1 สุสานอาร์ติเฟ็กซ์
1 สุสานอาร์ติเฟ็กซ์
รัสตี้เลค
พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีแห่งสหพันธ์รัฐ หมายเลย 23
หรือที่รู้จักกันในนามว่า “สุสานอาร์ติเฟกซ์”
การเจริญเติบโตของอารยธรรมในปัจจุบัน ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานของการบ่มเพาะ ในอดีต อาร์ติเฟ็กซ์เคยเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อม แต่อาร์ติเฟกซ์ที่ครั้งหนึ่งถูกใช้งานได้โดยผู้บ่มเพาะเท่านั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกครัวเรือน พวกมันได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับปุถุชนคนธรรมดา ที่ช่วยทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน, การท่องเที่ยว, การเรียน, และการทำงาน
พวกมันช่วยให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์ง่ายขึ้น แต่พวกมันก็ได้กลายเป็นขยะอาร์ติเฟ็กซ์และเศษชิ้นส่วนโลหะที่ยากต่อการกำจัด
ขยะอาร์ติเฟ็กซ์มักจะมีพลังงานหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกมัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะมลพิษจากรังสี อักขระที่ถูกเขียนกำกับไว้ในอาร์ติเฟ็กซ์มีความแปรปรวนสูงมาก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระเบิดได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย ขยะอาร์ติเฟกซ์จะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้น ในพื้นที่ชั้นนอกสุดของทุกๆเมืองในสหพันธ์รัฐ จึงได้มีการจัดตั้ง “พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสี”ขึ้น เพื่อจัดการกับขยะอาร์ติเฟกซ์เหล่านี้
พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสี หมายเลข 23 นั้น ได้ตั้งอยู่ชานเมืองทางทิศใต้ของเมือง “ฝูเกอ”
ภายใต้ม่านหมอกสีเหลืองที่สลัวลาง มีหนองน้ำสีม่วงที่ปนเปื้อนไปด้วยมลพิษ ปลายยอดของภูเขาเศษเหล็กที่โผล่พ้นขึ้นมาจากหนองน้ำคล้ายกับกระดูกสันหลังของสัตว์ร้าย เศษชิ้นส่วนของดาบบินได้กระจัดกระจายไปทั่วยอดเขา สิ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับกองเศษดาบคือโกเลมคริสตัลที่เขรอะไปด้วยสนิม แววตาที่ว่างเปล่าของมันแสดงให้เห็นว่าพลังวิญญาณได้ดับแสงไปเนิ่นนานแล้ว เหลือแต่เพียงแมลงที่คอยกัดกินแก่นวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น มันได้โผล่ออกมาจากกะโหลกศีรษะของโกเลม และคอยสอดส่องสายตาไปรอบๆ “สุสานอาร์ติเฟ็กซ์” ที่มีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่ทุกที่ด้วยอย่างระแวดระวัง
“บึม!”
ไม่ไกลจากภูเขาขยะ อักขระบนอาร์ติเฟ็กซ์ที่ถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะได้เกิดการแตกตัว พลังวิญญาณจำนวนมากที่ถูกกักเก็บไว้ด้านในได้เกิดการระเบิดออกมา จนทำให้ครึ่งหนึ่งของภูเขาขยะปลิวหายไปในอากาศ
เศษเหล็กจำนวนมากได้กระจายอยู่ในอากาศ ราวกับภาพของหญิงสาวที่กำลังโปรยกรีบดอกไม้ จนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ภูเขาขยะที่อยู่รอบด้านต่างก็ได้รับผลกระทบต่อกันไปเป็นทอดๆ หากแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็จะเห็นฝุ่นควันลอยอยู่เต็มไปหมด มันให้ความรู้สึกราวกับ เหล่าปีศาจร้ายกำลังเริงระบำอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า
ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิต มีเพียงเหล่าแมลงสาบและหนอนปรสิตเท่านั้น ที่คิดว่ามันคือสรวงสวรรค์ของพวกมัน
แต่...
หลี่เย้ากลับซุ่มซ่อนอยู่ด้านหลังภูเขาขยะอย่างนิ่งเงียบ และเลียไปที่ริมฝีปากของเขา เขาคลุมตัวเองด้วยเสื้อกันลมสีเหลืองสกปรกเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เขากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ
เขาจ้องมองไปที่ก้อนเมฆรูปเห็ดที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ ในแววตาที่เป็นประกายสดใสของเขา กลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แค่เพียงในเวลาที่เศษเหล็กได้ปลิวกระจายมาถึงจุดที่เขาใช้หลบซ่อนอยู่ เขาจึงได้ถอยหลบเข้าไปในส่วนลึกของกองขยะ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้เลื่อนแว่นตากันลมลงมาสวนเอาไว้ ซึ่งมันได้คลุมใบหน้าของเขาไปเกือบครึ่ง
“มันมาแล้ว!”
เมื่อนาฬิกาพลังงานวิญญาณได้สั่นเตือนบอกเวลา ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา และมุมปากของเขาก็ยกขึ้นยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
3:52:38 น. เป็นช่วงเวลาของการทิ้งขยะประจำวัน หรือคนที่รู้จักกันในนาม “ผู้เก็บกู้” อย่างหลี่เย้าเรียกมันว่าช่วงเวลาของงานเลี้ยง
นาฬิกาพลังงานวิญญาณที่อยู่บนข้อมือของเขานั้น เป็นนาฬิการุ่นอีลีทฮันเตอร์ ที่ผลิตขึ้นมาเมื่อสามปีก่อนโดยนิกายของผู้ฝึกตนที่ชื่อว่า “นิกายเฟยหลิง” เขาเจอมันอยู่ในกองภูเขาขยะ และใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองเดือนในการซ่อมแซมให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม
นอกจากฟังค์ชั่นของการบอกเวลาแล้ว มันยังมีความพิเศษอย่างอื่นอยู่ด้วย มันสามารถตรวจจับคลื่นความถี่พิเศษของการสั่นสะเทือนได้ด้วย เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อไหร่ เจ้าของนาฬิกาก็จะได้รับการแจ้งเตือนในทันที
ฟังค์ชั่นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับแจ้งเตือนนักล่า เกี่ยวกับการปรากฏตัวของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
แต่เมื่อมันได้รับการปรับแต่งจากหลี่เย้าแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยนให้มันแจ้งเตือนสำหรับการมาถึงของยานทิ้งขยะแทน
ในเวลาไม่นาน ได้มีเสียงหวืดของเครื่องยนต์นำมา ก่อนที่จะตามมาด้วยจุดสีดำหลายสิบจุด ที่ปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าทิศเหนือ
ฝุ่นควันที่เกิดจากการระเบิดได้ปกคลุมผืนดินและแผ่คลุมท้องฟ้าเอาไว้ และยังคงไม่จางหายไปไหน จุดสีดำหลายสิบจุดได้กลืนเข้ากับฝุ่นควันเหล่านั้นจนแยกไม่ออก
หลี่เย้าเงยหน้าขึ้น นิ้วมือของเขาสัมผัสไปที่อักขระที่อยู่ข้างหน้ากากของเขาเบาๆ “วูซ” แผ่นสีแดงเลือดได้ปรากฏขึ้นบนที่กระจกของหน้ากาก
ภายใต้การมองเห็นสีแดงเลือด เค้าโครงร่างทรงกลมของยานทิ้งขยะที่ซ่อนอยู่ในฝุ่นควัน ก็ปรากฏออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
นาฬิกาพลังงานวิญญาณยังได้ถูกติดตั้งฟังค์ชั่น การแจ้งเตือนความถี่พิเศษของการสั่นสะเทือนของยานทิ้งขยะเพียงลำเดียวเท่านั้น
“ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327 ฉันเลือกแก!”
ตั้งแต่ที่หลี่เย้าเกิดมา จนกระทั่งเขามีอายุได้ 10 ขวบ ในระยะเวลา 10 ปีนี้เขาได้อาศัยอยู่ที่ “สุสานอาร์ติเฟ็กซ์” แห่งนี้มาตลอด เขารู้จักผืนดินในทุกๆตารางนิ้วและยานทิ้งขยะทุกลำที่อยู่บนฟ้า ราวกับว่า พวกมันคือนิ้วที่อยู่บนมือของเขา แล้ว “ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327” นั้น คือยานทิ้งขยะที่รับผิดชอบขยะจาก “เขตช่างตง” ที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของเมืองฝูเกอ
เขตช่างตงคือเขตที่หรูหราราคาแพงที่สุด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมาก ดังนั้น อาร์ติเฟกที่พวกเขาทิ้งขว้างจึงเป็นขยะที่มีค่ามากกว่าขยะจากเขตอื่นๆ
อาร์ติเฟ็กซ์หลายอย่างก็ยังคงสามารถใช้งานได้ดีอยู่ พวกเขาถูกนำมาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี เพียงเพราะว่าผู้ฝึกตนและเศรษฐีมีเงินเหล่านั้นคิดว่ามันล่าสมัยไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะมีอาร์ติเฟ็กซ์รุ่นใหม่ถูกปล่อยออกมาแทนที่พวกมัน
ในสายตาของหลี่เย้านั้น นี่ไม่ใช่ยานทิ้งขยะ แต่มันคือยานสมบัติที่เต็มไปด้วยทองคำต่างหาก!
“หวืดดด!”
ขาทั้งสองข้างของหลี่เย้าส่งแรงกระเพื่อมออกมา เขาเร่งฝีเท้าวิ่งผ่านภูเขาขยะและฝ่าเข้าไปในฝุ่นควัน แล้วพุ่งทะยานไปยังจุดที่ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327 จอดอยู่อย่างรวดเร็ว ราวกับปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกมา
กองภูเขาขยะที่อยู่รอบตัวเขานั้นจวนเจียนจะล้ม ฟองพิษร้ายผุดขึ้นมาที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา หลี่เย้านั้นเป็นราวกับลิงป่าที่มีความว่องไวสูง ในทุกๆครั้งที่ย้ำเท้าลงไปบนกองภูเขาขยะ เขาจะอัดแรงลงไปด้วย ในการเคลื่อนไหวแต่ละก้าวของเขา จึงพุ่งไปไกลกว่าหลายสิบเมตร การเคลื่อนไหวของเขาราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆและวิ่งอยู่บนน้ำ ที่ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง
“เจ้าสารเลวหลี่เย้า แกคิดจะมาแย่งอาหารกับฉันอีกแล้วสินะ!”
ในเวลานั้นเอง ที่ด้านล่างของกองภูเขาปรากฏร่างของคนสิบกว่าคนให้เห็น พวกเขาแต่งตัวคล้ายกับหลี่เย้า ยกเว้นก็แต่ พวกเขาไม่มีหน้ากากกันลมที่เปลี่ยนเป็นสีแดงได้ และนาฬิกาพลังงานวิญญาณเหมือนกับหลี่เย้า
พวกเขาเข้าใกล้เข้ามาด้วยท่าทีที่ดุร้าย พร้อมกับถือพลั่วและท่อนเหล็กเอาไว้ในมือ
พวกเขาก็ไม่ต่างจากหลี่เย้า ที่อาศัยอยู่ใน “พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีแห่งสหพันธ์รัฐ หมายเลย 23” ในฐานะของผู้เก็บกู้
ที่ไหนมีผลประโยชน์ ที่นั่นก็มักจะมีคู่แข่งอยู่เสมอ ยานที่ทำหน้าที่ทิ้งขยะอาร์เฟ็กซ์นั้นอาจจะเป็นเพียงขยะสำหรับชนชั้นสูงอย่างผู้ฝึกตน แต่สำหรับเหล่าคนที่อาศัยอยู่ระดับล่างแล้ว อาร์ติเฟ็กซ์เหล่านี้คือความหวังที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ ในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์แห่งนี้ หลี่เย้าถือเป็นผู้เก็บกู้ที่มีฝีมือที่สุด และแน่นอนว่า มันได้ทำให้เขากลายเป็นขวากนามของเหล่าผู้เก็บกู้คนอื่นๆด้วยเช่นกัน เป็นขวากหนามที่มีเลือดเนื้อสำหรับพวกเขา
และในความเป็นจริงแล้ว หลี่เย้าก็ไม่ได้คิดสนใจที่จะเป็นพันธมิตรกับใครทั้งนั้น เขาส่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้น ส่วนเอวของเขาก็ได้มีการส่งพลังงานออกมา และร่างกายของเขาก็บิดเกลียวด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด โดยที่ไม่มีการเตือนใดๆ เขาได้หมุนตัวไป 90 องศา แล้วหายไปจากสายตาของชายร่างอ้วน ที่ขมวดคิ้วจนหน้าผากยับย่น เขาได้ใช้โอกาสนี้เหยียบเท้าไปที่ใบหน้าอ้วนๆอย่างโหดร้าย แล้วจึงดีดตัวออกไปไกลกว่า 30-40 เมตร
“เจ้าอ้วนหลง ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อจะมาเอาอาหารค่ำกันทั้งนั้น แล้วมันก็อยู่ที่ว่า ใครจะเร็วกว่ากันด้วย! แกควรจะไปลดน้ำหนักก่อนดีกว่านะ!”
