บทที่ 79 การลงทุน
สำนักจิตอสูรนั้นมีขนาดใหญ่มาก...มันถูกแยกออกเป็นสี่ตำหนักคือตำหนักอุดร(ทิศเหนือ) ตำหนักทักษิณ(ทิศใต้) ตำหนักบูรพา(ทิศตะวันออก) และตำหนักประจิม(ทิศตะวันตก) เจียงอี้นั้นอาศัยอยู่ในตำหนักที่รู้จักกันในชื่อตำหนักประจิม เหล่าศิษย์สำนักชั้นยอดและศิษย์สำนักอัจฉริยะนั้นจะอาศัยอยู่ที่ตำหนักบูรพา เหล่าอาจารย์ทุกคนจะอาศัยอยู่ในตำหนักอุดร สำหรับตำหนักทักษิณนั้นจะเป็นห้องสำหรับเก็บสิ่งต่างๆที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการบ่มเพาะพลัง
สำนักจิตอสูรนั้นมีระบบการปกครองที่ค่อนข้างเข้มงวด ตำหนักบูรพาและตำหนักอุดรนั้นถือเป็นเขตหวงห้ามสำหรับศิษย์นอกสำนักและศิษย์สามัญ และผู้ที่ไม่มีคะแนนสะสมก็จะไม่สามารถเข้าไปใช้ห้องในตำหนักทักษิณได้เช่นกัน
ศิษย์นอกสำนักจะถูกเนรเทศออกจากสำนักหากพวกเขาไม่สามารถยกระดับของพวกเขาได้ภายในสองปี ในทางเดียวกันสำหรับศิษย์สำนักสามัญ ตำแหน่งของพวกเขาจะถูกถอดออกหากพวกเขาไม่สามารถยกระดับตำแหน่งภายในสองปีเช่นกัน และพวกเขาจะถูกลดระดับเป็นศิษย์นอกสำนักแทน
สถานะของศิษย์นอกสำนักนั้นต่ำที่สุดในสำนัก พวกเขาต้องทำงานจิปาถะทุกวันและเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมและอาหารที่พวกเขากินอยู่ในระดับต่ำสุด พวกเขาไม่มีอาจารย์ให้คอยสอนวิธีฝึกฝนและพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ใดๆได้ ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเขาสำหรับห้องบ่มเพาะพลัง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างการอยู่ภายในและภายนอกสำนัก…คือพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำงานหนักด้วยตนเอง
ในขณะนี้ เจียงอี้และกลุ่มคนที่เข้ามาพร้อมกันได้ถูกจัดสรรให้ไปที่หนึ่งในภูเขาทางด้านตะวันตกของภูเขาจิตอสูรเพื่อล่าและฆ่าสัตว์อสูร ทุกคนต้องล่าสัตว์อสูรสามตัวในทุกๆวันและพวกเขาจะต้องเก็บซากชิ้นส่วนที่มีค่าทั้งหมดไว้ หากล้มเหลวติดต่อกันเป็นเวลาสามวันจะส่งผลให้ถูกขับออกจากสำนัก
หัวหน้ากลุ่มเป็นอาจารย์หนุ่ม อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาพากลุ่มไปถึงยอดเขาและให้คำแนะนำสั้นๆ เขาก็นั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและพักผ่อน
"ขึ้นไปบนภูเขาซะ!"
เจียงอี้มองไปที่ยอดเขาสูงตระหง่านและพูดประโยคหนึ่งกับเจ้าก้อนไขมันที่อยู่ข้างเขาก่อนออกเดินทางสู่ยอดเขา
"ทำไมเราต้องไปล่ะ?!"
ก้อนไขมันเบ้ปากของเขาและมองไปรอบๆก่อนที่จะสังเกตเห็นถ้ำหิน เขายิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า "พี่ใหญ่ มีถ้ำอยู่ตรงนั้นด้วยแหละ ไปพักผ่อนที่นั่นกันเถอะ"
เจียงอี้ขมวดคิ้วและหลบเลี่ยงสายตาอาจารย์ที่ทำสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ที่ห่างไกล เขากระซิบว่า "เจ้าเป็นบ้าหรือ อาจารย์อยู่ใกล้เช่นนี้และเจ้ายังกล้าที่จะขี้เกียจหรือ? เจ้าวางแผนที่จะไม่ฆ่าสัตว์อสูรใดๆเลยงั้นรึ?"
"ข้าต้องฆ่าสัตว์อสูรอะไรล่ะ? ข้ากำลังจะตายจากความร้อนใต้แสงอาทิตย์"
เจ้าอ้วนดึงเจียงอี้ไปที่ถ้ำโดยไม่ได้คิดมากอะไร เขาอธิบายขณะที่เดิน "อย่าคิดมากไป คนของข้าจะดูแลส่วนแบ่งของเราในภารกิจ ส่วนอาจารย์จ้าว เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขา เขารับหมื่อนตำลึงทองจาก้ขาแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่สนใจ เกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังจะทำที่นี่ต่อจากนี้"
เจียงอี้กระพริบตาและถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ "มันเป็นเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?"
