่หรือ?"
"เรื่องเล็กน้อย!"
จ้านอู๋ซวงโบกมือแล้วอธิบายว่า "สำนักจิตอสูรแห่งนี้เป็นหนึ่งในสามสำนักที่สำคัญของทวีปนี้ พวกเขามีอำนาจลึกลับที่ทำให้สัตว์ร้ายเชื่อง เป็นเรื่องธรรมดาที่ตระกูลใหญ่จากทั้งสองอาณาจักรจะส่งสมาชิกเข้ามาที่นี่ เช่นตระกูลเฉียนที่เป็นผู้ส่งคนมาที่นี่มากที่สุด แต่มันยากสำหรับตระกูลหลักที่จะแฝงเข้าไปในตำแหน่งรองเจ้าสำนักทั้งสิบหรือตำแหน่งเจ้าสำนัก… "
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าตำแหน่งระดับสูงของสำนักไม่ได้มีสมาชิกของตระกูลจ่างซุนหรือตระกูลเจียง อย่างน้อยเขาก็ยังค่อนข้างปลอดภัยในสำนักอยู่
"เอาล่ะ เช่นนั้น"
เมื่อจ้านอู๋ซวงเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเฉียนว่านก้วนที่กำลังจะพูดคำเยินยอบางคำเพื่อเข้าใกล้เขา เขาก็โบกมืออย่างหงุดหงิด "ข้าจะเข้าไปที่โถงจารึกเทพ ข้าต้องขอตัวก่อน"
ในขณะที่จ้านอู๋ซวงจากไปพร้อมกับคนของเขา เจียงอี้มองไปที่แผ่นหลังของเขาและคร่ำครวญ "ตระกูลจ้านคงเต็มไปด้วยความมั่งคั่งเป็นแน่ จ้านอู๋ซวงไม่มีคะแนนใดๆ เขาคงไม่ได้ใช้จ่ายตำลึงทองเป็นเทน้ำเทท่าใช่ไหมนะ?"
“เขาเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลแห่งนักรบสวรรค์ ตราบใดที่มันสามารถช่วยปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา ตำลึงทองก็ไม่ใช่ปัญหา” เฉียนว่านก้วนพยักหน้าเห็นด้วย
เจียงอี้ขมวดคิ้วและถามอีกครั้งว่า "สถานะของจ่างซุนเฟยหูเป็นเช่นไร?"
"เขาเป็นสายเลือดโดยตรง แต่ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่านายน้อยอีกสองคนในตระกูลนั้น"
เฉียนว่านก้วนเผยสีหน้ากังวลและพูดอย่างจริงจังว่า "ลูกพี่ เมื่อเจ้าต้องการออกจากสำนักในครั้งต่อไป อย่าไปโดยไม่มีข้า เมื่ออยู่ในสำนัก เจ้าปลอดภัยและตราบใดเจ้าออกไปข้างนอกแต่เมื่ออยู่กับข้า จ่างซุนเฟยหูจะไม่กล้าแตะต้องเจ้า"
“เอาล่ะ เฉียนว่านก้วน เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าเถอะ ข้าจะเข้าไปบำเพ็ญเช่นกัน”
เจียงอี้ตบบ่าเฉียนว่านก้วนด้วยความขอบคุณ เขารู้ว่าเจ้าก้อนไขมันนี้กำลังวางเดิมพันกับตัวเองและเป็นพ่อค้าที่ใจถึง แต่ในใจของเจียงอี้ เขายอมรับแล้วว่าชายผู้นี้เป็นเพื่อนเขา
หลังจากอำลากับเฉียนว่านก้วนแล้วเจียงอี้ก็กลับไปที่ห้องบ่มเพาะพลัง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ถ้าเขาต้องฝึกฝนตอนนี้ก็ถือว่าครึ่งวันแล้ว และเจียงอี้รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเท่าไหร่
โถงจารึกเทพ?
เจียงอี้เดินผ่านไปที่โถงจารึกเทพโดยไม่รู้ตัว จ้านอู๋ซวงเพิ่งเข้ามาและดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะมีพลังลึกลับที่ดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก
ข้าควรเข้าไปดูดีไหม?
เจียงอี้ลังเล สามร้อยคะแนนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และมันอาจอยู่ได้อย่างน้อยก็ร้อยห้าสิบวันในห้องบ่มเพาะพลัง หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง ในที่สุดเจียงอี้ก็ไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นได้ เขากัดฟันและเดินเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งได้สามร้อยคะแนนมา ถือว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน
"ป้ายหยก!"
ที่ทางเข้าห้องโถงมีทหารรักษาการณ์สองคนที่ขวางกั้นเจียงอี้พร้อมการแสดงออกทางอารมณ์ เจียงอี้หยิบป้ายหยกออกมาแล้วส่งให้ทหารรักษาการณ์ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า "สองชั่วโมงต่อสามร้อยคะแนน เจ้ามีแปดร้อยคะแนน เจ้าจะสามารถอยู่ได้นานสุดสี่ชั่วโมงเท่านั้น เข้าไปได้!"
