บทที่ 78 มีข้าอยู่ จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้า
ปังง!
เจียงอี้ไตร่ตรองถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เขาออกจากห้องของตัวเองและเตะไปที่ประตูห้องของเจ้าก้อนไขมันเฉียนว่านก้วนจนเปิดออก
เฉียนว่านก้วนผู้ซึ่งกำลังอ่านเอกสารบางอย่างยิ้มเหยเกก่อนเอ่ย “พี่ใหญ่ เจ้าจะอ่อนโยนบ้างเลยไม่ได้หรือ? ข้าจะนอนหลับอย่างสบายใจได้อย่างไรหากประตูชำรุดเช่นนี้?”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจท่าทีของเจ้าอ้วน เขาหยุดอยู่ชั่วครู่และกล่าว “เฉียนว่านก้วน เจ้าสามารถช่วยข้าส่งสารถึงท่านปู่ได้หรือไม่?”
“เจ้าหมายถึงเจียงหยุนไฮ่?”
เฉียนว่านก้วนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าและตอบอย่างสบายๆ “นี่มันง่ายดายนัก เจ้าต้องการเมื่อไหร่?”
“วันนี้ดูเหมือนจะสายไป เอาเป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน!”
เจียงอี้นั่งลงบนเตียงของเจ้าอ้วนและเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “เฉียนว่านก้วน เจ้าช่วยข้าได้ใช่ไหม? หากทำสำเร็จ ข้า เจียงอี้ ถือว่าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว!”
“เอ่อ?”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนส่องประกายขณะที่กล่าวด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่ข้านับถือเจ้าเป็นพี่ชาย ปัญหาของเจ้าก็ถือว่าเป็นปัญหาของข้าด้วยเช่นกัน! ข้าจะไม่พูดเยอะ เอาเป็นว่าข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่!”
เปี๊ยะ!
เจียงอี้ตบจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นไปข้างหน้า แรงตบทำให้ชั้นไขมันบนตัวกระเพื่อมราวกับคลื่นในมหาสมุทร “เฉียนว่านก้วน หากเจ้าต้องการที่จะคบหากับข้าในฐานะสหายจริงๆ จงอย่าได้โกหกหลอกลวงข้า ข้าเกลียดคนที่หน้าซื่อใจคดมากที่สุด!”
รอยยิ้มของเจ้าอ้วนแข็งค้างก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นจริงจังและกล่าว “ก็ได้! ก็ได้! ข้าต้องการให้พี่ใหญ่เป็นหนี้ข้า… แค่นั้นแหละ”
เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขณะเอ่ย “เจ้าไม่กลัวที่จะพบกับความสูญเสียหรือ? จะเป็นยังไงหากข้าไม่รักษาคำพูดเรื่องที่เป็นหนี้เจ้า?”
“ฮิฮิ!”
เฉียนว่านก้วนยืดอกด้วยความมั่นใจก่อนเอ่ย “เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ทายาทตระกูลเฉียนทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจและขั้นแรกของการทำธุรกิจก็คือการอ่านคนให้ออก จากที่ข้าสามารถบอกได้ พี่ใหญ่ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ข้าจะทำทุกอย่างให้เจ้าเป็นหนี้ข้าเพราะข้ามั่นใจว่าในอนาคตผลตอบแทนจะคุ้มค่ายิ่งกว่าสิ่งที่ข้าลงทุนไปมากนัก”
เจียงอี้ทำเพียงแค่พยักหน้าและกล่าว “ข้าต้องการให้เจ้าปกปิดตัวตนของข้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าข้าจะเป็นลูกของคนผู้นั้นหรือไม่ จะต้องไม่ให้เรื่องนี้ไปถึงหูของเจียงนี่หลิว เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดข้าออกไป”
“ถูกต้อง!”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “ด้วยนิสัยตามธรรมชาติของเจียงนี่หลิวแล้ว หากเขารู้ถึงตัวตนของเจ้า เขาจะต้องไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่เป็นสุขแน่ เว้นแต่ว่าเจ้าจะเปิดเผยให้โลกรู้รวมไปถึงจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก, เจียงเปี๋ยหลี ไม่เช่นนั้นล่ะก็ เจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือของเขาและเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนตัวอยู่ในสำนักไปได้ตลอด…”
หลังจากที่พูดจบ เฉียนว่านก้วนก็ครุ่นคิดบางอย่างก่อนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ข้าสามารถช่วยเจ้าในเรื่องนี้ได้ ข้าสามารถใช้คนของตระกูลช่วยเหลือเจ้าในระยะสั้น แต่คงเป็นไปไม่ได้ในระยะยาว เว้นแต่ว่าเจ้าจะทำให้ตัวเองต่ำต้อยอยู่ตลอดในขณะที่อยู่ในสำนัก หากวันใดเจ้ากลายเป็นศิษย์ชั้นยอด ตระกูลต่างๆก็จะให้ความสนใจและเริ่มขุดคุ้ยประวัติของเจ้าในทันที ซึ่งจะนำไปสู่การค้นพบร่องรอยของตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
“ศิษย์ชั้นยอด!”