บนใบหน้าอ้วนๆปรากฏเป็นรอยแดงปื้น จมูกของเขาแทบจะจมลงไปในชั้นไขมันของเขาแล้ว เขารู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกมาได้ เขารับเรื่องนี้ไม่ได้ และได้สั่งในลูกน้องของเขาไล่ตามเข้าไปในฝุ่นควันเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
การระเบิดเพิ่งจะเกิดขึ้นไปได้ไม่นาน จึงทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้นยังไม่มั่นคงดี และภูเขาขยะหลายสิบลูกก็มีโอกาสพังคลืนลงมาได้ทุกเมื่อ จนแม้แต่กลุ่มของเจ้าอ้วนหลงที่ว่าร้ายกาจ ก็ยังต้องชะลอฝีเท้าของพวกเขาลง และมองดูหลี่เย้าที่พุ่งเข้าไปราวกับสายฟ้า ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เมื่อเห็นภาพนั้น เจ้าอ้วนหลงก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายออกมา
“ไอ้ลูกกะ*รี่! มันสนใจแต่เรื่องเงินมากกว่าชีวิตของมันเอง! พระเจ้า ถ้าท่านกำลังมองดูอยู่ ก็ขอให้สายฟ้าผ่ามันให้ตาย...”
สมดังปากว่า เมื่อภูเขาขยะที่อยู่ไม่ไกลจากหลี่เย้าได้เกิดการระเบิดขึ้นมา จนเศษเหล็กและอาร์ติเฟ็กซ์หลายหมื่นหลายพันชิ้นล้มคลืนราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก!
“มันเป็นจริงล่ะ!” เจ้าอ้วนหลงและลูกน้องของเขาต่างพากันตกใจ พวกเขาทำอะไรไม่ถูกไปเลย!
แต่แล้ว ก็มีเสียงกรีดร้องแหลมพุ่งเข้าไปในฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจาย “เสี่ยวเฮย ช่วยฉันที!”
เส้นสายสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืน ได้พุ่งเข้าไปในช่องว่างของคลื่นเศษเหล็กราวกับสายฟ้าฟาด มันมีสนิมเขรอะ คมดาบเป็นร่อง และมีสำดำสนิท ดาบบินเล่มนี้ได้สยายปีกสีดำสนิทที่ตรงด้ามจับออกกว้าง หลี่เย้านั้นราวกับคนจมน้ำที่คว้าเชือกเอาไว้ได้ เขาได้กอดดาบบินเอาไว้ราวกับสุดที่รักของเขา เขาม้วนตัวเข้ากับตัวดาบและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ได้มีการปรากฏตัวของยานทิ้งขยะทั้งสิบสองลำ ยานทิ้งขยะแต่ละลำนั้นมีความยาวเป็นร้อยเมตรและมีรูปทรงอ้วนกลม คล้ายกับเต่ายักษ์ในตำนานที่ปรากฏกายขึ้นมาบนโลก ด้านบนของ “กระดองเต่า” แต่ละอัน ได้มีการเขียนอักขระหลายหมื่นคำและเชื่อมต่อกันเอาไว้จนแออัด พวกมันได้เปล่งแสงพลังวิญญาณทั้งห้าสี ซึ่งเป็นพลังงานที่ช่วยให้เจ้าเต่ายักษ์ตัวใหญ่ที่หนักหลายหมื่นตัน สามารถลอยอยู่ในน่านฟ้าได้
“ครืนนน!”
“เต่ายักษ์” ได้เปิดประตูที่อยู่ตรงส่วนท้องของมันที่ละบานๆ แล้วชิ้นส่วนอาร์ติเฟ็กซ์และเศษเหล็กก็ได้ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน ตกกระทบลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง
ในช่วงเวลานั้น พลังวิญญาณทั่วทั้งบริเวณได้ถูกกระตุ้นและเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น จนทำให้สถานการณ์ในบริเวณนั้นอันตรายมากขึ้น
แม้แต่ยานทิ้งขยะหนักกว่าหมื่นตัน ที่กำลังขยับซ้ายขวาด้วยแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ก็ยังถูกคลื่นพลังรบกวน และจำเป็นต้องแยกตัวกัน เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ส่วนเจ้าอ้วนหลงก็ยิ่งไม่กล้า ที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นอย่างหุนหันพลันแล่น พวกเขาต่างหวาดกลัวที่จะถูกดึงเข้าสู่ความโกลาหลนั้นด้วย
หลี่เย้ายังคงขี่ดาบบินหลบหลีกอยู่ท่ามกลางคลื่นพลังวิญญาณที่กระจายออกมา ท่าทีของเขาดูเต็มไปด้วยความลำบาก แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับว่องไวราวกับปลาที่แวกว่ายอยู่ในน้ำ
โดยปกติแล้ว เขาคงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคลื่นพลังที่อันตราย ที่ราวกับพายุร้ายในท้องทะเลแบบนี้ แต่ด้วยประสบการณ์การเอาตัวรอดอยู่ในที่แห่งนี้กว่าสิบปี ทำให้เขาสามารถหาจุดที่คลื่นพลังเกิดการแทรกแซงกันเองจนทำให้ความรุนแรงสลายหายไปได้ แล้วเขาก็พุ่งตัวไปยังจุดนั้นอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด-----
หลังจากทิ้งขยะลงมาเกือบ 10 นาที ยานทิ้งขยะก็ส่งเสียงคำรามราวกับเสียงของเบฮีมอท พวกมันได้เปลี่ยนทิศทางและเคลื่อนตัวกลับบ้านอย่างเชื่องช้า พร้อมกับฝุ่นควันที่ค่อยๆจางหายตามไปด้วย
เจ้าอ้วนหลงได้พยายามปีนป่ายเข้าสู่จุดศูนย์กลางของขยะ ที่เพิ่งจะถูกทิ้งลงมาอย่างยากลำบาก ทันทีที่เขาไปถึง เขาก็พบเข้ากับหลี่เย้าที่นั่งอยู่บนขยะกองใหม่อย่างสบายอารมณ์ และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นประกาย
“เชี่ย!” ใบหน้าของเจ้าอ้วนสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ทั้งที่ภายในใจของเขากำลังสั่นไหวอยู่
หลี่เย้าได้เลือกขยะกองนี้อย่างชาญฉลาด มันไม่ใช่กองขยะที่ใหญ่ที่สุด และไม่ได้มีขยะถูกทิ้งอยู่มากมายเท่ากองอื่น
บริเวณโดยรอบยังคงมีกองภูเขาขยะอีกหลายสิบกอง ที่เต็มไปด้วยอาร์ติเฟ็กซ์ที่ไร้ค่าเอาไว้อีกจำนวนมาก
และสำหรับเหล่าผู้เก็บกู้นั้น แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เพียงพวกเขาเท่านั้น...
หากเจ้าอ้วนหลงยังคงเอาแต่ปะทะกับหลี่เย้าต่อไป โอกาสที่ผลกำไรที่เขาควรจะได้ก็อาจจะถูกผู้เก็บกู้กลุ่มอื่นคว้าไปแทน
กลุ่มของผู้เก็บกู้ได้ค่อยๆโผล่ออกมาให้เห็นที่ละกลุ่มๆ พวกเขาได้ค้นพบสมบัติที่ล้ำค่าแล้ว และมีเสียงร้องอย่างยินดีอยู่ตามยอดภูเขาขยะที่อยู่รอบๆ
ยังไม่ต้องพูดถึง...
เจ้าอ้วนหลงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าเด็กหลี่เย้าที่น่ารังเกียจมาว่า เขาเป็นนักเรียนของ “โรงเรียนมัธยมปลายที่สองในเครือของกลุ่มชื่อเซียว” ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอยู่ในเมืองฝูเกอ
กลุ่มชื่อเซียวนั้นเป็นนิกายที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสหพันธ์ พวกเขามีคามแข็งแกร่ง และเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าหลี่เย้าอาจจะไม่ได้เรียนเทคนิคที่แท้จริงมา แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ด้วยกำปั้นและลูกแตะเพียวๆได้ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะอาศัยอยู่ในสมรภูมิแห่งนี้มาเป็นสิบปีไม่ได้ ทั้งยังแข็งแรงและกระฉับกระเฉงไม่เคยเปลี่ยน แล้วเขาก็ยังได้รับชื่อเล่นว่า “แร้ง!”
แต่เจ้าอ้วนหลงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆได้ยังไงกัน? แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? จมูกของเขายังฝังจมอยู่ในเนื้อของเขาอยู่เลย!
ในขณะที่จิตใจของเขายังคงวุ่นวายอยู่นั้น มีลมพัดวูบผ่านหน้าของเขา เจ้าอ้วนหลงได้ยื่นมืออกไปรับโดยไม่ทันรู้ตัว และรู้สึกได้ถึงความเย็นที่อยู่ในมือของเขา สิ่งที่เขาถืออยู่นั้นคือเศษคริสตัลโพรเซสเซอร์ ที่มีขนาดพอๆกับกำปั้น
หลี่เย้าหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าอ้วนหลง ทุกคนต่างก็มาที่นี่เพื่อหาเงิน คราวที่แล้วฉันก็แค่ขโมยซีพียู”สตาร์ไลท์“คลาสจากแกไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าฉันไปฆ่าพ่อของแกสักหน่อย มันไม่จำเป็นที่เราจะต้องปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิด จนถึงกับต้องฆ่าแกงกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? แล้วนี่ ฉันเจอซีพียู”ดราก้อนเบรฟ-17“ของนิกายชิงหลง มันเป็นโมเดลรุ่นใหม่ที่สามารถคำนวณกว่า 5,000ครั้ง/วินาที ถึงมันจะไหม้ไปบ้างแล้ว แต่ฉันก็รู้ว่าแกจะสามารถทำเงินจากมันได้ 3-4 พันเหรียญ แกรับมันไปเป็นของแสดงความเคารพจากฉันก็แล้วกันนะ พี่ใหญ่หลง จากนี้ไปเราไม่ติดค้างกันแล้วนะ แกคิดว่ายังไง?”
“แก...” เจ้าอ้วนหลงไม่คิดว่า หลี่เย้าจะพูดออกมาแบบนี้ เขาอึ้งไปและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จนต้องเกาไปที่ไขมันบนหน้าของเขา
“นี่! ดูนั่นสิ กลุ่มของพวกหมาป่าใกล้จะมาถึงแล้วนะ พวกเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวเหมือนกับฉัน แล้วพวกเขาก็จะกินรวบภูเขาขยะจนหมด และไม่เหลือให้แกแม้แต่นิดเดียวด้วย!” หลี่เย้าพูด แล้วชี้ไปทางทิศตะวันตก
เจ้าอ้วนหลงเริ่มหน้าซีด เขาชำเลืองตาไปตามทิศทางที่หลี่เย้าชี้ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขารีบยกนิ้วโป้งให้หลี่เย้า แล้วพูดว่า “ก็ได้ไอ้หนู แกเอาไปส่วนหนึ่ง! รีบลงมือกันให้เร็วที่สุด เร็ว!”
กลุ่มผู้เก็บกู้ได้กระจายตัวกันไปจนทั่วทุกทิศทาง และทำการขุดคุ้ยภูเขาขยะในทุกๆจุด
“ฟู้ว...”
หลี่เย้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาวางก้นอยู่บนกองขยะและมีเหงื่อเม็ดโตไหลอยู่เต็มหน้าผาก ทันทีที่เขาลูกขึ้นยืน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่แทบจะร่ำไห้ออกมา
“ไปตายซะไอ้อ้วน! ฉันต้องลำบากลำบนแค่ไหนกว่าจะหา เบรฟดราก้อน-17โพรเซสเซอร์มาได้ แล้วตอนนี้มันต้องเสียเปล่าเพราะแก!”
“แกรอก่อนเถอะ แกคิดว่าจะสามารถเอาของจากฉัน”แร้ง“หลี่เย้า ไปได้ง่ายๆเหรอ? มันจะต้องมีสักวัน ที่แกจะต้องยอมคายของคืนมาให้ฉัน ฉันจะคิดดอกเบี้ยจากของที่แกเอาไป แล้วรับรองได้เลยว่าดอกเบี้ยต้องไม่ใช่ถูกๆแน่นอน! ฉันจะทำให้แกได้รู้... ว่าทำไมทุกคนถึงได้เรียกฉันว่า ‘อีแร้งที่รักเงินมากกว่าชีวิต!’”
“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องเร็วกว่านี้ พวกแก็งค์หมาป่า ไอ้พวกนี้ยิ่งไร้เหตุผลยิ่งกว่าเจ้าอ้วนหลงด้วยซ้ำ!”
หลี่เย้าดึงหน้ากากลงไป และปล่อยให้มันห้อยอยู่ที่คอของเขา เขาถูมือ พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายสุกใส แล้วเลียไปที่ริมฝีปากของเขา จากนั้น เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปยังภูเขาขยะกองใหม่!
1 สุสานอาร์ติเฟ็กซ์
รัสตี้เลค
พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีแห่งสหพันธ์รัฐ หมายเลย 23
หรือที่รู้จักกันในนามว่า “สุสานอาร์ติเฟกซ์”
การเจริญเติบโตของอารยธรรมในปัจจุบัน ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานของการบ่มเพาะ ในอดีต อาร์ติเฟ็กซ์เคยเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อม แต่อาร์ติเฟกซ์ที่ครั้งหนึ่งถูกใช้งานได้โดยผู้บ่มเพาะเท่านั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกครัวเรือน พวกมันได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับปุถุชนคนธรรมดา ที่ช่วยทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน, การท่องเที่ยว, การเรียน, และการทำงาน
พวกมันช่วยให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์ง่ายขึ้น แต่พวกมันก็ได้กลายเป็นขยะอาร์ติเฟ็กซ์และเศษชิ้นส่วนโลหะที่ยากต่อการกำจัด
ขยะอาร์ติเฟ็กซ์มักจะมีพลังงานหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกมัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะมลพิษจากรังสี อักขระที่ถูกเขียนกำกับไว้ในอาร์ติเฟ็กซ์มีความแปรปรวนสูงมาก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระเบิดได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย ขยะอาร์ติเฟกซ์จะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้น ในพื้นที่ชั้นนอกสุดของทุกๆเมืองในสหพันธ์รัฐ จึงได้มีการจัดตั้ง “พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสี”ขึ้น เพื่อจัดการกับขยะอาร์ติเฟกซ์เหล่านี้
พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสี หมายเลข 23 นั้น ได้ตั้งอยู่ชานเมืองทางทิศใต้ของเมือง “ฝูเกอ”
ภายใต้ม่านหมอกสีเหลืองที่สลัวลาง มีหนองน้ำสีม่วงที่ปนเปื้อนไปด้วยมลพิษ ปลายยอดของภูเขาเศษเหล็กที่โผล่พ้นขึ้นมาจากหนองน้ำคล้ายกับกระดูกสันหลังของสัตว์ร้าย เศษชิ้นส่วนของดาบบินได้กระจัดกระจายไปทั่วยอดเขา สิ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับกองเศษดาบคือโกเลมคริสตัลที่เขรอะไปด้วยสนิม แววตาที่ว่างเปล่าของมันแสดงให้เห็นว่าพลังวิญญาณได้ดับแสงไปเนิ่นนานแล้ว เหลือแต่เพียงแมลงที่คอยกัดกินแก่นวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น มันได้โผล่ออกมาจากกะโหลกศีรษะของโกเลม และคอยสอดส่องสายตาไปรอบๆ “สุสานอาร์ติเฟ็กซ์” ที่มีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่ทุกที่ด้วยอย่างระแวดระวัง
“บึม!”
ไม่ไกลจากภูเขาขยะ อักขระบนอาร์ติเฟ็กซ์ที่ถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะได้เกิดการแตกตัว พลังวิญญาณจำนวนมากที่ถูกกักเก็บไว้ด้านในได้เกิดการระเบิดออกมา จนทำให้ครึ่งหนึ่งของภูเขาขยะปลิวหายไปในอากาศ
เศษเหล็กจำนวนมากได้กระจายอยู่ในอากาศ ราวกับภาพของหญิงสาวที่กำลังโปรยกรีบดอกไม้ จนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ภูเขาขยะที่อยู่รอบด้านต่างก็ได้รับผลกระทบต่อกันไปเป็นทอดๆ หากแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็จะเห็นฝุ่นควันลอยอยู่เต็มไปหมด มันให้ความรู้สึกราวกับ เหล่าปีศาจร้ายกำลังเริงระบำอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า
ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิต มีเพียงเหล่าแมลงสาบและหนอนปรสิตเท่านั้น ที่คิดว่ามันคือสรวงสวรรค์ของพวกมัน
แต่...
หลี่เย้ากลับซุ่มซ่อนอยู่ด้านหลังภูเขาขยะอย่างนิ่งเงียบ และเลียไปที่ริมฝีปากของเขา เขาคลุมตัวเองด้วยเสื้อกันลมสีเหลืองสกปรกเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เขากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ
เขาจ้องมองไปที่ก้อนเมฆรูปเห็ดที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ ในแววตาที่เป็นประกายสดใสของเขา กลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แค่เพียงในเวลาที่เศษเหล็กได้ปลิวกระจายมาถึงจุดที่เขาใช้หลบซ่อนอยู่ เขาจึงได้ถอยหลบเข้าไปในส่วนลึกของกองขยะ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้เลื่อนแว่นตากันลมลงมาสวนเอาไว้ ซึ่งมันได้คลุมใบหน้าของเขาไปเกือบครึ่ง
“มันมาแล้ว!”
เมื่อนาฬิกาพลังงานวิญญาณได้สั่นเตือนบอกเวลา ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา และมุมปากของเขาก็ยกขึ้นยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
3:52:38 น. เป็นช่วงเวลาของการทิ้งขยะประจำวัน หรือคนที่รู้จักกันในนาม “ผู้เก็บกู้” อย่างหลี่เย้าเรียกมันว่าช่วงเวลาของงานเลี้ยง
นาฬิกาพลังงานวิญญาณที่อยู่บนข้อมือของเขานั้น เป็นนาฬิการุ่นอีลีทฮันเตอร์ ที่ผลิตขึ้นมาเมื่อสามปีก่อนโดยนิกายของผู้ฝึกตนที่ชื่อว่า “นิกายเฟยหลิง” เขาเจอมันอยู่ในกองภูเขาขยะ และใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองเดือนในการซ่อมแซมให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม
นอกจากฟังค์ชั่นของการบอกเวลาแล้ว มันยังมีความพิเศษอย่างอื่นอยู่ด้วย มันสามารถตรวจจับคลื่นความถี่พิเศษของการสั่นสะเทือนได้ด้วย เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อไหร่ เจ้าของนาฬิกาก็จะได้รับการแจ้งเตือนในทันที
ฟังค์ชั่นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับแจ้งเตือนนักล่า เกี่ยวกับการปรากฏตัวของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
แต่เมื่อมันได้รับการปรับแต่งจากหลี่เย้าแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยนให้มันแจ้งเตือนสำหรับการมาถึงของยานทิ้งขยะแทน
ในเวลาไม่นาน ได้มีเสียงหวืดของเครื่องยนต์นำมา ก่อนที่จะตามมาด้วยจุดสีดำหลายสิบจุด ที่ปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าทิศเหนือ
ฝุ่นควันที่เกิดจากการระเบิดได้ปกคลุมผืนดินและแผ่คลุมท้องฟ้าเอาไว้ และยังคงไม่จางหายไปไหน จุดสีดำหลายสิบจุดได้กลืนเข้ากับฝุ่นควันเหล่านั้นจนแยกไม่ออก
หลี่เย้าเงยหน้าขึ้น นิ้วมือของเขาสัมผัสไปที่อักขระที่อยู่ข้างหน้ากากของเขาเบาๆ “วูซ” แผ่นสีแดงเลือดได้ปรากฏขึ้นบนที่กระจกของหน้ากาก
ภายใต้การมองเห็นสีแดงเลือด เค้าโครงร่างทรงกลมของยานทิ้งขยะที่ซ่อนอยู่ในฝุ่นควัน ก็ปรากฏออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
นาฬิกาพลังงานวิญญาณยังได้ถูกติดตั้งฟังค์ชั่น การแจ้งเตือนความถี่พิเศษของการสั่นสะเทือนของยานทิ้งขยะเพียงลำเดียวเท่านั้น
“ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327 ฉันเลือกแก!”
