ตอนที่แล้วบทที่ 75 การตัดสินที่ผิดพลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 77 อันตราย

บทที่ 76 ฝ่าบาท


จีทิงยวี่และแม่นางซูผู้ที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง ดวงตาของพวกนางเป็นประกายก่อนที่จะกลับเป็นปกติในเสี้ยววินาที จ้านอู๋ซวงและหญิงสาวชุดคลุมดำต่างก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า พวกเขาไม่แปลกใจเมื่อเจียงอี้สามารถรวบรวมป้ายสัญลักษณ์ได้ครบเนื่องจากพวกเขาต่างก็รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างดี

“ป้าย!”

ตัวแทนของสำนักผู้หนึ่งก้าวออกมา เจียงอี้ไม่กล้ารอช้าและส่งป้ายสัญลักษณ์ทั้งหมดที่เขามีออกไป จากนั้นตัวแทนก็สอบถามอายุและชื่อของเจียงอี้ก่อนที่จะประกาศให้คนอื่นได้รับรู้

“ผู้เข้าร่วม เจียงอี้ ได้รับป้ายสัญลักษณ์ทั้งหมดสี่สิบเจ็ดชิ้น! สอบผ่านการชำระโลหิต! ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่สิบแปด!”

“โอ้?”

“ไม่เลว”

ตัวแทนหลายคนต่างอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าเท่านั้นแต่ก็สามารถผ่านการคัดเลือกของเทศกาลชำระโลหิต นอกจากนี้ยังถูกจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรก

เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษเหมือนกับจ้านอู๋ซวง? หรือเขาใช้วิธีการบางอย่างปกปิดระดับการบ่มเพาะพลังที่แท้จริงไว้? หรือไม่ก็อาจจะมีสถานะพิเศษบางอย่าง?

ตึก! ตึก!

แต่ในตอนนั้นเอง อีกด้านหนึ่งของยอดเขา กลุ่มคนจำนวนมากที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คน เจียงอี้ใช้โอกาสนี้แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนและสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ

เขามองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยไม่ว่าจะเป็น นายน้อยจากตระกูลจ่างซุน, เจียงฉีหลิน, เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆ

คนกลุ่มนี้ต่อสู้กับแทบเป็นแทบตายไม่กี่ชั่วโมงการ แต่ตอนนี้พวกเขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินมาด้วยกันอย่างสงบ

เจียงอี้ไม่ได้ให้ความสนใจคนอื่นมากนัก แต่เจียงฉีหลินเคยเห็นใบหน้าของเขาแล้ว มันก็ทำให้เขาเกิดความกังวลว่าชายผู้นี้จะสร้างปัญหาให้เขาเมื่อเข้าไปอยู่ในสำนักจิตอสูรหรือไม่?

ต้องอย่าลืมว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงทายาทของตระกูลอันดับสองของอาณาจักรเสินหวู่ แม้ว่าจีทิงยวี่จะเคยเตือนเจียงอี้ไว้ก่อนแล้ว แต่เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนแรกที่เขาสร้างความขุ่นเคืองให้จะมีสถานะที่สูงส่งขนาดนี้!

“ถึงยังไงสำนักก็ไม่อนุญาตให้เกิดการต่อสู้ระหว่างศิษย์ด้วยกัน นอกเสียจากว่าเจียงฉีหลินจะลงมือลับหลังและไม่ทิ้งร่องรอยเพื่อสังหารข้า”

เจียงอี้ถอยหายใจและกลืนหายเข้าไปในฝูงชนเนื่องจากไม่ต้องการให้เจียงฉีหลินหรือคนอื่นสังเกตเห็น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าในขณะที่กำลังจะหันหลัง เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนก็ฉีกยิ้มและเดินมาหาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่! ท่านอยู่นี่เอง ข้ามองหาท่านเสียตั้งนาน!”

บ้าเอ้ย!

ดวงตาของเจียงอี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เหลือบมองเจียงฉีหลินโดยไม่รู้ตัว เป็นไปตามคาด ฝ่ายนั้นเองก็หันมามองเขาตามเสียงเรียกพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

เมื่อเจ้าอ้วนเดินมาถึง เจียงอี้ก็ตบไปที่หลังศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความโกรธ “เฉียนว่านก้วน! เจ้าตั้งใจใช่ไหม?!”

แม้ว่าเฉียนว่านก้วนจะถูกตี แต่เขาก็ไม่ได้โกรธแถมยังหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ “โถ่! พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ข้ารับประกันได้เลยว่าเจียงฉีหลินไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้กับท่านแน่ หรือหากว่ามันทำจริงๆ ข้าก็จะให้คนของข้าไปช่วยท่านทุบตีมัน!”

