2 เครื่องโฮโลแกรม
2 เครื่องโฮโลแกรม
ห้าชั่วโมงผ่านไป ยามราตรีได้เคลื่อนเข้ามา
“หมู่บ้านเจาหยางซุน”(หมู่บ้านตะวันใหม่) นั้นตั้งอยู่ติดกับพื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีแห่งสหพันธ์รัฐ หมายเลย 23
ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว หมู่บ้านเจาหยางซุนนั้นกลับเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตทรุดโทรมและราคาถูกที่สุดของเมืองฝูเกอ
ทำเลที่ตั้งติดกับสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ ก็หมายถึงสภาพอากาศที่เลวร้ายด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งมีกลิ่นเหม็นฉุนแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของอากาศ ถึงแม้ในตัวเมืองจะมีท้องฟ้าที่สดใสและก้อนเมฆขาวสะอาด แต่ที่แห่งนี้กลับเหมือนมีแผ่นกระดาษสีเทาปกคลุมท้องฟ้าอยู่เสมอ ในทั้งหมด 19 เขตที่อยู่อาศัยของเมืองฝูเกอ ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ต่ำที่สุดในทั้งหมดแล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติ ที่ราคาค่าเช่าจะถูกที่สุดเช่นกัน
ไม่ว่าราคาค่าเช่ามันจะถูกมากแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีใครที่อยากจะมาอาศัยอยู่ติดกับสถานที่ทิ้งขยะกัมมันตรังภาพรังสีแบบนี้ ดังนั้น ตึกที่พักอาศัยจำนวนมากจึงถูกว่างเปล่าไร้ผู้อยู่อาศัย วันเวลาที่ไหลผ่านไป ตึกเหล่านี้ก็เริ่มสึกหรอและไม่ได้รับการซ่อมบำรุงเลย ดังนั้น ทั้งภายในและภายนอกตึกจึงเต็มไปด้วยรอยแตก ตลอดทางเดินก็เต็มไปด้วยหยากไย่ ทุกๆอย่างรวมกันแล้วก็ไม่ต่างไปจากเมืองผีเมืองหนึ่งเลย
และหลี่เย้าก็เป็นผู้อยู่อาศัยใน “เมืองผี” แห่งนี้ มาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้ว
เขาชอบความเงียบสงบของที่นี่ เพราะไม่มีใครมารบกวนเขา ในตอนที่เขาซ่อมแซมหรือจำลองแบบอาร์ติเฟ็กซ์อยู่ภายในบ้าน อีกทั้ง มันยังอยู่ใกล้กับสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ ราคาค่าเช่าก็ถูก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นข้อดีสำหรับเขาทั้งนั้น
บ้านของเขานั้นมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 50 ตารางเมตร มันมีห้องอยู่สองห้อง หนึ่งห้องชั้นนอก และหนึ่งห้องชั้นใน ห้องชั้นนอกนั้นเป็นห้องสำหรับ กินข้าว,ดื่ม,และความบันเทิงต่างๆ ส่วนห้องชั้นในที่เป็นห้องนอนนั้น ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องเวิร์กช็อปสำหรับทำงานเกี่ยวกับอาร์ติเฟ็กซ์แทน
เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน สิ่งแรกที่เตะตามากที่สุดก็คงจะเป็น คริสตัลโพรเซสเซอร์หลายร้อยชิ้นที่ห้อยลงมาตามเชือก ราวกับหัวกะโหลกที่ถูกร้อยเรียงลงมา
คริสตัลโพรเซสเซอร์เหล่านี้ได้ผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปีแล้ว และพวกมันก็หมดความสามารถในการทำงานไปแล้วเช่นกัน พวกมันถูกหลี่เย้าเก็บกลับมา เพื่อเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นของสะสมของเขา เขามีความคลั่งไคล้ในคริสตัลโพรเซสเซอร์เหล่านี้มาก และหลงใหลในอาร์ติเฟ็กซ์ประเภทนี้ ซึ่งเป็นอาร์ติเฟ็กซ์ที่ทำงานคล้ายกับมันสมองของผู้ฝึกตน