ตั้งแต่ที่หลี่เย้าเกิดมา จนกระทั่งเขามีอายุได้ 10 ขวบ ในระยะเวลา 10 ปีนี้เขาได้อาศัยอยู่ที่ “สุสานอาร์ติเฟ็กซ์” แห่งนี้มาตลอด เขารู้จักผืนดินในทุกๆตารางนิ้วและยานทิ้งขยะทุกลำที่อยู่บนฟ้า ราวกับว่า พวกมันคือนิ้วที่อยู่บนมือของเขา แล้ว “ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327” นั้น คือยานทิ้งขยะที่รับผิดชอบขยะจาก “เขตช่างตง” ที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของเมืองฝูเกอ
เขตช่างตงคือเขตที่หรูหราราคาแพงที่สุด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมาก ดังนั้น อาร์ติเฟกที่พวกเขาทิ้งขว้างจึงเป็นขยะที่มีค่ามากกว่าขยะจากเขตอื่นๆ
อาร์ติเฟ็กซ์หลายอย่างก็ยังคงสามารถใช้งานได้ดีอยู่ พวกเขาถูกนำมาทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี เพียงเพราะว่าผู้ฝึกตนและเศรษฐีมีเงินเหล่านั้นคิดว่ามันล่าสมัยไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะมีอาร์ติเฟ็กซ์รุ่นใหม่ถูกปล่อยออกมาแทนที่พวกมัน
ในสายตาของหลี่เย้านั้น นี่ไม่ใช่ยานทิ้งขยะ แต่มันคือยานสมบัติที่เต็มไปด้วยทองคำต่างหาก!
“หวืดดด!”
ขาทั้งสองข้างของหลี่เย้าส่งแรงกระเพื่อมออกมา เขาเร่งฝีเท้าวิ่งผ่านภูเขาขยะและฝ่าเข้าไปในฝุ่นควัน แล้วพุ่งทะยานไปยังจุดที่ยานทิ้งขยะหมายเลข 1327 จอดอยู่อย่างรวดเร็ว ราวกับปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกมา
กองภูเขาขยะที่อยู่รอบตัวเขานั้นจวนเจียนจะล้ม ฟองพิษร้ายผุดขึ้นมาที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา หลี่เย้านั้นเป็นราวกับลิงป่าที่มีความว่องไวสูง ในทุกๆครั้งที่ย้ำเท้าลงไปบนกองภูเขาขยะ เขาจะอัดแรงลงไปด้วย ในการเคลื่อนไหวแต่ละก้าวของเขา จึงพุ่งไปไกลกว่าหลายสิบเมตร การเคลื่อนไหวของเขาราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆและวิ่งอยู่บนน้ำ ที่ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง
“เจ้าสารเลวหลี่เย้า แกคิดจะมาแย่งอาหารกับฉันอีกแล้วสินะ!”
ในเวลานั้นเอง ที่ด้านล่างของกองภูเขาปรากฏร่างของคนสิบกว่าคนให้เห็น พวกเขาแต่งตัวคล้ายกับหลี่เย้า ยกเว้นก็แต่ พวกเขาไม่มีหน้ากากกันลมที่เปลี่ยนเป็นสีแดงได้ และนาฬิกาพลังงานวิญญาณเหมือนกับหลี่เย้า
พวกเขาเข้าใกล้เข้ามาด้วยท่าทีที่ดุร้าย พร้อมกับถือพลั่วและท่อนเหล็กเอาไว้ในมือ
พวกเขาก็ไม่ต่างจากหลี่เย้า ที่อาศัยอยู่ใน “พื้นที่เก็บขยะกัมมันตรังสีแห่งสหพันธ์รัฐ หมายเลย 23” ในฐานะของผู้เก็บกู้
ที่ไหนมีผลประโยชน์ ที่นั่นก็มักจะมีคู่แข่งอยู่เสมอ ยานที่ทำหน้าที่ทิ้งขยะอาร์เฟ็กซ์นั้นอาจจะเป็นเพียงขยะสำหรับชนชั้นสูงอย่างผู้ฝึกตน แต่สำหรับเหล่าคนที่อาศัยอยู่ระดับล่างแล้ว อาร์ติเฟ็กซ์เหล่านี้คือความหวังที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ ในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์แห่งนี้ หลี่เย้าถือเป็นผู้เก็บกู้ที่มีฝีมือที่สุด และแน่นอนว่า มันได้ทำให้เขากลายเป็นขวากนามของเหล่าผู้เก็บกู้คนอื่นๆด้วยเช่นกัน เป็นขวากหนามที่มีเลือดเนื้อสำหรับพวกเขา
และในความเป็นจริงแล้ว หลี่เย้าก็ไม่ได้คิดสนใจที่จะเป็นพันธมิตรกับใครทั้งนั้น เขาส่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้น ส่วนเอวของเขาก็ได้มีการส่งพลังงานออกมา และร่างกายของเขาก็บิดเกลียวด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด โดยที่ไม่มีการเตือนใดๆ เขาได้หมุนตัวไป 90 องศา แล้วหายไปจากสายตาของชายร่างอ้วน ที่ขมวดคิ้วจนหน้าผากยับย่น เขาได้ใช้โอกาสนี้เหยียบเท้าไปที่ใบหน้าอ้วนๆอย่างโหดร้าย แล้วจึงดีดตัวออกไปไกลกว่า 30-40 เมตร
“เจ้าอ้วนหลง ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อจะมาเอาอาหารค่ำกันทั้งนั้น แล้วมันก็อยู่ที่ว่า ใครจะเร็วกว่ากันด้วย! แกควรจะไปลดน้ำหนักก่อนดีกว่านะ!”
