บทที่ 75 การตัดสินที่ผิดพลาด
“จ้านอู๋ซวง ทำไมท่านถึงไม่ช่วยเขา?”
หญิงสาวในชุดคลุมดำจ้องมองไปที่เจียงอี้ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย นางหันไปพูดกับจ้านอู๋ซวงด้วยสีหน้าเย็นชา ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ให้ความสนใจกับชายสวมหน้ากากหลังจากที่ได้รับข้อความจากเฉียนว่านก้วน
“ข้าไม่ใช่คนเนรคุณ แต่ตระกูลจ้านของเราวางตัวเป็นกลางอยู่เสมอ หากข้าเข้าไปมีส่วนร่วมในตอนนี้ มันอาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคตหรือแม้กระทั่งทำให้เกิดผลกระทบต่อ ‘กระดานหมากรุก’ ของตาแก่พวกนั้นได้”
จ้านอู๋ซวงส่ายหัวและไม่ขยับไปไหน เขาจ้องมองไปที่เจียงอี้และกล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยบอกว่าเขาเหนือกว่าข้าหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง จะมีใครที่สามารถทำร้ายเขาได้?”
“เหอะ!”
หญิงสาวในชุดคลุมสีดำเค้นเสียงด้วยความไม่พอใจ เหตุผลที่ก่อนหน้านี้นางกล่าวว่าเจียงอี้เหนือกว่าจ้านอู๋ซวงเป็นเพราะลางสังหรณ์เท่านั้น นอกจากนี้นางเพียงแค่ต้องการหยอกล้อเขาเล่น ความจริงแล้วนางเองก็ไม่เชื่อว่าเจียงอี้จะมีความสามารถมากกว่าจ้านอู๋ซวงผู้ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเทพสงครามในปัจจุบัน
ตู้มมม!
อย่างไรก็ตาม ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้จ้านอู๋ซวงและหญิงสาวรวมไปถึงเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้แถวนั้นต้องตกตะลึง
เจียงอี้ที่สมควรเป็นฝ่ายเสียเปรียบกลับปล่อยฝ่ามือซึ่งแฝงไว้ด้วยประกายแสงสีดำกระแทกใส่ร่างของจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าผู้นั้น ร่างของฝ่ายตรงข้ามลอยกระเด็นออกไปในสภาพน่าอเนจอนาถ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
กองกำลังทั้งสองฝ่ายมีจอมยุทธจำนวนมาก แต่มีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นที่มีระดับบ่มเพาะพลังอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้า การที่เจียงอี้ได้ทำร้ายหนึ่งในนั้นจนบาดเจ็บสาหัส ตาชั่งแห่งชัยชนะก็ได้เอนเอียงไปทางฝั่งของสี่ตระกูลใหญ่แล้ว
ฟึบ!
หลังจากที่ปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ออกไปแล้ว เจียงอี้ก็ไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด เขาพุ่งเข้าหาจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลและส่งอีกฝ่ายลอยออกไปด้วยกำปั้นของเขา
ระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจียงอี้คือขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่ง เมื่อหลอมรวมกับแก่นแท้พลังสีดำทำให้เขามีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าเก้าตัวเป็นอย่างน้อย ทำให้การจัดการกับจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดเป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ
“เป็นมัน?”
เจียงฉีหลินสังเกตเห็นเจียงอี้มาสักพักแล้วและพบว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายดูคุ้นเคยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาเห็นอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ ความโกรธแค้นของเขาก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟ
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“พวกเจ้ามัวมองอะไรอยู่? รีบลงมือเร็วเข้า!”
เจียงอี้นั้นอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายพันธมิตรสี่ตระกูลอยู่แล้ว เมื่อฝ่ายเดียวกันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้สติจากเสียงตะโกนของเจียงอี้ พวกเขาทั้งสองก็ร่วมมือกันจัดการฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ใกล้ๆในทันที
ปังง!
เจียงอี้และจอมยุทธจากกลุ่มพันธมิตรร่วมมือกันกำจัดศัตรูของพวกเขาอย่างง่ายดาย ก่อนที่เจียงฉีหลินจะเข้าถึงตัวเจียงอี้ เขาก็รีบโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่ส่วนขาและทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำการลอบโจมตีอีกต่อไปแต่มุ่งตรงไปยังทิศที่เฉียนว่านก้วนยืนอยู่
“เฉียนว่านก้วน ข้าช่วยเจ้าจัดการพวกมันทั้งสิบคนแล้ว ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็จัดการเองแล้วกัน”
ทันทีที่กล่าวเสร็จ เจียงอี้ก็จากไปในทันที ตลอดการต่อสู้เขาได้ใช้แก่นแท้พลังสีดำไปจนเกือบหมดและนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
“เดี๋ยวก่อนพี่ใหญ่!”
เจ้าอ้วนตื่นตระหนกและร้องอุทานออกมา “พี่ใหญ่! ได้โปรดอยู่ช่วยข้าจัดการพวกมันต่ออีกหน่อยเถอะ! ข้าจะมอบเงินหรือป้ายสัญลักษณ์ให้ท่านอีก!”
เท้าของเจียงอี้ไม่แม้จะหยุดชะงัก พริบตาเดียวเขาก็หายไปจากสายตาของผู้คน
“ช่างเป็นคนที่ปกปิดความแข็งแกร่งได้มิดชิดจริงๆ”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนเต็มไปด้วยความท้อแท้ราวกับว่าได้สูญเสียกำไรก้อนใหญ่ไป แท้จริงแล้วผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้นไม่ได้สำคัญแต่อย่างใด เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของมันคือการใช้เจียงอี้เพื่อบังคับให้จ้านอู๋ซวงลงมือ แต่ก่อนที่จ้านอู๋ซวงจะได้ทำอะไร เจียงอี้ก็สามารถจัดการฝ่ายตรงข้ามจนครบสิบคนได้อย่างง่ายดาย
เฉียนว่านก้วนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น เขาหันไปหาคนของตัวเองและกล่าว “ส่งข้อความออกไป ขอให้หน่วยสอดแนมของตระกูลออกค้นห้าข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่มที่มีอายุประมาณสิบหกปีซึ่งมีความแข็งแกร่งโดยรวมอยู่ประมาณขอบเขตจื่อฝู่และไม่ได้สังกัดอยู่ในเจ็ดตระกูลใหญ่… ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าประเมินเขาต่ำเกินไป”
……….
“จ้านอู๋ซวง! ท่านเห็นไหม?!”
ดวงตาของหญิงสาวในชุดคลุมสีดำเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางหันมาทางชายหนุ่มร่างยักษ์และกล่าวด้วยความเย้ยหยัน “ข้าคิดถูกจริงๆด้วย ชายผู้นั้นปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าท่านเลย ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวถึงกับทำให้จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าบาดเจ็บปางตายได้แล้ว!”
จ้านอู๋ซวงเผยรอยยิ้มขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับศีรษะของหญิงสาว แต่นางก็เอียงศีรษะหลบได้อย่างชำนาญ
“ชายผู้นี้ช่างเป็นคนที่ผิดปกติอย่างแท้จริง หากมองจากภายนอกเขาก็เป็นเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าทั่วไปเท่านั้น หากเขาสามารถเข้าร่วมกับสำนักจิตอสูรได้ ข้าจะยอมปกป้องเขาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า”
“เหอะ!”
หญิงสาวในสุดคลุมสีดำเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับจ้านอู๋ซวง นางกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “ก็ยังไม่รู้หรอกว่าใครจะปกป้องใครกันแน่!”
จ้านอู๋ซวงไม่ได้ให้ความสนใจกับสาวน้อยมากนัก เขาหันไปมองที่สนามรบและเอ่ย “เฉียนว่านก้วนกำลังจะส่งกำลังเสริมออกมา ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ชัดเจนอยู่แล้ว จ่างซุนทุนหลงร่วมมือกับไอ้โง่อย่างเจียงฉีหลิน? พวกมันจะเทียบกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเฉียนว่านก้วนได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นเอง พุ่มไม้รอบข้างก็สั่นไหวพร้อมกับจอมยุทธที่ซ่อนตัวอยู่นับสิบคนกระโจนออกมา หากเปรียบการที่เจียงอี้เข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ทำให้ตาชั่งแห่งชัยชนะเอนเอียง การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ก็คือการตอกย้ำว่าเทพีแห่งชัยชนะได้จุติลงมาแล้ว
“พอได้แล้ว! หยุดที่ตรงนี้เถิด! พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้!”
หนึ่งในจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ตะโกนและหยุดการต่อสู้ นับตั้งแต่ที่กำลังเสริมอันแข็งแกร่งถูกเรียกออกมา การต่อสู้ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะหากดันทุรังก็มีแต่จะทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
เจ้าก้อนไขมันเฉียนว่านก้วนยิ้มแย้มขณะที่เดินออกมาจากพุ่มไม้ สีหน้าของเขายังคงแสดงความเป็นมิตรและไร้ซึ่งพิษสง แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าพันธมิตรจากสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังมองเขาในฐานะผู้นำ แม้แต่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่เองก็ยังต้องเกรงใจเขาอยู่หลายส่วน
“พี่น้องทั้งหลาย ไม่ใช่ข้าพูดไปแล้วหรือว่าความเมตตาคือเส้นทางไปสู่ความมั่งคั่ง? การต่อสู้อันรุนแรงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”
เฉียนว่านก้วนก้าวมาพร้อมกับพุงที่เต็มไปด้วยชั้นไขมัน เขาเหลือบมองไปที่นายน้อยตระกูลจ่างซุนผู้ซึ่งบรรลุขอบเขตจื่อฝู่ไปแล้วและเจียงฉีหลินพร้อมกับเอ่ย “นับตั้งแต่ที่นายน้อยจ่างซุนขอให้หยุดการต่อสู้ ข้าเองก็เคารพในการตัดสินใจของเขา แต่แน่นอนว่าฝ่ายเราเองก็เผชิญกับการสูญเสีย….”
“ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว!”
จ้านอู๋ซวงอยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างดี เขาดึงร่างของหญิงสาวในชุดคลุมสีดำเข้ามาใกล้และเอ่ย “ไม่มีใครสามารถเอาชนะทาสเงินผู้นี้ในการเจรจาต่อรองได้ ดูเหมือนว่าจ่างซุนทุนหลงและเจียงฉีหลินจะต้องพบเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่เสียแล้ว”
จ้านอู๋ซวงจับไปที่แขนของหญิงสาวและทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับดาวตก คนอื่นๆที่มาสังเกตการณ์ก็เริ่มสลายตัว บางคนกลับไปหาป้ายสัญลักษณ์ต่อในขณะที่บางคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังสำนักจิตอสูรทันที
……..
เจียงอี้สะสมป้ายสัญลักษณ์จนครบแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาในทันทีและเลือกที่จะหาสถานที่อันเงียบสงบเพื่อฟื้นฟูพลัง
หลังจากที่ผ่านไปสี่ชั่วโมง เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้น แก่นแท้พลังสีดำของเขากลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งแม้แต่แก่นแท้พลังสีน้ำเงินก็ฟื้นกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นเขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังยอดเขาในทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเจียงอี้ก็มาถึงยอดเขาในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
สำนักจิตอสูร!
ในวินาทีที่เจียงอี้มาถึง เขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
ยอดเขาด้านหน้าเต็มไปด้วยพื้นที่โล่งและกว้างใหญ่จนเขาสามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป มีลานและสิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ถัดไปอีกก็เป็นจัตุรัสกว้างที่มีประตูขนาดยักษ์ซึ่งทำจากหินและมีคำว่า ‘สำนักจิตอสูร’ ถูกสลักไว้อย่างงดงาม
มีผู้คนประมาณสามร้อยคนยืนอยู่บริเวณจัตุรัสพร้อมกับตัวแทนจากสำนักอีกสิบกว่าคน ในขณะที่เจียงอี้เดินเข้ามา สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปยังร่างของเขา
“บ้าจริง! เจ้าตัวอับโชคนี้ดันสามารถผ่านการชำระโลหิตเสียได้!” เจียงเฮิ่นซุ่ยและหลิ่วเหออ้าปากค้าง พวกเขาสามารถมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหดหู่ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
พวกเขาทั้งคู่มีลางสังหรณ์ว่า การมาถึงของเจียงอี้ในครั้งนี้จะทำให้สำนักจิตอสูรตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายในไม่ช้า