GE392 ขอบเขตกระดูกหยกที่ 4 [ฟรี]
หนิงฝานในยามนี้หลับลึกราวกับไร้สติ
แต่ถึงอย่างนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงริมฝีปากเย็นๆที่สัมผัสกับริมฝีปากของตน
ร่างกายของเขาตอบสนองกับการสัมผัสไปตามสัญชาตญาณอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกาย
การต่อสู้ที่รุนแรงทำให้ร่างกายหนิงฝานบาดเจ็บอย่างหนัก แม้จะมีวิชาร่างวิญญาณหรือวิชาดาราทมิฬช่วยเร่งการฟื้นฟู แต่ยังไม่อาจฟื้นฟูได้ทัน
หนิงฝานสัมผัสพบของเหลวสีทองบางอย่างไหลผ่านลำคอ ร่างกายร้อนผ่าว แต่เมื่อมันไหลลงไปถึงท้อง พลังงานที่แผ่ออกมาจากมันไหลเวียนไปทั่วร่าง แก่นโลหิตที่เคยเสียหายได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รอยสักอสูรที่แผ่นหลังของเขายังได้รับผลจากโลหิตหยดนั้น ราวกับทำให้มันยกระดับ ทั้งยังเพิ่มปราณในร่างได้ถึงหมื่นเกราะ
แต่น่าเสียดายที่ยามนี้หนิงฝานไม่อาจควบคุมร่างกายให้ดูดซับโลหิตหยดนั้นได้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งรอยสักอสูรเป็นผู้ดูดซับไปซะส่วนใหญ่
เดิมทีรอยสักอสูรรวมกับหลายๆอย่างในร่าง ช่วยให้ร่างกายของเขายกระดับถึงขอบเขตกระดูกหยกที่ 3... เหลืออีกเพียงก้าวเดียวจะทะลวงขอบเขตกระดูกหยกที่ 1 ซึ่งโลหิตสีทองที่รอยสักดูดซับไปนั้น เติมเต็มในส่วนนี้ได้พอดี
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาร้อนรุ่มราวกับถูกเพลิงเผา ผ่านไปไม่นาน เขารู้สึกราวกับร่างกาย
ถูกเสริมความแข็งแกร่งเข้าไป... หนิงฝานเห็นภาพภูเขาปีศาจที่รายล้อมด้วยหมอกหนา ภายในหมอกนั้น เขาเห็นดวงตาปีศาจข้างหนึ่งปรากฏ แต่ดวงตายังปิดสนิท
ภาพการปรากฏขึ้นของดวงตาปีศาจในห้วงความคิด คือสัญญาณบอกว่าหนิงฝานทะลวงขอบเขตกระดูกหยกที่ 4 ได้สำเร็จ
ยามนี้แม้จะยังไม่บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตกระดูกหยก แต่ร่างกายที่ได้การเสริมพลังจากขอบเขต จากรอยสักอสูร และจากวิชาศพปีศาจ ทำให้หนิงฝานแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้บรรลุขอบเขตกระดูกหยกขั้นสูงสุด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่ทัดเทียมผู้บรรลุขอบเขตกายทองคำ
ดูเหมือนยามนี้ หนิงฝานจะกลายเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ 7 ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดของทะเลส่วนใน
หนิงฝานทะลวงขอบเขตกระดูกหยกที่ 4 ในขณะหลับ เขาจึงไม่รู้ว่าโลหิตสีทองหยดนั้นเป็นของใคร
หนิงฝานสนใจกับดวงตาปีศาจที่ปรากฏในความคิด ให้ความรู้สึกที่ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก แต่หนิงฝานคิดว่า นั่นคือเส้นทางฝ่ายอธรรมที่ทรงพลัง
หนิงฝานสัมผัสได้ว่า หากร่างกายของเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของขอบเขตกระดูกหยก และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตกายทองคำ เมื่อนั้น ดวงตาปีศาจดวงนั้นจะลืมขึ้น รอยสักของเขาก็จะยกระดับไปอีกขั้น