บนใบหน้าอ้วนๆปรากฏเป็นรอยแดงปื้น จมูกของเขาแทบจะจมลงไปในชั้นไขมันของเขาแล้ว เขารู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกมาได้ เขารับเรื่องนี้ไม่ได้ และได้สั่งในลูกน้องของเขาไล่ตามเข้าไปในฝุ่นควันเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
การระเบิดเพิ่งจะเกิดขึ้นไปได้ไม่นาน จึงทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้นยังไม่มั่นคงดี และภูเขาขยะหลายสิบลูกก็มีโอกาสพังคลืนลงมาได้ทุกเมื่อ จนแม้แต่กลุ่มของเจ้าอ้วนหลงที่ว่าร้ายกาจ ก็ยังต้องชะลอฝีเท้าของพวกเขาลง และมองดูหลี่เย้าที่พุ่งเข้าไปราวกับสายฟ้า ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เมื่อเห็นภาพนั้น เจ้าอ้วนหลงก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายออกมา
“ไอ้ลูกกะ*รี่! มันสนใจแต่เรื่องเงินมากกว่าชีวิตของมันเอง! พระเจ้า ถ้าท่านกำลังมองดูอยู่ ก็ขอให้สายฟ้าผ่ามันให้ตาย...”
สมดังปากว่า เมื่อภูเขาขยะที่อยู่ไม่ไกลจากหลี่เย้าได้เกิดการระเบิดขึ้นมา จนเศษเหล็กและอาร์ติเฟ็กซ์หลายหมื่นหลายพันชิ้นล้มคลืนราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก!
“มันเป็นจริงล่ะ!” เจ้าอ้วนหลงและลูกน้องของเขาต่างพากันตกใจ พวกเขาทำอะไรไม่ถูกไปเลย!
แต่แล้ว ก็มีเสียงกรีดร้องแหลมพุ่งเข้าไปในฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจาย “เสี่ยวเฮย ช่วยฉันที!”
เส้นสายสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืน ได้พุ่งเข้าไปในช่องว่างของคลื่นเศษเหล็กราวกับสายฟ้าฟาด มันมีสนิมเขรอะ คมดาบเป็นร่อง และมีสำดำสนิท ดาบบินเล่มนี้ได้สยายปีกสีดำสนิทที่ตรงด้ามจับออกกว้าง หลี่เย้านั้นราวกับคนจมน้ำที่คว้าเชือกเอาไว้ได้ เขาได้กอดดาบบินเอาไว้ราวกับสุดที่รักของเขา เขาม้วนตัวเข้ากับตัวดาบและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ได้มีการปรากฏตัวของยานทิ้งขยะทั้งสิบสองลำ ยานทิ้งขยะแต่ละลำนั้นมีความยาวเป็นร้อยเมตรและมีรูปทรงอ้วนกลม คล้ายกับเต่ายักษ์ในตำนานที่ปรากฏกายขึ้นมาบนโลก ด้านบนของ “กระดองเต่า” แต่ละอัน ได้มีการเขียนอักขระหลายหมื่นคำและเชื่อมต่อกันเอาไว้จนแออัด พวกมันได้เปล่งแสงพลังวิญญาณทั้งห้าสี ซึ่งเป็นพลังงานที่ช่วยให้เจ้าเต่ายักษ์ตัวใหญ่ที่หนักหลายหมื่นตัน สามารถลอยอยู่ในน่านฟ้าได้
“ครืนนน!”
“เต่ายักษ์” ได้เปิดประตูที่อยู่ตรงส่วนท้องของมันที่ละบานๆ แล้วชิ้นส่วนอาร์ติเฟ็กซ์และเศษเหล็กก็ได้ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน ตกกระทบลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง
ในช่วงเวลานั้น พลังวิญญาณทั่วทั้งบริเวณได้ถูกกระตุ้นและเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น จนทำให้สถานการณ์ในบริเวณนั้นอันตรายมากขึ้น
แม้แต่ยานทิ้งขยะหนักกว่าหมื่นตัน ที่กำลังขยับซ้ายขวาด้วยแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ก็ยังถูกคลื่นพลังรบกวน และจำเป็นต้องแยกตัวกัน เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ส่วนเจ้าอ้วนหลงก็ยิ่งไม่กล้า ที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นอย่างหุนหันพลันแล่น พวกเขาต่างหวาดกลัวที่จะถูกดึงเข้าสู่ความโกลาหลนั้นด้วย
หลี่เย้ายังคงขี่ดาบบินหลบหลีกอยู่ท่ามกลางคลื่นพลังวิญญาณที่กระจายออกมา ท่าทีของเขาดูเต็มไปด้วยความลำบาก แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับว่องไวราวกับปลาที่แวกว่ายอยู่ในน้ำ
โดยปกติแล้ว เขาคงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคลื่นพลังที่อันตราย ที่ราวกับพายุร้ายในท้องทะเลแบบนี้ แต่ด้วยประสบการณ์การเอาตัวรอดอยู่ในที่แห่งนี้กว่าสิบปี ทำให้เขาสามารถหาจุดที่คลื่นพลังเกิดการแทรกแซงกันเองจนทำให้ความรุนแรงสลายหายไปได้ แล้วเขาก็พุ่งตัวไปยังจุดนั้นอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด-----
หลังจากทิ้งขยะลงมาเกือบ 10 นาที ยานทิ้งขยะก็ส่งเสียงคำรามราวกับเสียงของเบฮีมอท พวกมันได้เปลี่ยนทิศทางและเคลื่อนตัวกลับบ้านอย่างเชื่องช้า พร้อมกับฝุ่นควันที่ค่อยๆจางหายตามไปด้วย
เจ้าอ้วนหลงได้พยายามปีนป่ายเข้าสู่จุดศูนย์กลางของขยะ ที่เพิ่งจะถูกทิ้งลงมาอย่างยากลำบาก ทันทีที่เขาไปถึง เขาก็พบเข้ากับหลี่เย้าที่นั่งอยู่บนขยะกองใหม่อย่างสบายอารมณ์ และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นประกาย
“เชี่ย!” ใบหน้าของเจ้าอ้วนสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ทั้งที่ภายในใจของเขากำลังสั่นไหวอยู่
หลี่เย้าได้เลือกขยะกองนี้อย่างชาญฉลาด มันไม่ใช่กองขยะที่ใหญ่ที่สุด และไม่ได้มีขยะถูกทิ้งอยู่มากมายเท่ากองอื่น
บริเวณโดยรอบยังคงมีกองภูเขาขยะอีกหลายสิบกอง ที่เต็มไปด้วยอาร์ติเฟ็กซ์ที่ไร้ค่าเอาไว้อีกจำนวนมาก
และสำหรับเหล่าผู้เก็บกู้นั้น แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เพียงพวกเขาเท่านั้น...