ภายในห้องที่คับแคบแห่งนี้เต็มไปด้วยหนังสือกองอยู่เป็นปึกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในยุคนี้เหลืออยู่ให้เห็นไม่มากแล้ว หนังสือเหล่านี้มีชื่อหนังสืออยู่ด้วย เช่น <วิธีการซ่อมอาร์ติเฟ็กซ์>, <วิธีสร้างดาบบินสำหรับผู้เริ่มต้น>, <วิธีการเตรียมตัวสำหรับผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์>, <การซ่อมบำรุงยานรบคริสตัลแบล็ก-เมาท์เทน-เดวิล คลาส>, และ<99วิธีการระเบิดดาวเคราะห์> หนังสือส่วนใหญ่เป็นของจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกมันได้กลายเป็นสีเทาและสีเหลือง และยังมีบางส่วนที่กระดาษหลุดลอกและยับเยิน
ภายในห้องล้อมรอบไปด้วยหนังสือ คริสตัลโพรเซสเซอร์ และบางสิ่งที่ดูคล้ายกับกองฟูก และทั้งหมดนี้ก็คือ โต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนของหลี่เย้า
และภายในห้องเวิร์กช็อปที่อยู่ชั้นในก็เต็มไปด้วยกองสมบัติ ที่หลี่เย้าเก็บมาจากสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ ภายในห้องนั้นมีทั้งดาบบินที่ส่องประกายแวววาว, แผ่นยันต์ที่มีการเขียนอักษรเวทมนตร์กำกับเอาไว้, และยาวิเศษที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมพึงใจ...
แล้วยังมีชิ้นส่วนอาร์ติเฟ็กซ์มากมายที่ถูกหลี่เย้ารื้อแกะชิ้นส่วนออกมา และถูกกองทิ้งเอาไว้ที่มุมห้อง จนกลายเป็นกองภูเขาขยะขนาดย่อมๆ
ในเวลานี้ หลี่เย้ากำลังถืออาร์ติเฟ็กซ์ทรงลูกบาศก์สีเงินเอาไว้ ดวงตาของเขาโชนแสงเป็นประกาย ราวกับหมาป่าที่กำลังจดจ้องกระต่ายตัวน้อยอยู่ และน้ำลายแทบจะไหลออกมาจากมุมปากของเขาแล้ว
ดาบบินด้ามยาวที่มีปีกสีดำได้ยื่นตัวออกมาจากด้านหลังของเขา และพยายามที่จะมองไปรอบๆราวกับงูตัวอ้วนที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สุดยอดไปเลย! นี่มันคือ ‘เครื่องโฮโลแกรม 3D’ รุ่นใหม่ล่าสุดของนิกายเชียนฮ้วน ที่มีราคาถึง 20,000 เหรียญ! ถ้าฉันซ่อมมันได้ ฉันอาจจะขายมันได้ถึง 10,000 เหรียญ! เสี่ยวเฮย เราได้ลาภก้อนใหญ่แล้วล่ะคราวนี้!” หลี่เย้าอดไม่ได้ที่จะผิวปากออกมา
ดาบบินสีดำส่งเสียงร้องแหลมออกมา มันใช่ปีกของมันบินขึ้นบินลง ราวกับมันกำลังเต้นรำอย่างร่าเริงอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่าการแสดงออกของมันจะคล้ายกับ “ความโลภ” ที่ไม่ต่างไปจากเจ้านายของมัน
หลี่เย้ากางมือของเขาออก และมีอุปกรณ์รูปร่างแปลกๆเจ็ดถึงแปดชิ้นโผล่ขึ้นมาระหว่างนิ้วมือของเขา บางชิ้นคล้ายกับไขควง บางชิ้นก็คล้ายกับคีมคีบอันเล็กๆ และบางชิ้นก็มีรูปทรงผอมยาวพอๆกับเข็มเงิน ส่วนบางชิ้นก็คล้ายกับตะขอและโค้งงอ ที่ไม่รู้ชื่อเรียกของมัน
“เสี่ยวเฮย ลองเดาสิว่าจะใช้เวลากี่วิ?”
ดาบบินสีดำส่งเสียงร้องแหลม มันบินขึ้นไปในอากาศ แล้วใช้ปลายดาบเขียนเป็นตัวเลข “50”
“50 วินาทีเหรอ? นายดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว!”
เขาหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ทำตัวนิ่งสงบอยู่สามวินาที หลังจากที่เขาลืมตาขึ้นมา ความโลภและความตื่นเต้นในแววตาของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูคล้ายกับผู้ฝึกตนในอดีต ที่ในแววตาเหลือเพียงความเย็นเยียบและความมั่นใจไหลวนอยู่
อยู่ๆมือทั้งสองข้างของหลี่เย้าก็เริ่มเคลื่อนไหว นิ้วทั้งสิบกลายเป็นลำแสงสิบเส้นที่ปกคลุมอาร์ติเฟ็กซ์สีเงินเอาไว้ ในตอนแรก หากใครมองเข้าไปใกล้ๆ พวกเขาก็อาจจะพอมองการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเขาได้ แต่ไม่นาน พวกเขาก็จะเห็นเพียงแสงไฟวิบวับเท่านั้น เมื่อมีแสงไฟส่องประกาย เสียงก็ดังตามมา
ครึ่งนาทีต่อมา แสงไฟดับลงและเสียงเหล็กกระทบกันก็เงียบไป ภาพเงาหลายร้อยสายได้กลับมาอยู่ในจุดเดิมของมัน ดวงตาของหลี่เย้ายังคงจดจ้องอยู่ที่จุดเดิม โดยไม่เคลื่อนไหวไปไหนเลยแม้แต่น้อย
ส่วนอาร์ติเฟ็กซ์สีเงิน “เครื่องโฮโลแกรม 3D” ได้ถูกหลี่เย้าแยกชิ้นส่วนออกมาได้ถึง 425 ชิ้น
“39 วินาที และเรียบร้อย!”
หลี่เย้าส่งเสียงแห่งชัยชนะออกมา และขยิบตาให้เสี่ยวเฮยอย่างผู้ชนะ จากนั้น เขาก็เริ่มต้นจดจ่อไปที่กับการเรียนรู้ชิ้นส่วนทั้งหมด
“จุ๊ จุ๊ เครื่องโฮโลแกรมของนิกายเชียนฮ้วน นี่เป็นของดีจริงๆ ความละเอียดในการประกอบชิ้นส่วน มันมีความสมดุลในการทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนที่สุดยอดที่สุดก็คงจะเป็น เจ้ามาสเตอร์คริสตัลชิป ตัวนี้ มันมีขนาดเท่าเล็บมือเท่านั้น แต่กลับมีอักขระกำกับเอาไว้กว่า 300 อักขระอยู่บนตัวมันได้ พวกมันทำงานได้ด้วยวงแหวนอักขระกว่ายี่สิบวงที่เรียงต่อๆกัน มันคืองานศิลปะชัดๆ!”
หลี่เย้าถือแว่นขยายเอาไว้ในมือ และสังเกตมาสเตอร์คริสตัลชิปอย่างละเอียด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลุ่มหลง เหมือนกับพวกสาวก ยิ่งเขาสำรวจมากเท่าไร สีหน้าของเขาก็ยิ่งกลายเป็นลุ่มหลงมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มันไม่ถูกต้อง... มันไม่ได้มี 300 อักขระ มาสเตอร์คริสตัลชิปชิ้นนี้ได้ผ่านกระบวนการของเทคโนโลยีคริสตัลโฟลดิ้ง ที่นำเอาคริสตัลชิปสามชิ้นมาซ้อนกันเอาไว้ แล้วชิปแต่ละอันก็ยังเขียนอักขระกำกับเอาไว้ถึง 1,000 อักขระ และรวมตัวเป็นวงแหวนอักขระถึง 300 วงแหวน นี่มันเหลือเชื่อสุดๆไปเลย!”