เมื่อถึงยามนั้น หนิงฝานไม่รู้ว่าตนเองจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขารู้แค่เพียงว่า หากจิตใจของเขาสับสน เขาอาจจะตกลงสู่ก้นเหวของความมืดมิด
“ข้าต้องไปเผ่าปีศาจยักษ์ ไปหาคำตอบในสิ่งที่ข้าสงสัย” หนิงฝานเริ่มได้สติ เมื่อร่างกายบรรลุขอบเขตกระดูกหยก แก่นโลหิตที่เสียไป และอาการบาดเจ็บต่างๆก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปหนึ่งวัน อาการบาดเจ็บของหนิงฝานหายสนิท และเขาก็เริ่มลืมตา
เมื่อตื่นขึ้น หนิงฝานเร่งกินโอสถรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าอาการบาดเจ็บภายในหายสนิท
ภายในถ้ำที่หนิงฝานอยู่นั้นมืดสลัว มีเพียงศิลาที่เปล่งแสงจางๆที่ผนังถ้ำเท่านั้น
เมื่อดูดซับโอสถเสร็จ หนิงฝานเหลือบไปเห็นหยูฉงเอ๋อร์นั่งกอดเข่าอยู่มุมถ้ำ ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้โลหิต
เมื่อลองขบคิด หนิงฝานก็รู้ว่าโลหิตสีทองนั้นมาจากไหน… โลหิตสมควรเป็นของนาง เหตุใดนางถึงมอบโลหิตให้เขา
เขาเอามือสัมผัสที่ริมฝีปากตน ความรู้สึกราวกับได้จูบกับบางคนในฝันนั้น บางทีสตรีนางนั้นสมควรเป็นฉงเอ๋อร์
“หยูฉงเอ๋อร์...” หนิงฝานกล่าวเบาๆพลางพับแขนอาภรณ์ โคจรวิชาดาราทมิฬเปล่งแสงดาราอาบไล้ทั่วร่างของนางเพื่อช่วยรักษา
จากนั้นนำผ้าคลุมที่ทำขึ้นจากขนสัตว์อสูรตัดวิญญาณออกมาคลุมร่างนาง
“ขอบคุณ...” ใบหน้าแดงระเรื่อ นางรู้ว่าหนิงฝานเป็นห่วง
“พูดขอบคุณกับเขาเป็นด้วยเหรอ?” หนิงฝานยิ้ม นางมักจะตำหนิเขาอยู่เสมอ แต่ยามนี้นางกลับกล่าวขอบคุณจากใจจริง
“ทำไม...ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า” นางไม่กล้าสบตาหนิงฝาน
“ข้าช่วยก็เพราะอยากช่วย… หรือเจ้าอยากตอบแทนข้า?” หนิงฝานกล่าว
“ซัวหมิง! ที่เจ้าช่วยข้าก็เพราะหวังสิ่งตอบแทนงั้นเหรอ?” นางจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง
“อะไรกัน… ข้าช่วยเจ้า เจ้าก็ตอบแทน ถือเป็นเรื่องธรรมดา... หรือเจ้าจะคิดว่า...ที่ข้าช่วยก็เพราะเสน่หาในตัวเจ้า?”
“ข้าไม่เคยคิด… แล้วข้าก็ตอบแทน...” จู่ๆใบหน้านางกลับแดงระเรื่อ ไม่อาจกล่าวได้ต่อ
เพราะวิธีที่นางตอบแทนหนิงฝานนั้นน่าอาย นางมอบโลหิตที่ล้ำค่าให้ด้วยการจูบ นางอายเกินกว่าจะพูด
“เจ้าตอบแทนข้าแล้ว? ยังไง… ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง?”
“ข้าไม่รู้ เลิกถามข้าได้แล้ว...” นางไม่เสียดายที่จะมอบโลหิตหยดนั้นให้ เพราะหนิงฝานเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง เป็นผู้ทำให้นางได้มีโอกาสไปรักษามารดา นั่นหมายความว่าหนิงฝานช่วยนางไว้ถึง 2 ต่อ
การที่นางมอบโลหิตให้ถือเป็นการตอบแทนต่อแรก นางยังต้องตอบแทนหนิงฝานอีกครั้ง
“เจ้าอยากให้ข้าตอบแทนเหรอ? ข้าพอมีโอสถผันแปรที่ 5 ติดตัวอยู่บ้าง… หรือหากเจ้าต้องการวิชาของตระกูลข้า ข้าก็มอบให้ได้...”