"คิคิ! เจรจากันด้วยเงินน่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าสำนักได้อย่างไรหากเป็นเพราะความสามารถของข้าอย่างเดียว"
เจ้าก้อนไขมันเดินเข้าไปในถ้ำไม่กี่ก้าวก็ปัดถูพื้นที่แถวนั้นแล้วพยักหน้าอย่างมีความสุข "ไม่เลว! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะพักผ่อนที่นี่ในช่วงเวลาที่เราต้องทำงาน แน่นอน เจ้าสามารถบ่มพลังที่นี่ได้เลยพี่ใหญ่ และข้าจะเป็นผู้พิทักษ์ให้เจ้าเอง"
เจียงอี้มองและเฉียนว่านก้วนและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น“เฉียนว่านก้วน เจ้ามีความสามารถในขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง และการพัฒนาความสามารถของเจ้าดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเป้าหมายของเจ้าเลย เจ้ามาหาความสนุกที่นี่งั้นรึ?”
"การบ่มเพาะพลังมีอะไรน่าสนุกกัน?"
เฉียนว่านก้วนยิ้มเยาะ เขากล่าวว่า "ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ไม่มีผู้อาวุโสในตระกูลเฉียนของเราคนใดที่ทรงพลังเลย คนที่น่าเกรงขามที่สุดของพวกเรา มากสุดก็อยู่เพียงจุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ อย่างไรก็ตามตระกูลเฉียนก็ยังสามารถอยู่รอดมานานกว่าหมื่นปี และทำไมมันเป็นเช่นนั้น?"
"นั่นเป็นเพราะเรามีสมองและเส้นสาย และวัตถุประสงค์ของข้าสำหรับการเข้าสำนักคือการสร้างการสัมพันธ์ให้มากขึ้น สำนักจิตอสูรแห่งนี้รวบรวมลูกหลานหัวกะทิทั้งหมดจากตระกูลทั้งหมดในอาณาจักรเสินหวู่ หากข้าได้เป็นเพื่อนกับคนเหล่านี้ และเมื่อพวกเขากลายเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขา จากนั้นข้าจะมีโชคลาภจำนวนมหาศาลได้ในอนาคต "
"นั่นคือเหตุผลสินะ ... "
เจียงอี้ไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มากนัก แต่เขาก็ยังคงงงงวยและถามว่า "ทำไมเจ้าถึงมีความสนใจในตัวข้าสูง? เป็นเพราะสถานะของข้าหรือเพราะจ้านอู๋ซวงเป็นหนี้ข้า? บอกความจริงแก่ข้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะรู้สึกหงุดหงิด"
เฉียนว่านก้วนมองและพึมพำอย่างเงียบๆก่อนที่จะตอบอย่างจริงจัง "ในตอนแรกข้าอยากจะใช้ประโยชน์จากเจ้าเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับจ้านอู๋ซวงมากขึ้น หลังจากนั้นมันก็เป็นเพราะสถานะของเจ้า แต่ตอนนี้ ... ข้าเห็นคุณค่าของเจ้าในฐานะมนุษย์ แม้ว่าความสามารถของเจ้าจะไม่แข็งแกร่ง แต่ข้าก็รู้สึกว่าความสำเร็จของเจ้าในอนาคตจะเกินกว่าจินตนาการของข้า และแน่นอน ... ข้าอาจจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ข้าก็จะขอเดิมพันกับมัน"
"ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว!"
เจียงอี้ยิ้มเล็กน้อย เนื่องจากเฉียนว่าก้วนต้องกาเดิมพันกับตัวเขา จากนั้นเขาก็จะเลิกแผนการทั้งหมด เขาจะไม่เสียเปรียบอยู่ดี หากเขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงตามที่เฉียนว่านก้วนคาดไว้ เจียงอี้คงจะตอบแทนเขาในอนาคต
เมื่อเห็นว่าเฉียนว่านก้วนเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขานั่งไขว่ห้างและเริ่มฝึกฝน สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดในขณะนี้คือเวลา แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเร็วมาก แต่เขาก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลในการที่จะไล่ตามคนชั้นสูงจากคนรุ่นเดียวกัน
เฉียนว่านก้วนเห็นว่าเจียงอี้ได้เริ่มบ่มเพาะพลัง เขาจึงไปหาแผ่นหินปูนและนั่งลงบนพื้น เขามองไปที่เจียงอี้และยิ้มจากมุมปากและพูดพึมพำว่า "ครึ่งปีที่ผ่านมาเจ้ายังอยู่ในขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งอยู่เลย ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน ในตอนนี้เจ้าสามารถฆ่าจอมยุทธขั้นแรกของขอบเขตจื่อฝู่ได้แล้ว ถ้าอัจฉริยะเช่นเจ้าไม่คุ้มค่าสำหรับข้า เฉียนว่านก้วนผู้นี้ที่จะลงทุน แล้วจะเป็นใครในสำนักที่จะทำล่ะ? "
ตระกูลเฉียนทำธุรกิจมาโดยตลอด พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่ออำนาจ การค้าที่ตระกูลเฉียนชื่นชอบมากที่สุดคือการลงทุนในเรื่องมหัศจรรย์ หลังจากอัจฉริยะขึ้นสู่อำนาจมันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ไร้ขอบเขตสำหรับตระกูล แม้ว่าเฉียนว่านก้วนจะยังเด็ก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับเชื้อของตระกูลเฉียนในการทำการค้า
แน่นอนว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าการลงทุนในตัวเจียงอี้นั้นจะเป็นกำไรหรือขาดทุน
เจียงอี้บ่มเพาะพลังจนถึงเที่ยง เขาถูกปลุกให้ตื่นโดยเฉียนว่านก้วน สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือโต๊ะอาหาร กับข้าวสี่ชนิดพร้อมกับชามซุป และทุกจานดูน่ากินมาก
"พี่ใหญ่ ได้เวลากินข้าวแล้ว"
หลังจากกินอาหารที่อร่อยเสร็จแล้ว เจียงอี้ก็ยังคงบ่มเพาะพลังต่อไป เขายังมีเม็ดยาพิภพอยู่ เขาจำได้ว่าเจียงหยุนไฮ่ได้บอกเขาอย่างจริงจังในการบ่มเพาะและเขาจะส่งเม็ดยามาให้ทุกครั้งที่เม็ดยาหมดแล้ว
เมื่อผ่านมาจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เฉียนว่านก้วนรีบไปที่ด้านข้างของเจียงอี้และลดเสียงของเขา "พี่ใหญ่ ข้าจะออกไปก่อน เจียงหยุนไฮ่จะมาที่นี่ในไม่ช้า เจ้าสองคนไม่ควรคุยกันนานเกินไป เราต้องกลับสำนักในอีกไม่ช้า"
เจียงอี้พยักหน้าและรออยู่นอกถ้ำหลังจากมองเจ้าก้อนไขมันออกไป
"ฟึ่บ!"
หลังจากนั้นไม่นานชายที่ถือไม้ค้ำก็พุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วราวกับฟ้าผ่า เร็วจนศิษย์ใกล้ๆรู้สึกเหมือนมีแสงสีขาวพุ่งผ่านไป
"ท่านปู่!" เจียงอี้ปล่อยรอยยิ้มที่อุ่นใจออกมา ชายชราที่พิการสามารถทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนสมาชิกในครอบครัวได้เสมอ
เจียงหยุนไฮ่ยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา เขาพยักหน้าและหัวเราะ "ใต้เท้าน้อย ทำไมท่านจึงอยู่กับประมุขน้อยของตระกูลเฉียนได้?"
"ประมุขน้อย?"
เจียงอี้ตกตะลึงพักหนึ่ง เขาเดาว่าสถานะของเฉียนว่านก้วนนั้นไม่ได้ต่ำต้อยในตระกูลเฉียนเลย แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่ามันจะเป็นสถานะที่น่านับถือเช่นนี้
เขารีบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการชำระโลหิต สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้เปิดเผยคือส่วนที่ลามกซึ่งเขาบังเอิญเห็นเยว่เหม่ยเอ๋อร์... เขาไม่สามารถพูดมันออกไปได้
"เจียงฉีหลิน ทำไมท่านทำให้เขาขุ่นเคือง? ใต้เท้าน้อย ครั้งนี้ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว!"
ใบหน้าของเจียงหยุนไฮ่เปลี่ยนไปอย่างจริงจัง ดวงตาของเขาสั่นไหวและลดเสียง "แต่มันก็ถือเป็นข้อดีในการหลบซ่อนตัว ด้วยการมีจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนอยู่ข้างๆ เจียงฉีหลินคงไม่แตะต้องท่าน แต่ถ้าเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของเจียงนี่หลิวเมื่อไหร่ มันคงจะลำบากอยู่"
อย่างที่คาดไว้จริงๆ!
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างหนักและถามทันทีว่า "ท่านปู่แซ่ของแม่ข้าคือ 'อี้' ใช่หรือไม่? "
"ใช่ ท่านรู้ได้อย่างไร?" เจียงหยุนไฮ่ตอบเขาด้วยจิตใต้สำนึก แต่ดวงตาของเขาลุกวาวขึ้นมาทันทีและถามว่า "ใต้เท้าน้อย.... ท่านรู้ทุกสิ่งแล้วหรือ?"
หลังจากเห็นเจียงอี้พยักหน้า เจียงหยุนไฮ่ก็ถอนหายใจยาวและขำเจื่อนๆ "ข้าไม่ได้วางแผนที่จะบอกเรื่องนี้กับท่านเร็วๆนี้ แต่เมื่อท่านรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้อีกต่อไป แน่นอนว่าท่านเป็นบุตรของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก เจียงเปี๋ยหลี แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะทราบถึงการมีชิวิตอยู่ของท่าน!"