ยิ่งเขาศึกษามันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น หลี่เย้าจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาทำจนลืมเวลา และจมอยู่กับการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งนานกว่า 3 ชั่วโมง เขาไม่สามารถเข้าใจอักขระได้แม้แต่ตัวเดียว แต่การที่เขาคอยเฝ้าสังเกตสิ่งเหล่านี้ ก็ได้ทำให้เขาตาลายและปวดหัวเล็กน้อย คล้ายกับว่าการมองเห็นของเขามืดลง
ในเวลานี้ อย่างมากที่สุดเขาก็อยู่แค่ในระดับ “จูเนียร์อาร์ติเฟ็กซ์เทคนิเชี่ยน” เท่านั้น ช่องว่างของระดับระหว่างเขากับมาสเตอร์อาร์ติเฟ็กซ์ของ “นิกายเชียนฮ้วน” นั้นกว้างใหญ่มาก
หากว่า “มาสเตอร์คริสตัลชิป” มีปัญหา เขาก็คงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องขายเครื่องโฮโลแกรม 3D ไปในราคาของสินค้ามีตำหนิแทน
โชคดี ที่หลังจากใช้เครื่องเติมพลังงานวิญญาณเติมพลังงานเข้าไป หลี่เย้าก็พบว่า การไหลเวียนของพลังงานวิญญาณของมาสเตอร์คริสตัลชิปปกติดี วงจรพลังงานวิญญาณราบรื่น, วงแหวนอักขระมีความเสถียรดี และไม่มีความผิดปกติใดๆ
หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาก็พบว่า ปัญหาของเครื่องโฮโลแกรม3Dอยู่ที่ท่อส่งพลังงานของคริสตัล ซึ่งเกิดจากการผันผวนที่ผิดปกติของพลังงานวิญญาณ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่อส่งพลังงานคริสตัลไหม้
ถือเป็นโชคดีของหลี่เย้า ที่ท่อส่งพลังงานคริสตัลนี้เป็นวัสดุที่มีอยู่ทั่วไป และสามารถหามาเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย หลี่เย้าจึงได้รีบหาท่อส่งพลังงานที่เขามีอยู่ในบ้านมาใส่แทนที่
เขาหลับตาลง และคิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาแยกชิ้นส่วนออกมาเมื่อกี้นี้ ภาพร่างทุกอย่างได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา มือของเขาขยับเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ ชั่วพริบตาเดียว เครื่องโฮโลแกรม3Dก็ถูกประกอบจนกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
เขาใช้เครื่องเติมพลังงานวิญญาณเพื่อเติมพลังงานเข้าไปในตัวเครื่องโฮโลแกรม ด้านนอกตัวเครื่องได้เปล่งแสงสีฟ้าออกมาบางๆ ราวกับไพลินที่เปล่งแสงแวววาว ดูคล้ายกับแสงไฟที่เปล่งประกายรอบตัวของเหล่าแฟรี่
เมื่อแสงสีฟ้าพุ่งเข้าสู่หน้าผาก ก็ได้ปรากฏภาพของอักขระควบคุมขึ้นที่ส่วนลึกในจิตใจของหลี่เย้า
“ฉายภาพโฮโลแกรม!” หลี่เย้าใช้ความคิดควบคุมอักขระที่เปล่งประกายอยู่ในจิตใจของเขา
แสงสีฟ้าจากเครื่องโฮโลแกรมค่อยๆรวมตัวกันเป็นอักขระตัวหนึ่งที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ซ้อนทับสี่เหลี่ยมอีกอันหนึ่งอยู่(回) วงแหวนสองวงหมุนวนอย่างรวดเร็ว คล้ายกับกระแสน้ำวน ท่ามกลางกระแสน้ำวน ได้ส่องลำแสงสีฟ้าขึ้นไปในอากาศ แล้วรวมตัวกันจนกายเป็นภาพสามมิติขนาดใหญ่ ภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นภาพของผู้ฝึกตนที่ที่สวมใส่ผ้าคลุมรูปยันต์แปดทิศ และมีทรงผมในแบบของผู้สูงศักดิ์ ซึ่งภาพที่เห็นนั้นดูราวกับเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ
ที่ด้านหลังของผู้ฝึกตนที่น่าเลื่อมใสก็ยังมีภาพสามมิติที่ใหญ่กว่าตัวเขาหลายเท่า ภาพสามมิติได้แสดงภาพของภาพร่างของอักขระสีแกงและสีเขียวที่ผสานเข้าด้วยกัน ตัวเลข และลูกศร ทั้งหมดนี้กำลังเต้นเร้าและเกิดการผันผวนของพลังงานอยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าของผู้ฝึกตนนั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเก่าแก่และไร้อารมณ์ออกมาว่า “ข่าวต่อไป เป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก เรื่องเด่นวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ”กลุ่มหวูหยิงเจี้ยน“ได้ปล่อยดาบบินที่ใช้แรงขับเคลื่อนจากวงแหวนอักขระรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว ชื่อว่า”ไวโอเลต ไลท์นิ่ง“สายข่าวได้รายงานมาว่า หลังจากที่เปิดการทำงาน”ไวโอเลต ไลท์นิ่ง“แล้ว สามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดได้ถึง 9% เร่งความเร็วฉับพลันได้ถึง 11% และการสูญเสียพลังงานลดน้อยลงไปกว่า 5% สมรรถนะการทำงานของดาบบินรุ่นนี้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน”
“เมื่อได้เสียงตอบรับที่น่าพอใจ ราคาในตลาดหุ้นของกลุ่มหวูหยิงเจี้ยนได้พุ่งสูงขึ้น เมื่อตลาดหุ้นเปิดในเวลา 10.00น. ราคาหุ้นได้ทะยานสู้ขีดสุดและอยู่ในระดับนั้นไปจนกระทั่งตลาดปิด”
“อุตสาห์กรรมการผลิตดาบบินได้รับผลจากการประกาศในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้ง กลุ่มจวี้เจี้ยนเหมิน, นิกายจี่เป่ยเจี้ยน, และ 22สำนักแห่งกลุ่มหนานห่ายเจี้ยน ตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงและพุ่งสูงจนกระทั่งตลาดปิด หุ้นของกลุ่มอุตสาห์กรรมการผลิตดาบบินได้พุ่งทะยานไปถึง 5.42 จุด”
“อีกด้านของผลกระทบจากการประกาศในครั้งนี้ ราคาหุ้นของ”นิกายจินเชิน“ร่วง ด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการประกาศของดาบบิน”ไวโอเลต ไลท์นิ่ง“ที่ขับเคลื่อนด้วยวงแหวนอักขระ เป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ด้านผู้ประกอบการผลิตเกราะรบไม่สามารถต้านกระแสข่าวดาบบินรุ่นใหม่นี้ได้ ในเวลาที่ตลาดปิด หุ้นของนิกายจินเชินจึงลดลงไปถึง 8%”
“หลังตลาดปิด นิกายจินเชินได้เรียกประชุมด่วน ผู้อาวุโสเฮยเหยียน ตัวแทนของนิกายจินเชิน ได้ออกมาประกาศการพัฒนา”โล่สตาร์สไตรท์“รุ่นใหม่ออกมา ซึ่งต้องขอบคุณทีมค้นคว้าและพัฒนาเกราะรบที่ทำให้การพัฒนาโล่ใกล้สำเร็จในอีกไม่นาน ผลิตภันณ์ต้นแบบจะถูกปล่อยออกมาภายในปีนี้ ได้มีการการันตีความสามารถในการป้องกันและสามารถทนรับแรงจู่โจมจากดาบบินได้”
“ทางด้านเขตเฉาหยวนทางตอนเหนือของสหพันธรัฐ ได้เกิดภัยพิบัติจากการแพร่ระบาดของแบล็กวอร์มสู่สัตว์อสูรวิญญาณ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนในนิกายฝึกสัตว์อสูรหลายนิกายต่างก็ได้รับความเดือดร้อนกว่า 500,000 ราย ภัยพิบัติในครั้งนี้ ได้สร้างผลกระทบต่อราคาในตลาดหุ้นของกลุ่มอุตสาห์กรรมสัตว์อสูร ราคาของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมสัตว์อสูรร่วงลงหนักสุดในรอบสามปี”
“ต่อไป ขอเชิญนักวิเคราะห์ตลาดชื่อดัง คุณเทียนชิงจื้อ มาวิเคราะห์เศรษฐกิจในวันนี้ให้ท่านผู้ชมได้รับฟังครับ”
“...”
หลี่เย้าดูไปได้สักพัก เมื่อยทนยันได้แล้วว่าภาพที่ฉายออกมานั้นราบรื่นดี เสียงชัดเจน และไม่มีการกระตุกหรือลายเส้น ภาพสามมิตินั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และด้วยความสุดยอดของมัน จึงทำให้คนดูจดจ่ออยู่กับมันได้เป็นเวลานาน อาร์ติเฟ็กซ์ชิ้นนี้ได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย เขาก็คิดขึ้นมาภายในจิตใจส่วนลึกของเขา “เปลี่ยนไปช่องบันเทิง”
แสงสีฟ้าส่องสว่างวาบ ผู้ฝึกตนและภาพสามมิติด้านหลังของเขาก็ได้หายไป และมีภาพของกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนสเตเดี่ยมมาแทนที่
สเตเดี่ยมขนาดใหญ่ได้จุคนกว่าหนึ่งแสนคนเอาไว้ พวกเขาต่างร้องตะโกนออกมาจนสั่นสะเทือนไปในอากาศ ภายใต้แสงเลเซอร์หลากสีที่ส่องสว่างอยู่ เหล่าวัยรุ่นนับแสนต่างชูมือขึ้นสูง และส่งเสียงร้องชื่อหนึ่งออกมา
“ลู่ยินชี!”