“ข้ามีโอสถผันแปรที่ 5 อยู่แล้ว… ส่วนวิชาของตระกูลเจ้าข้าก็ไม่ได้สนใจ...” หนิงฝานขมวดคิ้วพลางจ้องมองเรือนร่างของนาง โดยตั้งใจเพ่งมองบริเวณหน้าอก
“ข้าอยากได้สิ่งนั้น!”
“ซัวหมิง! นี่เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ เจ้ามันไร้ยางอาย” นางเร่งเอามือกุมหน้าอกของตนไว้ แม้หนิงฝานจะต้องการเรือนร่างนาง แต่นางไม่มีทางยอมให้เด็ดขาด
หนิงฝานยิ้ม เขาเดินตรงเข้าหานางที่อ่อนแรง
นางสั่นสะท้านและหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก “เจ้า...เจ้าจะทำอะไร?”
“เอารางวัลที่ช่วยชีวิตเจ้า!”
เมื่อกล่าวเสร็จ หนิงฝานใช้นิ้วชี้สัมผัสที่ต้นคอของนาง นางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แม้อยากจะขัดขืน แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ
นิ้วชี้ของหนิงฝานเคลื่อนสัมผัสจากต้นคอไล่ลงมายังบริเวณแผ่นอก ก่อนจะเริ่มปลดผ้าคลุมบริเวณหัวไหล่ของนาง!
นางโกรธและอยากจะเอากระบี่แทงหนิงฝานให้ตาย แต่นางรู้ว่าสู้เขาไม่ได้ สมองนางขบคิดร้อยแปด
แต่เมื่อหนิงฝานปลดผ้าคลุมบริเวณหัวไหล่ของนางแล้ว เขาก็หยุดมือพลางจ้องมองใบหน้าที่งดงามของนาง
“เจ้ากลัวอะไร?” หนิงฝานกล่าวถาม
“ก็กลัวเจ้าหน่ะสิ...” นางพยายามทำใจสู้ เงยหน้ามองหนิงฝาน แต่แล้วนางกลับตกตะลึง
หนิงฝานถอดเพียงผ้าคลุมไหล่ของนางเท่านั้น
“เจ้าถอดผ้าคลุมของข้าทำไม...” นางกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ข้าแค่จะเอาของตอบแทนจากเจ้าเท่านั้น… ผ้าคลุมนี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงนิยมใช้ อาจารย์ของเจ้าให้มาใช่มั้ย?”
“อะไรนะ! เจ้าแค่อยากได้ผ้าคลุม ไม่ได้อยากได้ตัวข้า?” นางผ่อนคลาย แต่ก็ยังอับอายอยู่ดี
หากเทียบกับการเสียพรหมจรรย์แล้ว แค่เสียผ้าคลุมนับเป็นเรื่องเล็ก
แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ผ้าคลุมของนางก็เป็นถึงสมบัติระดับไร้แบ่งแยก อาจารย์ของนางเป็นผู้มอบให้ หากมันไม่อยู่กับนาง นางก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับอาจารย์ยังไง
ส่วนใหญ่แล้วผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณจะใช้อาวุธระดับตัดวิญญาณ
ผู้เชี่ยชาญไร้ดัดแปลงส่วนใหญ่ใช้อาวุธระดับไร้ดัดแปลง
“หรือเจ้าอยากจะใช้ร่างกายตอบแทน? เจ้าคิดว่าสมบัติชิ้นนั้นมีค่ามากกว่าตัวเจ้างั้นเหรอ?” หนิงฝานกล่าว
“อืม...”