สีหน้าของเจียงอี้มืดมนลง เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากสำนักจริงๆ เจียงอี้จำเป็นต้องกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดให้ได้เสียก่อน จากนั้นเขาจึงจะมีโอกาสได้รู้จักกับหมอเทวะและขอร้องให้เขาช่วยรักษาเจียงเสี่ยวนู๋
นอกจากนี้ มีเพียงการเป็นศิษย์ชั้นยอดเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนทักษะลับในการฝึกสัตว์อสูรได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเจียงอี้กลายเป็นศิษย์ชั้นยอด เขาจะดึงดูดความสนใจจากตระกูลต่างๆที่ต้องการจะรับเขาไปอยู่ในสังกัด จากนั้น เบื้องลึกเบื้องหลังของเขาก็จะถูกขุดคุ้ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจ้าทำได้แค่ปกปิดไว้ให้นานที่สุดในตอนนี้!”
เจียงอี้ถึงกับปวดหัว เขาต้องก้าวไปทีละขั้น เกี่ยวกับเรื่องของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วน เจียงอี้ไม่ได้กังวลนัก หากคนผู้นี้คิดที่จะขายเขาจริงๆก็คงไม่เข้ามาตีสนิทและเลือกไปหาเจียงนี่หลิวโดยตรงเสียมากกว่า
หลังจากที่กลับไปห้องของตัวเอง เจียงอี้ก็เข้าสู่ห้วงสมาธิในทันที เขามีความรู้สึกว่าต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งในเร็วที่สุดเพราะเข้าใจดีว่าหากต้องการที่จะกุมชะตาชีวิตของตัวเอง ก็จะต้องครอบครองความแข็งแกร่งที่มากพอเสียก่อน
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้ แต่เขาก็ยังคงขยันฝึกซ้อมจนเป็นนิสัยไปแล้ว
ค่ำคืนผ่านพ้นไป
แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามา เจียงอี้ถูกปลุกจากเสียงเคาะประตู เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตูจากนั้นก็มองเห็นใบหน้าของเฉียนว่านก้วนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ทำไมเจ้าถึงได้ตื่นเช้านัก? หรือว่าสำนักจะจัดพิธีต้อนรับให้กับศิษย์ใหม่?”
“พี่ใหญ่ นี่เจ้ายังงัวเงียอยู่อีกหรือ?”
เจ้าอ้วนกรอกตาไปมาและกล่าว “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกสำนัก! อยู่ระดับต่ำสุดของสำนักแล้ว แม้ว่าจะมีพิธีต้อนรับ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรา! มาเถอะ ถึงเวลาทำงานแล้ว!”
“งาน? งานอะไร?” เจียงอี้กระพริบตาปริบๆขณะถาม
“พี่ใหญ่ นี่เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสำนักจิตอสูรบ้างเนี่ย?!”
เฉียนว่านก้วนอดไม่ได้ที่จะยิ้มด้วยความขมขื่นและอธิบาย “ในสำนัก ไม่มีใครสนใจสถานะของศิษย์ พวกเขาสนใจเพียงระดับเท่านั้น ศิษย์นอกสำนักคือชนชั้นที่ต่ำต้อยที่สุดและจำเป็นต้องทำงานจิปาถะต่างๆในสำนัก ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการใดๆ เว้นแต่ว่าเจ้าจะบริจาคเงินก้อนโต ส่วนศิษย์สำนักสามัญ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำงานจิปาถะแต่สามารถออกไปปฏิบัติภารกิจเพื่อสะสมคะแนน ส่วนศิษย์สำนักชั้นยอดพวกเขาจะได้รับคะแนนเป็นเบี้ยเลี้ยงทุกเดือน หากสามารถเลื่อนระดับมาเป็นศิษย์สำนักอัจฉริยะได้ ก็จะมีศิษย์ใช้ทรัพยากรของสำนักอย่างไม่จำกัด…”
“อย่างนี้นี่เอง” เจียงอี้พยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วพวกเราจะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สำนักสามัญได้อย่างไร? ผ่านการชำระโลหิต?”