“ลู่ยินชี!”
“ลู่ยินชี!”
เหนือขึ้นไปยังเวทีที่สูงต่อกันสามชั้น พร้อมกับมีคริสตัลที่ล้อมรอบขอบเวทีเอาไว้ เมื่อเสียงเชียร์ของเหล่าวับรุ่นพุ่งสู่จุดสูงสุด คริสตัลทั้งหมดก็ได้เปล่งแสงออกมาพร้อมกัน หญิงสาวที่ดูร้อนแรงดังลาวา และสวมใส่ชุดสีขาวได้กระโดดขึ้นมาบนเวที เธอมีกู่เจิ้งที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัลพาดเฉียงเอาไว้ที่บริเวณเอวของเธอ มือที่เรียวยาวของเธอได้ดีดไปที่เส้นสายของกู่เจิ้ง จนเกิดเสียงดังกระหึ่มราวกับเสียงกู่ก้องของกองทัพที่แข็งแกร่ง
“จิตใจของฉัน มีฝันที่อยากจะโบยบินอย่างภาคภูมิ อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำคือปลายทางของเรา! มันคือของเรา มุ่ง!สู่!ยุค!ใหม่!”
เลือดในกายของหลี่เย้าเดือดขึ้น ไม่ต่างจากเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่ในภาพนั้น
หญิงสาวที่ชื่อ “ลู่ยินชี” ได้เปล่งประกายอยู่บนเวที เธอนักร้องไอดอลของเหล่าเด็กมัธยม ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสองปีที่ผ่านมานี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่เย็นชาการและการแสดงที่เร่าร้อน ทำให้เธอได้รับความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก เธอได้แต่งเพลง “Forty Millrnniums of Cultivation” ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วสหพันธรัฐภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี เหล่าหนุ่มสาวจำนวนมากได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงนี้ เพื่อมุ่งสู่หนทางแห่งการฝึกตน
หลี่เย้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบเธอ แต่เหตุผลของเขานั้นต่างไปจากคนอื่นๆ เหตุผลที่เขาชอบในตัวของลู่ยินชี ก็เพราะว่าอดีตของพวกเขาทั้งสองนั้นคล้ายกัน
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นเด็กกำพร้า
หลี่เย้าเกิดมาในพื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีหมายเลย 23 ท้องฟ้าของที่นี่ถูกปกคลุมไปฝุ่นควันและมีสีเหลืองมาตั้งแต่ที่เขาจำความได้แล้ว
เขาต้องกินเนื้อเน่าที่ค้นหาเจอได้จากกองขยะ และดื่มน้ำเสียที่มีสารพิษเจือปน ในตอนแรกเริ่ม เขาดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยสัญชาตญาณ และ “ความลับ” ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ สิบกว่าปีที่ต้องทนทรมานและตรากตรำ ได้เปลี่ยนให้เขากลายเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์แห่งนี้ “แร้ง”
ถ้าหาก “ตาแก่” ไม่โผล่มา หลี่เย้าอาจจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนในกลุ่ม “เจ้าอ้วนหลง” หรือไม่ก็กลุ่มของ “หมาป่า”
แต่มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อหกปีที่แล้ว ยานทิ้งขยะได้ทิ้งชายชราลงมาพร้อมกับขยะกว่าหลายสิบตัน หลี่เย้าเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร เขาจึงได้ดึงลากเอาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของชายชราที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกลับมาที่บ้าน
ตั้งแต่นั้นมา โชคชะตาของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ตาแก่ไม่เคยพูดเรื่องในอดีตของเขา หลี่เย้ารู้แต่เพียงว่า เขามีทักษะในการดัดแปลงอาร์ติเฟ็กซ์อยู่ในระดับที่สูงมาก ในเวลาเพียงแค่ห้าปี ตาแก่ได้สั่งสอนทักษะการดัดแปลงอาร์ติเฟ็กซ์ที่น่ามหัศจรรย์และพิลึกพิลั่นให้กับหลี่เย้าจนหมด แล้วเขาก็ยังจ่ายเงินเป็นค่าเรียนในโรงเรียนเอกชนสำหรับหลี่เย้า เพื่อให้เขาสามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมแบบปกติได้ด้วย
เมื่อหนึ่งปีก่อน อาการบาดเจ็บที่เคยเป็นอยู่ได้ลุกลามขึ้น แล้วเขาก็จากโลกนี้ไป เขาได้ทิ้งดาบบินลึกลับที่ชื่อว่า “แบล็กวิง”(เสี่ยวเฮย) เอาไว้ให้หลี่เย้า ตาแก่ได้บอกกับหลี่เย้าว่า แบล็กวิงนั้นเป็นอาวุธที่แปลกประหลาด และเขาก็ใช้เวลาศึกษามันมากว่าครึ่งค่อนชีวิตของเขาแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้าย เขาได้พูดทิ้งท้ายกับหลี่เย้าเอาไว้ว่า
“เสี่ยวเย้า ตลอดชีวิตของตาแก่คนนี้ได้เดินทางไปดาวเคราะห์มาแล้วหลายสิบดวง ฉันได้พบได้เห็นนักดัดแปลงและผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์มาแล้วมากมาย แต่เธอคือคนที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติที่สูงที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาทั้งหมด!”
“ด้วยมือที่ไม่อาจจะเรียกว่ามือของมนุษย์ได้ของเธอ ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอไปอยู่ในระดับต่ำของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ได้แล้ว เธอเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากอย่างแท้จริง”
“แต่จะพึ่งพาแค่พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ! การพึ่งพาแค่เพียงพรสวรรค์อย่างเดียว เธอก็จะเป็นได้แค่ผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับต่ำไปตลอดชีวิต!”
“สัญญากับตาแก่คนนี้มา ว่าเธอจะตั้งใจเรียน และสู้เพื่อให้ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แล้วกลายเป็นผู้ฝึกตนซะ! ขอเพียงได้กลายเป็นผู้ฝึกตน เธอก็จะมีโอกาสที่จะก้าวไปบนเส้นทางของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น สักวันหนึ่งในอนาคตเธอ...”
“จะกลายเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์!”
ในตอนที่ชายชราพูดประโยคนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น แววตาของเขาเจิดจ้าและเต็มด้วยพลังงานที่ไม่มีวันหมดสิ้น ภาพเหล่านั้นยังคงเป็นความทรงจำที่สดใหม่สำหรับเขา
ผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์...หนึ่งในอาชีพที่มีเกียรติที่สุด นอกจากการเป็นผู้ฝึกตน
เขาไม่รู้ว่า เขาจะทำให้ตาแก่ต้องผิดหวังหรือไม่
ดาบแบล็กวิงคอยอยู่ข้างเขาเงียบๆ มันฟังเสียงร้องของหญิงสาวและการแสดงที่เร่าร้อนของเธอ มันขยับปีกอย่างรุนแรง และเต้นตามเสียงดนตรีที่เร่งร้อน
หลังจากผ่านไปได้สักพัก สีหน้าของเด็กหนุ่มก็คลายลง มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไร้ความกังวล
“ฉันจะต้องคิดมากไปทำไมกัน? ในตอนนี้ ฉันก็แค่เดิมพันหมดหน้าตักก็พอแล้ว!”
“ลู่ยินชีเคยเป็นเด็กกำพร้าตัวเล็กๆคนหนึ่ง แต่แล้วเธอก็ได้กลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แล้วทำไมฉันที่เป็นผู้เก็บกู้ตัวเล็กๆ จะกลายเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์ไม่ได้กันล่ะ?”
เด็กหนุ่มคิดกลับไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในที่ที่ไกลแสนไกลนั้น เขาจำประโยคนี้ได้
“เราควรมีความฝัน เพื่อที่มันอาจจะกลายเป็นจริงได้ในสักวันหนึ่ง?”