เจียงอี้ทำได้เพียงกระพริบตาปริบๆ เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนผู้นี้กำลังสร้างปัญหาให้กับเขา แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงทำให้เขาโกรธอีกฝ่ายไม่ลง อีกฝ่ายเป็นถึงนายน้อยของตระกูลใหญ่อันดับสี่ของอาณาจักร แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้หวั่นเกรงหรือหวาดกลัวเขา ซ้ำยังมีความรู้สึกว่าอาจจะเป็นสหายที่ดีต่อกันได้

“หืม?!”

มีหลายคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ซึ่งรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเฉียนว่านก้วน หัวใจของพวกเขาแทบจะหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ในตอนนี้พวกเขาต่างก็พยายามที่จะคาดเดาถึงสถานะของเจียงอี้ เพราะผู้ที่กล้าตบหัวของนายน้อยตระกูลเฉียนผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

แม้ว่าภายนอกเฉียนว่านก้วนดูไม่อันตรายและเป็นมิตร แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามีคนจำนวนนับไม้ถ้วนที่ต้องตายด้วยน้ำมือของเขา

“ชู่!”

ทันใดนั้นเองผู้เข้าร่วมอีกคนก็มาถึง เมื่อเจียงอี้มองไปที่คนผู้นั้น ม่านตาของเขาก็หดแคบลงขณะที่พยายามซ่อนตัวอยู่หลังชั้นไขมันของเฉียนว่านก้วน “หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วช่วยบังข้าก่อน!”

เจ้าอ้วนมองไปยังผู้มาใหม่ขณะที่ดวงตาเล็กๆของมันส่องประกายและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “พี่ใหญ่! นั่นคือเยว่เหม่ยเอ๋อร์ คุณหนูแห่งตระกูลเยว่จากเมืองหลวง หรือว่าท่านรู้จักนาง? คงไม่ใช่ว่า… ท่านทำเรื่องไม่ดีกับนางไปหรอกนะ?”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น! หยุดพูดได้แล้ว!” ใบหน้าของเจียงอี้กลายเป็นสีแดงขณะที่พยายามกดศีรษะลงต่ำ โชคดีที่เยว่เหม่ยเอ๋อร์ไม่ได้สังเกตเห็นเขา

เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท ตัวแทนผู้หนึ่งเอ่ย “หมดเวลาแล้ว! เทศกาลชำระโลหิตจบลงเพียงเท่านี้! กลุ่มแรกมีศิษย์จำนวนสองร้อยหกสิบคนที่ผ่านการคัดเลือกและกลุ่มที่สองมีสี่สิบห้าคน ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทั้งหมด!”

“ศิษย์กลุ่มแรกจะกลายเป็นศิษย์เป็นสามัญของสำนักจิตอสูรในขณะที่กลุ่มที่สองจะกลายเป็นศิษย์นอกสำนัก”

“ศิษย์ทั้งหมดจะต้องตามตัวแทนเข้าไปในสำนักเพื่อจัดหาที่พัก”

หลังจากที่ตัวแทนของสำนักกล่าวจบ ผู้เข้าร่วม.. ไม่สิ ลูกศิษย์จำนวนมากก็เข้าไปในสำนักด้วยความตื่นเต้น แต่เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน ทิวทัศน์โดยรอบจึงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก หลังจากที่เดินวนไปมา ในที่สุดเจียงอี้ก็มาหยุดอยู่ที่ลานขนาดเล็กพร้อมกับลูกศิษย์อีกสามคน

“พี่ใหญ่! นี่ต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆ! พวกเราได้อยู่ด้วยกัน ได้โปรดดูแลข้าด้วย!”

เฉียนว่านก้วนถูกจัดให้อยู่ที่เดียวกับเจียงอี้ แต่ไม่ว่าเจ้าอ้วนคนนี้จะแสดงความตื่นเต้นออกมาเท่าไหร่ เจียงอี้ก็ยังคงนิ่งเฉย พวกเขาเดินเข้าไปและพบกับห้องเล็กๆสี่ห้องซึ่งมีเตียงใหม่วางอยู่

เจียงอี้ไม่ใช่คนที่ชอบพบปะพูดคุยอยู่แล้ว ศิษย์อีกสองคนเองก็ไม่ได้กล่าวอะไร พวกเขาเพียงแค่เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง

ตึง!