หากเจ้าอ้วนหลงยังคงเอาแต่ปะทะกับหลี่เย้าต่อไป โอกาสที่ผลกำไรที่เขาควรจะได้ก็อาจจะถูกผู้เก็บกู้กลุ่มอื่นคว้าไปแทน
กลุ่มของผู้เก็บกู้ได้ค่อยๆโผล่ออกมาให้เห็นที่ละกลุ่มๆ พวกเขาได้ค้นพบสมบัติที่ล้ำค่าแล้ว และมีเสียงร้องอย่างยินดีอยู่ตามยอดภูเขาขยะที่อยู่รอบๆ
ยังไม่ต้องพูดถึง...
เจ้าอ้วนหลงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าเด็กหลี่เย้าที่น่ารังเกียจมาว่า เขาเป็นนักเรียนของ “โรงเรียนมัธยมปลายที่สองในเครือของกลุ่มชื่อเซียว” ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอยู่ในเมืองฝูเกอ
กลุ่มชื่อเซียวนั้นเป็นนิกายที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสหพันธ์ พวกเขามีคามแข็งแกร่ง และเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าหลี่เย้าอาจจะไม่ได้เรียนเทคนิคที่แท้จริงมา แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ด้วยกำปั้นและลูกแตะเพียวๆได้ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะอาศัยอยู่ในสมรภูมิแห่งนี้มาเป็นสิบปีไม่ได้ ทั้งยังแข็งแรงและกระฉับกระเฉงไม่เคยเปลี่ยน แล้วเขาก็ยังได้รับชื่อเล่นว่า “แร้ง!”
แต่เจ้าอ้วนหลงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆได้ยังไงกัน? แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? จมูกของเขายังฝังจมอยู่ในเนื้อของเขาอยู่เลย!
ในขณะที่จิตใจของเขายังคงวุ่นวายอยู่นั้น มีลมพัดวูบผ่านหน้าของเขา เจ้าอ้วนหลงได้ยื่นมืออกไปรับโดยไม่ทันรู้ตัว และรู้สึกได้ถึงความเย็นที่อยู่ในมือของเขา สิ่งที่เขาถืออยู่นั้นคือเศษคริสตัลโพรเซสเซอร์ ที่มีขนาดพอๆกับกำปั้น
หลี่เย้าหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าอ้วนหลง ทุกคนต่างก็มาที่นี่เพื่อหาเงิน คราวที่แล้วฉันก็แค่ขโมยซีพียู”สตาร์ไลท์“คลาสจากแกไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าฉันไปฆ่าพ่อของแกสักหน่อย มันไม่จำเป็นที่เราจะต้องปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิด จนถึงกับต้องฆ่าแกงกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? แล้วนี่ ฉันเจอซีพียู”ดราก้อนเบรฟ-17“ของนิกายชิงหลง มันเป็นโมเดลรุ่นใหม่ที่สามารถคำนวณกว่า 5,000ครั้ง/วินาที ถึงมันจะไหม้ไปบ้างแล้ว แต่ฉันก็รู้ว่าแกจะสามารถทำเงินจากมันได้ 3-4 พันเหรียญ แกรับมันไปเป็นของแสดงความเคารพจากฉันก็แล้วกันนะ พี่ใหญ่หลง จากนี้ไปเราไม่ติดค้างกันแล้วนะ แกคิดว่ายังไง?”
“แก...” เจ้าอ้วนหลงไม่คิดว่า หลี่เย้าจะพูดออกมาแบบนี้ เขาอึ้งไปและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จนต้องเกาไปที่ไขมันบนหน้าของเขา
“นี่! ดูนั่นสิ กลุ่มของพวกหมาป่าใกล้จะมาถึงแล้วนะ พวกเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวเหมือนกับฉัน แล้วพวกเขาก็จะกินรวบภูเขาขยะจนหมด และไม่เหลือให้แกแม้แต่นิดเดียวด้วย!” หลี่เย้าพูด แล้วชี้ไปทางทิศตะวันตก
เจ้าอ้วนหลงเริ่มหน้าซีด เขาชำเลืองตาไปตามทิศทางที่หลี่เย้าชี้ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขารีบยกนิ้วโป้งให้หลี่เย้า แล้วพูดว่า “ก็ได้ไอ้หนู แกเอาไปส่วนหนึ่ง! รีบลงมือกันให้เร็วที่สุด เร็ว!”
กลุ่มผู้เก็บกู้ได้กระจายตัวกันไปจนทั่วทุกทิศทาง และทำการขุดคุ้ยภูเขาขยะในทุกๆจุด
“ฟู้ว...”
หลี่เย้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาวางก้นอยู่บนกองขยะและมีเหงื่อเม็ดโตไหลอยู่เต็มหน้าผาก ทันทีที่เขาลูกขึ้นยืน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่แทบจะร่ำไห้ออกมา
“ไปตายซะไอ้อ้วน! ฉันต้องลำบากลำบนแค่ไหนกว่าจะหา เบรฟดราก้อน-17โพรเซสเซอร์มาได้ แล้วตอนนี้มันต้องเสียเปล่าเพราะแก!”
“แกรอก่อนเถอะ แกคิดว่าจะสามารถเอาของจากฉัน”แร้ง“หลี่เย้า ไปได้ง่ายๆเหรอ? มันจะต้องมีสักวัน ที่แกจะต้องยอมคายของคืนมาให้ฉัน ฉันจะคิดดอกเบี้ยจากของที่แกเอาไป แล้วรับรองได้เลยว่าดอกเบี้ยต้องไม่ใช่ถูกๆแน่นอน! ฉันจะทำให้แกได้รู้... ว่าทำไมทุกคนถึงได้เรียกฉันว่า ‘อีแร้งที่รักเงินมากกว่าชีวิต!’”
“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องเร็วกว่านี้ พวกแก็งค์หมาป่า ไอ้พวกนี้ยิ่งไร้เหตุผลยิ่งกว่าเจ้าอ้วนหลงด้วยซ้ำ!”
หลี่เย้าดึงหน้ากากลง และปล่อยให้มันห้อยอยู่ที่คอของเขา เขาถูมือ พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายสุกใส แล้วเลียไปที่ริมฝีปากของเขา จากนั้น เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปยังภูเขาขยะกองใหม่!