Chapter 178 – The Chosen Ones (3) [09-06-2020]
Chapter 178 – The Chosen Ones (3)
”
ซังจินได้มองลงมาที่กระดาษที่ดารูปินส่งมาให้เขาในค่ำคืนนี้และหยุดกินโยเกิร์ตสตอเบอร์รี่
'ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจันทราชาด'
'หืม...ที่นี่มันแปลกจริงๆ...'
ในบทนี้มันเป็นสถานที่ๆแปลกประหลาดอย่างมากที่สุดในหมู่ยี่สิบกว่าบทที่เขาได้เห็นมา มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวขึ้นในบทอื่นๆจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถจะอ่านเรื่องราวของมันได้จากนิยายหรือตำนานต่างๆ แต่ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นไปด้วยมอนสเตอร์ที่อยู่นอกเหนือนั้นโดยสมบูรร์ พวกมันจะปรากฏตัวออกมาและหายไปเหมือนกับผีในฝันร้าย พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีร่างกายที่สมบูรณ์
'ย้อนกลับไป... ฉันจำได้ว่าฉันแทบจะเคลียร์มันไม่สำเร็จ...'
ซังจินได้หรี่ตาลง บทๆนี่เขาได้เสียพรรคพวกไปเป็นจำนวนมาก
"บอสมันคือเทเซอร์...."
'มันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง....'
ซังจินได้มองลงไปที่กระดาษข้อมูลที่ได้รับมา ชื่อของบอสคือ 'เทเซอร์บูรันดาบาส'
"เทเซอร์บูรันดาบาส... ฉันควรเพิ่มอะไรลงไปดิน... มันเปลื่ยนรูปร่างของมันได้อย่างอิสระ... ใบหน้าที่ลอยอยู่ที่เต็มไปด้วยความโกรธทำซึ่งผสมรวมเข้ากับสไลม์"
ฮิโรกิได้ถามขึ้น
"มันคือวิญญาณพยาบาทที่ผสมเข้ากับสไลม์งั้นหรอ"
"ใช่แล้ว นั่น....นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันจะอธิบายมันได้... มันทำขึ้นมาจากวิญญาณพยาบาททุกๆชนิด หนึ่งหัวเราะ หนึ่งร้องไร้ หนึ่งโกรธเคือง..."
ซังจินได้อธิบายเกี่ยวกับตัวของบอสออกมา แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหาคำที่เหมาะสมมาอธิบาย เขาได้ยอมแพ้เรื่องนี้และเริ่มจดในจุดที่พวกของเขาควรจะต้องสนใจ
"พวกนายจะเข้าใจเองแหละในตอนที่เห็นมัน สิ่งที่พิเศษสุดของมันก็คือในตอนที่ร่างกายของมันหลุดออกไปมันก็จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ยังไงก็ตามมันจะไม่ได้รับความเสียหายได้เลย มันจะมีเพียงส่วนที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้นที่จะสร้างบาดแผลให้มันได้ ดังนั้นโจมตีแค่จุดนั้นจุดเดียวพอ"
'ผู้ถูกเลือก' ได้จดมันทึกง่ายๆลงไปหรือไม่ก็หยักหน้าอย่างเงียบๆตามคำพูดของซังจริ เบลเทรนได้ยกมือขึ้นและถามออกมา
"สุดยอดนักล่า แล้วเรื่องบอสลับล่ะ"
ซังจินไม่ได้พูดอะไรกับเรื่องนี้ก็เพราะว่าตัวเขาเองก็ยังไม่เคยได้เจอกับบอสลับในบทนี้ ซังจินได้ตอบกลับไปตรามตรง
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกับ เนื่องจากว่าบอสลับที่นี่ไม่ได้เดป็นที่รู้จัก... ดังนั้นระวังตัวเอาไว้ด้วย อย่าฝืนตัวเองไปฆ่ามันล่ะและก็ถ้าหากว่ามันดูจะยากเกินไปก็เรียกฉันทันทีเข้าใจนะ"
จากมุมมองของซังจินมันจะยอดเยี่ยมที่สุดถ้าหากว่าผู้ถูกเลือกสามารถจะฆ่าบอสและพัฒนาความแข็งแกร่งด้วยคัวเองได้ แต่ว่าหากมีใครสักคนตายไปในระหว่างการทำแบบนี้มันก็จะเป็นการสูญเสียที่ใหญ่เกินไป เขาได้รวบรวมผู้ถูกเลือกมาแค่เจ็ดคนเท่านั้นเอง แต่เจ้าของร้านค้าลับก็หายไปแล้วและซังจินก็เหลือน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งการล้างบาปเหลือแค่สองขวดเท่านั้น เพราะแบบนี้เขาจะให้ใครสักคนตายไม่ได้ถ้าหากเขาต้องการสร้างปาตี้สำหรับสิบคนสุดท้าย
"ถ้างั้นฉันก็หวังว่าทุกๆคนจะได้มากินอาหารเย็นกันอย่างสบายๆนะ"
"แน่นอนสิ"
"ไว้เจอกันคืนนี้นะ"
นักล่าได้กระจายตัวกันรกลับไปสู่มิติของตัวเอง ซังจินได้นั่งอยู่เพียงลำพังบนโต๊ะในโรงแรมที่ซึ่งดารูปินได้ต่อให้เขาและมองลงไปในช่องว่างเปล่าๆ
'เอาล่ะ... ในเมื่อฉันได้เห็นอนาคตในวันพรุ่งนี้ที่ไม่มีใครตายแล้ว... ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่พิเศษเกิดขึ้น แต่ว่า....'
ตราบเท่าที่ซังจินไม่ได้ทำอะไรแปลกๆที่จะเปลื่ยนอนาคตเช่นแบบที่เอ็ดเวทย์ใช้เวทย์ใส่ข้างหลังของพรรคพวกก็จะไม่มีใครต้องตาย
'แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น....'
ซังจินได้เอาน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งการล้างบาปออกมาจากเสื้อ ตอนนี้มีเหลืออยู่สองขวด ตอนนี้เขาอยู่บทที่ 17 แล้ว จนกว่าจะถึงบทที่ 21 ที่ซังจินไม่รู้อะไรเลยก็จะมีเหลือแค่บทที่ 18 คุกเซอร์คอริส บทที่ 19 โรงเรียนเวทมนตร์คาสดิ เอเซล และบทที่สิบปราสาทราชาปีศาจที่ยังเหลืออยู่ จากสี่บทนี้เขาจำเป็นจะต้องค้นหาผู้ถูกเลือกอีกสองคน
'แต่ว่าในเย็นวันนี้ก็มีเพียงแค่แปดคนเท่านั้น....'
มันหมายความว่าวันนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนใหม่
'ถ้างั้นสำหรับตอนนี้ ฉันก็ไปต้องห่วงเรื่องนั้นและทำเพียงแค่ตั้งใจเคลียร์การจู่โจม'
ซังจินเชื่อว่าในโลกนี้มันไม่มีอะรไรยากเกินไปหากลงมือทำและเขาได้จัดการกินโยเกิร์ตที่เหลืออยู่ต่อ
*****
ช่วงค่ำคืทนภายในเมืองยุคกลางที่ถนนสว่างไสวด้วยไฟตามข้างทาง เสียงของวัตถุโลหะกระทบกันได้ดังออกมาให้ได้ยิน
ครืดด... ครืดด
มันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ แต่ว่ามันเป็นเสียงครางของสิ่งมีชีวิตดังออกมา
ก๊าาาาาา....
เหนือหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางใจมีดวงจันทร์เต็มดวงสีชาดตั้งอยู่ซึ่งสามารถจะมองเห็นได้จากไกลๆ นี่มันภาพที่ดูสวยงามมาก สถานที่นี้ซึ่งเป็นหนึ่งที่ตัวใช้ส่งเสริมบรรยากาศความน่ากลัวของบทที่ 17 'เมืองจันทราชาด'
ซังจินได้เฝ้ารอนักล่าคนอื่นๆโผล่ออกมา
ฟิ่ว
นักล่าได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่ละคนและคนที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมาให้เขาได้เห็นอย่างน่าประหลาดใจ เขาเป็นคนตัวสูง ตาสีฟ้า มาฮาเดส
"โอ้!... คุณเคย์ บังเอิญจังนะ ดูเหมือนว่าเราจะต้องจัดการการจู่โจมนี้ด้วยกัน"
"แน่นอน มันดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้นะ"
"อย่างที่ฉันคิด... นี้มันเป็นเพราะว่าคนมีเหลือไม่มากแล้วงั้นหรอ"
"นั้นก็เป็นไปได้"
ก่อนหน้านี้ในตอนที่พวกเขาได้จบในบทที่ 14 มีนักล่าเหลืออยู่อีกประมาณ 6700 คน แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จำนวนที่เหลืออยู่แบบแน่นอน แต่มันก็มีแนวน้อยว่าน่าจะเหลือนักล่าเหลืออยู่อีกประมาณ 2-3000 คน เนื่องจากการจู่โจมหนึ่งต้องมีห้าคนดังนั้นตอนนี้น่าจะมีปาตี้ประมาณ 400 ถึง 600 ปาตี้และเพราะแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนะที่จะพบกับคนรู้จัก
"นี้เป็นครั้งที่สองแล้วสินะที่พวกเราได้มาร่วมปาตี้กัน มันดีเนอะเคย์"
ก่อนย้อนกลับมาซังจินในอดีตก็เคยปาตี้กับมาฮาเดสสองครั้งเหมือนกัน นี้มันก็แปลกมากมันดูเหมือนว่าเขากับมาฮาเดสจะมีความผูกพันกัน
"แน่นอนสิ"
ซังจินได้มองไปที่นักล่าคนอื่นๆสามคนด้วยความมสงสัยว่าจะมีคนจากสิบคนสุดท้ายในอดีตก่อนย้อนกลับมาหรือใบหน้าที่คุ้นเคยอีกไหม หนึ่งคือคนผิวดำ คนผิวขาว และคนเอเชีย แต่ว่าพวกนี้ต่างก็เป็นคนที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่ว่าในทางกลับกันก็มีบางคนที่รู้จักเขา
"หือ เป็นคุณหรอสุดยอดนักล่า เคย์"
"นั่นคุณใช่ไหม สุดยอดนักล่าเคย์ นักล่าฆาตกรผู้มีชื่อเสีย"
ชาวเอเชียที่ดูมั่นคงแต่ตัวเตี้ยได้เดินเข้ามาหาซังจินและยื่นมือออกมา
"จากที่ฉันได้ยินมาคุณเป็นคนเกาหลีหรอ"
ในตอนที่มองไปที่เขาซังจินสามารถบอกได้เลยว่าคำพูดเขาพูดตรงกับปากที่ขยับมันดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้การแปลภาษาของโอเปอเรเตอร์ คนๆนี้จะต้องเป็นคนเกาหลี ซังจินได้ยื่นมือออกไปจับและตอบกลับไป
"ใช่... มันน่ายินดีนะที่ได้เจอคนเกาหลีด้วยกัน"
ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ยินดีนัก นี่เป็นเพราะว่าคนเกาหลีชอบทำตัวหยาบคายต่อซังจินตั้งแต่ที่เขายังไง แม้ว่าในตอนนี้พวกเราจะอยู่ในเหตุการณ์ดันเจี้ยนก็ตามที แต่ยังไงก็ตามชายคนนั้นได้ตอบกลับมา
"อ่า ฉันไม่ใช่คนเกาหลีหรอก"
'เอ๊ะ'
ซังจินได้เอียงหัวของเขา
'หือ เขาเป็นคนจีนงั้นหรอ แต่ว่าเขาก็รู้จักภาษาเกาหลีสินะ'
ยังไงก็ตามชายคนนั้นก็พูดในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
"ฉันมาจากภาคเหนือนะ"
เขามาจากเกาหลีเหนือ
"อ่า..."
คนเกาหลีเหนือ นี้เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นทั้งในอดีตที่ปัจจุบัน
ในตอนที่เราคิดเรื่องนี้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชาวเกาหลีเหนือที่จะปรับตัวให้เข้ากับการจู่โจมเพราะว่าชายชาวเกาหลีเหนือต่างก็ต้องใช้เวลาในกองทัพเกือบๆสิบปี พวกเราจะต้องรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เช่นนี้
'แม้ว่าฉันจะกังวลในความต่างของวัฒนธรรม... แต่ว่าถ้าเขาเป็นคนที่ดีงั้นเขาก็มีโอกาสจะมาร่วมกับเรา...'
ยังไงก็ตามในการแสดงตัวอย่างช่วงอาหารเย็นในค่ำคืนนี้มันไม่มีชายคนนี้อยู่ซังจินสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่ว่าไม่นานนี้คำตอบก็ได้ทำให้ชัดเจนขึ้น
"คุณเป็นคนเกาหลีเหนืองั้นสินะ"
คนผิวขาวที่อยู่ด้านหลังได้แทรกเข้ามา
"ฉันจะต้องยืนหยัดต่อสู้ข้างเดียวกับผู้ก่อการร้าย... นี้มันเป็นปัญหานะ"
ในตอนนั้นเองคิ้วข้างหนึ่งของชายชาวเกาหลีเหลือได้ยกขึ้นสูง
"ผู้ก่อการร้าย นายกำลังจะเล่นตลกอะไร"
ตอนนั้นเองเสียงของชายอีกคนก็ดังขึ้นมาเป็นเสียงเตือนจากชายผิวดำ
"โว้ โว้ เฮ้ตรงนั้นนะอย่าสู้กันสิ พวกนายลืมไปแล้วหรอว่าพวกเรากำลังสู้เพื่อชีวิตของเราอยู่นะ"
แม้ว่าจะมีความพยายามห้ามจากชายผิวดำ ทั้งสองคนนั้นก็กัดฟันกันจบแทบจะราวกับว่าพวกเขาจะเข้าไปตีกัน ซังจินได้เงยหน้าขึ้นและมองไปที่คนผิวขาว
'นี่เขาคิดว่าทุกๆคนในเกาหลีเหนือเป็นผู้ก่อการร้ายสินะ... ไม่สิ แม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้น เขาก็ไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกมาเลย'
การเริ่มต่อสู้กับคนอื่นๆแม้ว่าการจู่โจมจะยังไม่เริ่มขึ้น คนๆนั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์ออกไปโดยอัตโนมัติ
'มันน่าทึ่งจริงๆที่เขาสามารถจะทำแบบนี้...'
การต่อสู้ของทั้งสองคนได้หยุดลงไปในตอนที่พระมาฮาเดสได้ก้าวเข้ามาระหว่างพวกเขา
"พวกคุณท้งสองคนช่วยใจเย็นลงก่อนและหยุดโปรดเก็บความโกรธชั่วครู่ชั่วยามกลับด้วย"
ดวงตาสีน้ำเงินของพระ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่มีเอกลักษณ์หรือเสียงที่สงบนิ่งก็ตามได้ทำให้ทั้งสองคนสงบลงเมื่อได้ยินคำพูดของมาฮาเดส
"ไม่ ฉันไม่ได้.. พยายามจะ..."
"พระสงฆ์ ที่นี่...."
ชาวเกาหลีเหนือได้เกาหัวและหันออกไป จากนั้นเขาก็สบตาเข้ากับซังจินก่อนที่จะพูดออกมา
"ฮาห์ นี่แหละเลยเป็นเหตุผลให้ฉันไม่พูดว่าฉันมาจากไหน.... ฉันทำพลาดเนื่องจากว่าฉันได้พบกับคนชาติเดียวกัน"
ในด้านความคิดแล้วชายคนนี้ค่อนข้างน่าเศร้า การถูกตีความว่าเป็นผู้ก่อการร้ายเพียงแค่เพราะว่าชาติกำเนิดของเขา มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเหตุการแบบนี้มันเกิดขึ้นมากว่าหนึ่งครั้งซะอีกเนื่องจากว่าชาวเกาหลีเหนือถูกมองในแง่ไม่ดีจากส่วนต่างๆของโลก ซังจินได้มองไปที่เขาในขณะที่คิดกับตัวเอง
'หืมม... แม้ว่าทักษะของเขาจะดีมันก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะพาเขาไปกับเรา...'
ซังจินยังคงคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพวกของเขาอีกด้วย ในตอนที่เขาคิดไปถึงสิบคนสุดท้ายในชีวิตก่อน อิลิชเกลียดชาววมุสลิมทำให้เขามักจะขัดแย้งกับมุสตาฟาเสมอ และริวชินผู้ที่ดูถูกคนญี่ปุ่นก็มักจะมีปัญหากับชุนสุเกะ
'ถึงแม้ว่ามันจะไม่สำคัญอะไรกับฉันถ้าเขามาจากเกาหลีเหนือแต่...'
แม้ว่าตัวซังจินเองจะเป็นชาวเกาหลีใต้แต่เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆในเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่รู้อีกด้วยว่าชาวอเมริกาเบลเทรน หรือชาวยุโรปนาดาและฟรานซ์จะไม่ชอบชายคนนี้ ถ้าหากเขาคิดแบบนั้นก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำอะไรในเรื่องนี้ได้
'นี้คงเป็นเหตุผลให้มีเพียงแค่แปดคนในช่วงอาหารค่ำคืนนี้สินะ... ฟูวว ยังไงก็ตามรีบๆเคลียร์การจู่โจมให้เสร็จเร็วๆดีกว่า'
[การจู่โจมจะเริ่มขึ้นอีกในเวลา 10 วินาที 10 9 8 ...]
ซังจินได้ดึงดาบออกมาในขณะที่คิดเรื่องนี้เสร็จ เนื่องจากว่ามาฮาเดสก็อยู่ที่นี่กับเขาด้วยการจู่โจมครั้งนี้จึงง่ายดายเป็นอย่างมากแน่ๆ