หนิงฝานเก็บผ้าคลุมของนางไป เพราะเขาชอบมันมาก
ผ้าคลุมผืนนี้มีชื่อว่า ‘ผ้าคลุมลวงสวรรค์’ มีความสามารถในการปกปิดตัวตน สามารถป้องกันสัมผัสเทพของผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกได้
มีชีวิตรอดแลกกับการสูญเสียสิ่งของนับว่าคุ้มค่า
การเสี่ยงช่วยเหลือนางทำให้หนิงฝานต้องบาดเจ็บหนัก ซ้ำยังเสียทาสไปไม่น้อย แต่หนิงฝานไม่ได้เสียดาย
“กลับส่วนที่ 1 กันเถอะ” นางกล่าว
นางหวากลัวสถานที่แห่งนี้ ที่นี่มีอสูรโลหิตที่ทรงพลัง หากไม่รีบหนีไปจากที่นี่ นางกลัวว่าจะไม่มีโอกาสออกไปได้อีก
“ถ้าเจ้ากลัวมากขนาดนั้น… ทำไมถึงเจ้าไปขโมยสมุนไพรของราชาอสูร เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพี่ชายของเจ้าเกือบตายเพราะเจ้า!” หนิงฝานกล่าว นางเป็นเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วหวาดกลัว
“ข้าไม่รู้… ข้าคิดแค่ว่าข้ามีผ้าคลุมลวงสวรรค์ หากข้าระวัง ราชาอสูรคงไม่พบ… นี่คือหญ้ามังกรโลหิต เป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษามารดาข้า ตระกูลหยูของข้าใช้เวลานับ 100 ปีในการตามหามันแต่ก็ยังไม่พบ… ในเมื่อข้าพบโอกาสตรงหน้า ข้าก็เลยฉกฉวยมันเอาไว้… ซัวหมิง… ท่านพี่จะเกลียดข้าหรือเปล่า?”
นางโศกเศร้า น้ำตาคลอ ไหล่สั่นเทาราวกับรู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นผิดมาก แต่หากให้นางเลือกอีกครั้ง นางก็ยังจะทำเช่นเดิมเพื่อมารดาของตน
หนิงฝานนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าว
“เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีใครถูกสังหารทั้งนั้น ข้าเป็นคนช่วยพวกนั้นเอง หากกลับไปส่วนที่ 1 คงไม่มีใครกล้าตำหนิเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าข้า… แต่ข้าจะยังรั้งอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? ที่นี่อันตรายมากนะ” นางหวาดกลัว ดูเหมือนหนิงฝานจะไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายแค่ไหน
“ข้ามีวิธี… หากยกระดับผ้าคลุมลวงสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นส่วนที่ 3 เราก็เข้าไปได้” หนิงฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาตั้งใจจะยกระดับผ้าคลุมลวงสวรรค์อำพรางกายจากอสูรไร้แบ่งแยก แต่หากการยกระดับผ้าคลุมลวงสวรรค์ไม่สำเร็จ เขายังมีกระบี่มังกรโลหิตที่จะทำให้ท่องไปทั่วส่วนที่ 2 แห่งนี้ได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย… เพียงแต่หนิงฝานไม่ได้เล่าเรื่องกระบี่มังกรโลหิตให้นางฟัง
“ผ้าคลุมลวงสวรรค์? สมบัติระดับไร้แบ่งแยก เจ้าจะยกระดับและผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมันได้ยังไง? มีเพียงผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกเท่านั้นที่ทำได้” นางจ้องมองหนิงฝาน นางคิดว่าหนิงฝานไม่อาจยกระดับชุดคลุมลวงสวรรค์ได้
“ไร้แบ่งแยก… แต่ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้”
หนิงฝานมั่นใจในตนเอง เขามีวิชาของผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก แม้การจะยกระดับและผสานกับผ้าคลุมลวงสวรรค์จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
อย่างน้อยๆก็ลองได้...
เมื่อได้เห็นแววตามั่นใจของหนิงฝาน นางกลับเขินอายไม่กล้าจ้องมอง
ความหลงลำพองทำให้คนเย่อหยิ่งถือดี แต่ความมั่นใจทำให้คนมีเสน่ห์
และจากสายตาของหนิงฝานแล้ว ก็ทำให้นางคิดว่าเขาอาจจะทำได้จริงๆ...