“ใช่ มันคือหนึ่งในทางเลือก!”
เฉียนว่านก้วนกล่าวตอบ “ทุกๆครึ่งปี สำนักจะจัดการชำระโลหิต ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ แน่นอนว่านอกจากนี้แล้วยังมีวิธีอื่นอยู่อีก นั่นคือการท้าทายศิษย์ห้าคนที่มีระดับสูงกว่า มันคือการประมือกับคนห้าคนในเวลาเดียวกัน! แต่เจ้าต้องรู้ก่อนว่าศิษย์สำนักสามัญอย่างน้อยที่สุดก็มีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจื่อฝู่แล้ว ดังนั้นนะพี่ใหญ่ มันจะดีกว่าหากเจ้าเลือกที่จะทำงานจิปาถะไปก่อน”
“หนึ่งต่อห้า? แถมยังเป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ทั้งหมด?!”
เจียงอี้ถอนหายใจด้วยความขมขื่น ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงห้าคน เพียงแค่สองคนก็ยากจะรับมือแล้ว
เขาเดินตามเฉียนว่านก้วนไปด้านนอกและสังเกตวิวทิวทัศน์ไปตลอดทาง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสำนักจิตอสูรถึงได้เป็นหนึ่งในสามสำนักยักษ์ใหญ่ของทวีป นั่นเป็นเพราะมันมีขนาดใหญ่โต นอกเหนือจากบริเวณที่เจียงอี้พักอยู่อาศัยก็มีสิ่งปลูกสร้างมากมายซึ่งทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา
ในเวลานี้ ลูกศิษย์สามารถเดินออกจากบริเวณที่พักได้ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่บริเวณนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนักซึ่งขาดแคลนความแข็งแกร่ง เป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ในกลุ่มพวกเขา
ทันใดนั้นเอง ร่างของคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากลานบ้านที่อยู่ตรงหน้าของเจียงอี้และเฉียนว่านก้วน คนผู้นี้มีร่างกายที่ใหญ่โต ใบหน้าหล่อเหลาและมีผิวสีทองแดง ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความดุดันในฐานะนักรบ
เขาจ้องมองมายังเจียงอี้และเฉียนว่านก้วน จนสุดท้ายก็หยุดมองมาที่เจียงอี้เพียงคนเดียว
“เจียงอี้?”
“พี่ใหญ่อู๋ซวง ช่างบังเอิญยิ่งนัก! เจ้าเองก็พักอยู่แถวนี้เหมือนกันหรือ?” ใบหน้าของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ถึงอย่างนั้นจ้านอู๋ซวงก็ไม่ได้ชายตามองเขาแม้แต่น้อย
เจียงอี้เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายและเอ่ยอย่างเรียบง่าย “จ้านอู๋ซวง?”
“ขอบคุณที่ช่วยน้องสาวของข้าไว้ในวันนั้น หากเจ้าพบเจอปัญหาในสำนัก อย่าลังเลที่จะมาหาข้า หากมีข้าอยู่ จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้ว!”
จ้านอู๋ซวงกล่าวเสร็จก็เดินจากไปในทันที เจียงอี้ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “จ้านอู๋ซวงผู้นี้ช่างเป็นคนที่โอหังเสียจริง เขาเองก็เป็นแค่ศิษย์นอกสำนักไม่ใช่หรือ? หากว่าข้ามีปัญหากับศิษย์สำนักอัจฉริยะ เขาจะจัดการอย่างไร?”
“เจ้าผิดแล้ว!”
เฉียนว่านก้วนจ้องมองไปยังแผ่นหลังของจ้านอู๋ซวงซึ่งอยู่ห่างไปไกลขณะกล่าว “ไม่เกินสามวัน จ้านอู๋ซวงจะกลายเป็นศิษย์สำนักสามัญ ภายในสามเดือนเขาจะได้ขึ้นเป็นศิษย์ชั้นยอดและภายในหนึ่งปี เขาจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สำนักอัจฉริยะได้อย่างแน่นอน เขาไม่ได้โอหัง แต่เขาคือผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง! ลูกหลานของตระกูลเทพสงครามไม่ได้มีแค่ชื่อเท่านั้น!”