หลังจากเจียงอี้เดินไปแล้ว ทหารรักษาการณ์ทั้งสองก็มองหน้ากันและปล่อยท่าทางเย้ยหยันออกมา หนึ่งในพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่ง? เขาต้องการที่จะเข้าใจจารึกเทพหรือ? สมองเขาไม่ปกติหรือ?”
...
โถงจารึกเทพมีขนาดใหญ่มากก!
เมื่อเจียงอี้เดินเข้ามาเขาก็รู้ว่าภายในห้องโถงนี้กว้างขวางมาก ข้างหน้ามีตรอกทางเดินหกเส้นเชื่อมต่อกับห้องโถงทั้งหกห้อง เห็นได้ชัดว่าห้องโถงนั้นแยกรูปปั้นไว้ในแต่ละห้อง
เมื่อเวลากำลังเดินอยู่ เจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะเกียจคร้าน เขาสุ่มเลือกตรอกทางเดินหนึ่งที่เชื่อมต่อกับห้องโถงข้างๆ ตรงกลางห้องโถงนั้นมีรูปปั้นรูปร่างมนุษย์ที่มีจารึกหินสองอันตั้งอยู่ด้านข้างของรูปปั้น หนึ่งในนั้นถูกแกะสลักด้วยคำพูดเล็ก ๆในขณะที่อีกฝั่งไม่มีคำใดๆนอกจากภาพที่ซับซ้อนและแปลกประหลาด
บุคคลนี้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่กลิ่นอายที่เผยออกมานั้นทำให้ผู้อื่นไม่กล้ามองดูโดยตรง
เจียงอี้กวาดตามองไปที่รูปปั้นและรู้สึกหายใจไม่ออก บุคคลนั้นมีผมหงอกและดวงตาแดงก่ำ เขาสวมชุดเกราะสีโลหิตและใช้อาวุธง้าวสีโลหิต เขาดูเหมือนกับผู้สังหารเทพ
ราชันย์สวรรค์สังหาร...ผู้อยู่ยงคงกระพันที่อาศัยอยู่บนทวีปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสงครามและการต่อสู้ เขาสังหารศัตรูนับแสน ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดมาเล่าเรื่องราวที่ได้ต่อสู้กับเขา ...
เจียงอี้กวาดสายตามองไปที่จารึกหินด้านซ้าย มันเป็นคำอธิบายง่ายๆเกี่ยวกับชีวิตของบุคคลในรูปปั้น บุคคลนี้มีการดำรงอยู่ที่น่ากลัว ที่โด่งดังจากการเป็นคนบ้าคลั่งจากการสังหารหมู่ ไม่มีคนรุ่นเดียวกันคนไหนที่สามารถเทียบเขาได้ และจำนวนศัตรูที่เขาสังหารนั้นมีจำนวนมากถึงสิบล้านคน.....
โถงจารึกเทพนั้นต้องใช้คะแนนสามร้อยคะแนนทุกๆสองชั่วโมง ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่อยู่นานเกินไปกว่านี้และมองดูจารึกหินอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าภาพที่ซับซ้อนนี้ถูกทิ้งไว้โดยราชันย์สวรรค์สังหาร
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ผิดหวังคือหลังจากเขาดูทั่วจารึกหินหลายครั้ง เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่ตอนที่เขาพยายามวิเคราะห์บางอย่าง เขาไม่เข้าใจเลยว่าภาพเหล่านั้นหมายถึงอะไร
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นว่าคะแนนสะสมสามร้อยคะแนนกำลังจะสูญเปล่า เจียงอี้ก็ตื่นตระหนก เขาไม่ต้องการไปที่ห้องโถงด้านอื่นและกลัวว่าจะเสียเวลาถ้ามีคนอยู่ห้องอื่นๆแล้ว
ภาพนี้มีความหมายว่าอะไรกัน? มันเป็นทักษะการต่อสู้? มันจะเป็นอะไรไปได้? ภาพนี้ซับซ้อนเกินไปและมีที่ที่ไม่ชัดเจน!
เจียงอี้กะพริบตาไปมาด้วยความสับสน ทันใดนั้นเขาก็ตบหัวและสาปแช่งตัวเองเพราะเป็นคนโง่ เขามีความสามารถในการปรับปรุงวิสัยทัศน์ของเขาด้วยแก่นแท้พลังสีดำไม่ใช่หรือไง? บางทีเขาอาจจะสามารถค้นหาส่วนสำคัญของภาพนี้ได้
"ฟึ่บ"
ทันทีที่เขาใช้แก่นแท้พลังสีดำไปที่ดวงตาของเขา ก็มีบางสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้น
รูปปั้นและจารึกหินปล่อยแสงสีแดงออกมาทันใด กลิ่นอายการสังหารที่น่ากลัวที่สุดได้ถูกปล่อยออกมาจากรูปปั้นและจารึกหินซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งสำนัก ทำให้ทุกคนประหลาดใจ