เป็นไปตามคาด เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนเดินตามเข้ามา เจียงอี้วางกระเป๋าสัมภาระของเขาลงและโคจรแก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือพร้อมกับตะครุบไปที่คอของเฉียนว่านก้วนจนอีกฝ่ายถอยหลังไปชนกำแพง ดวงตาของเจียงอี้เย็นชาอย่างผิดปกติและเอ่ย “เฉียนว่านก้วน เจ้าวางแผนที่จะตามข้ามาใช่หรือไม่?”

“อ๊ะ?”

เจ้าอ้วนแสดงสีหน้าตกใจและกล่าวอย่างเร่งรีบ “พี่ใหญ่ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร?! ข้าไม่เข้าใจ!”

“หึหึ!”

เจียงอี้หัวเราะด้วยความเย้ยหยัน ดวงตาของเขาส่อแววเย็นชายิ่งขึ้นขณะที่กล่าว “เจ้าเป็นถึงนายน้อยจากตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดของอาณาจักร มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เจ้าจะถูกจับมาอยู่ในสถานที่อันเล็กกระจ้อยร่อยเช่นนี้? เจ้าคิดว่าข้าไม่เห็นตอนที่เจ้าส่งสัญญาณให้กับตัวแทนของสำนัก? ด้วยสถานะของเจ้า มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมากหากต้องการที่จะกลายเป็นศิษย์สามัญหรือศิษย์ชั้นยอด! อย่าได้เล่นตุกติกกับข้า ข้าเกลียดคนแบบนี้ที่สุด!”

“พี่ใหญ่ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก!”

เจ้าอ้วนเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาและส่ายหัว “พี่ใหญ่ปล่อยมือก่อน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อท่าน”

เมื่อเจียงอี้คลายมือออก สีหน้าของเฉียนว่านก้วนก็เปลี่ยนไปและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจียงอี้ ด้วยความสัจจริง ข้าขอให้ตัวแทนของสำนักที่เป็นคนของตระกูลเฉียนจัดเตรียมให้ข้าได้พักอยู่ที่เดียวกับเจ้า”

“ความจริงแล้วมันเป็นเพราะจ้านอู๋ซวงเป็นหนี้เจ้า ข้าต้องการที่จะใช้เจ้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเขาและที่สำคัญที่สุด ตัวของเจ้าเองก็มีความสามารถมากพอซึ่งคุ้มค่าที่จะเป็นสหายด้วย หากข้า, เฉียนว่านก้วน ได้มีพี่ใหญ่เช่นเจ้า ด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งและมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด…”

เปี๊ยะ!

ก่อนที่เจ้าอ้วนจะกล่าวจบ เจียงอี้ก็ตบไปที่หัวของเขาและกล่าวด้วยความหงุดหงิด “หากเจ้ายังไม่หยุดพูดไร้สาระ ข้าจะโยนเจ้าออกไป”

“ก็ได้ ก็ได้… ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า!”

เฉียนว่านก้วนจ้องมองไปยังเจียงอี้ด้วยความเศร้าหมอง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะตบเขาอีกครั้ง เขาจึงรีบกล่าว “ข้าต้องการที่จะเป็นสหายกับพี่ใหญ่เพราะ… สถานะของเจ้า!”

“สถานะของข้า?”

เจียงอี้หยุดชะงักและหวนรำลึกถึงคำพูดของเจียงหยุนไฮ่ ดวงตาของเขาดูเย็นยะเยือกขณะที่ตบเฉียนว่านก้วนด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังสืบเรื่องเกี่ยวกับข้าอย่างนั้นรึ?! ไม่สิ… พวกเรารู้สึกกันมานานแค่ไหน? ถึงเจ้าจะสืบเรื่องของข้า เจ้ารู้มากขนาดไหนกันเชียว?”

“ฮิฮิ”

เจ้าอ้วนหัวเราะขณะที่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “พี่ใหญ่ เจ้าประเมินความสามารถของข้าต่ำเกินไปแล้ว เจียงเฮิ่นซุ่ยและจีทิงยวี่จากเมืองเทียนอวี่ของเจ้า พวกมันต่างก็พาคนของตัวเองมาด้วย การสอบถามจากพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

เจียงอี้จ้องมองไปยังเฉียนว่านก้วน “สถานะของข้า? เจ้ารู้จักสถานะของข้าจริงๆ?”

สีหน้าของเจ้าอ้วนแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและโค้งคำนับก่อนที่จะเอ่ย “เฉียนว่านก้วน น้อมคารวะฝ่าบาท!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด