324 คุณต้องปลูกมันเอง
324 คุณต้องปลูกมันเอง
“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับ หมอหวัง” ทันทีที่เห็นหน้าของหวังเย้า ฟางเจิ้งหยวนก็เอาแต่ขอโทษเขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ได้สังเกตดูฟางอี่อย่างคร่าวๆไปด้วย และก็พบว่า เธอดูดีขึ้นมาก ผื่นแดงที่คอยังคงไม่หายไปไหน แต่ก็จางลงไปบ้างแล้ว
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” ฟางอี่ตอบกลับเสียงเบา
เธอไม่ได้หยุดกินยาของหวังเย้าเลย และเธอก็รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่า ตัวเองแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงอาการเวียนหัวและอยากอาเจียนก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน
“เชิญนั่งก่อนสิครับ ผมจะได้ตรวจดูให้ละเอียดขึ้น” หวังเย้าพูด
เขาจับไปที่ชีพจรของเธอ
ฟางอี่นั้นมีอาการที่ดีขึ้นจริง ยาสองตัวที่หวังเย้าให้เธอไปนั้นได้ผลค่อนข้างดี ซึ่งตัวหนึ่งเป็นยาที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและเสริมพละกำลัง ส่วนอีกตัว ก็เป็นยาที่ช่วยให้ร่างกายของเธอเย็นลงและมีหน้าที่ในการขับพิษ แล้วผื่นแดงบริเวณแขนของเธอก็ยังจางลงไปด้วย
“คุณยังต้องกินยาที่ผมให้ ต่อไปอีกนะครับ” หวังเย้าพูด
ฟางอี่ตกลง
“หมอหวังครับ ตอนนี้ลูกสาวของผมก็เรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของมอปลายแล้ว แต่เธอก็ต้องหยุดไปเพราะอาการป่วยของเธอ แล้วเธอก็อยากจะกลับไปเรียนที่โรงเรียนมาก คุณคิดว่ายังไงครับ? คุณคิดว่าตอนนี้ เธอแข็งแรงพอที่จะไปเรียนได้แล้วรึยังครับ?” ฟางเจิ้งหยวนถาม
เขาดีใจที่ลูกสาวของเขาเกิดแรงจูงใจที่อยากจะกลับไปเรียนหนังสือ แต่เขาก็กังวลว่า อาการป่วยที่เธอเป็นอยู่จะทำให้เธอทนรับแรงกดดันจากการเรียนไม่ไหว ทั้งเขาและภรรยานั้นอยากจะให้ลูกสาวของพวกเขาหยุดพักการเรียนไปก่อน จนกว่าเธอจะหายดี
เธอเรียนอยู่มอปลายปีสุดท้ายสินะ
หวังเย้าพอจะรู้แล้วว่าเขาควรจะต้องทำยังไง
เขาเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน ดังนั้น เขาจึงรู้ว่ามันทั้งเหนื่อยและกดดันมากแค่ไหน ทั้งความคาดหวังจากพ่อแม่ ความกดดันจากการที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย และอนาคตที่ไม่แน่นอน ได้ส่งผลต่อจิตใจของเหล่านักเรียนเป็นอย่างมาก ปีสุดท้ายของนักเรียนมอปลายนั้น เป็นช่วงเวลาที่กดดันที่สุด พวกเขาจำเป็นต้องมีความมั่นใจและสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อที่จะผ่านความกดดันเหล่านั้นไปให้ได้
หวังเย้านั้นไม่คิดว่า ฟางอี่แข็งแรงพอที่จะทนรับแรงกดดัน เพื่อให้ผ่านปีสุดท้ายของมัธยมปลายไปได้
“ถ้าดูจากสุขภาพของเธอในตอนนี้แล้ว ผมไม่คิดว่าการกลับไปเรียนหนังสือจะเป็นเรื่องที่ดีเลย เธอจะทนรับแรงกดดันจากการเรียนไม่ไหว โดยเฉพาะตอนนี้ ที่เธอเรียนอยู่มอปลายปีสุดท้ายด้วยแล้ว” หวังเย้าได้บอกความคิดของเขาออกไป เพราะถึงยังไง สุขภาพของฟางอี่ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดอยู่แล้ว
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ฟางอี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“เทอมแรกเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่กี่วัน เธอต้องพยายามรักษาตัวเองให้ดีขึ้นก่อน แล้วเราค่อยมาดูว่า หลังจากนั้นเธอจะกลับไปเรียนได้ไหม อย่างร้ายที่สุด เธอก็แค่ต้องกลับไปเรียนปีหน้าแทนก็เท่านั้น” หวังเย้าพูด
ฟางอี่ไม่ได้ตอบอะไร เพราะคำพูดของหวังเย้าไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมาเลย
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ หมอหวัง ยาที่คุณให้เราไปครั้งก่อน มันใกล้จะหมดแล้ว คุณพอจะช่วย...” ฟางเจิ้งหยวนพูด
“ผมจะทำยาเพิ่มให้นะครับ” หวังเย้าตอบกลับ
หลังจากที่หวังเย้าทำยาให้พวกเขาใหม่ ฟางเจิ้งหยวนก็ได้กลับไป
พวกเขาเดินทางมาอย่างรีบร้อน และกลับไปอย่างเร่งรีบ
เป็นครอบครับแบบไหนกัน! หวังเย้าส่ายหัว
“พ่อคะ หนูอยากจะกลับไปเรียน” เมื่อออกมาจากคลินิกแล้ว ฟางอี่ก็ได้พูดกับพ่อของเธอ
“ลูกก็ได้ยินที่หมอหวังพูดแล้วนี่ ลูกยังไม่แข็งแรงพอที่จะกลับไปเรียนได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอาการของลูกแย่ลงขึ้นมา?” ฟางเจิ้งหยวนถามอย่างกังวล
“แต่หนูไม่อยากจะเรียนช้าไปอีกปีหนึ่งนี่คะ” ฟางอี่พูด
เธอเป็นนักเรียนเรียนดีและติดหนึ่งในสิบอันดับของโรงเรียนอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้ไปเรียนมาครึ่งปีแล้ว เพราะอาการป่วยที่เธอเป็นอยู่
“พ่อช่วยถามหมอหวังให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าเขาพอจะมีวิธีไหน ที่จะทำให้อาการของหนูดีขึ้นได้เร็วๆบ้าง?” ฟางอี่ถาม
ฟางเจิ้งหยวนมองไปที่ลูกสาวของเขา และถอนหายใจออกมา จากนั้น เขาก็เลี้ยวรถกลับ
ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็เตรียมที่จะออกไปจากคลินิกและกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
เกิดอะไรขึ้นกัน?
“คุณกลับมาทำไมเหรอครับ?”
หวังเย้ารู้สึกงุนงง ที่เห็นฟางเจิ้งหยวนกลับมาที่คลินิก
“เอ่อ หมอหวังครับ คุณพอจะมีวิธีไหนบ้างไหมครับ ที่จะช่วยให้ลูกสาวของผมอาการดีขึ้นได้เร็วๆ?” ฟางเจิ้งหยวนถาม
“เธอยังอยากจะกลับไปเรียนอยู่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ ฉันไม่อยากจะเรียนช้าไปอีกปีหนึ่ง แล้วปีหน้า เพื่อนๆในชั้นเดียวกันก็จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยกันหมด ในขณะที่ฉันยังต้องเรียนที่โรงเรียนคนเดียว มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันทรมานมากเลยค่ะ” ฟางอี่พูด
เธอยังดูเด็กมาก และแววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความหวัง
“ขอผมคิดดูก่อนนะ” หวังเย้าพูด
เขาสามารถทำให้ฟางอี่หายเร็วขึ้นได้ก็จริง แต่มันมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก
เขาสามารถใช้สมุนไพรรากรักษาเธอได้ เพราะด้วยคุณสมบัติของสมุนไพรรากนั้น ดีกว่าสมุนไพรทั่วไปอยู่มาก แต่เขาก็มีคะแนนไม่มากพอที่จะใช้แลกกับสมุนไพรรากได้อีก เพราะเขาได้ใช้คะแนนไปกับยาฟื้นฟูกล้ามเนื้อและยาผงละลายลิ่มเลือดจนหมดแล้ว สิ่งที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ เขาสามารถหาสมุนไพรป่าในจำนวนที่มากพอๆกับที่เฉินปัวหยวนหามาให้ได้ เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับคะแนน
“คุณได้ใช้จ่ายเป็นค่ารักษาอาการป่วยของเธอ ไปมากแล้วใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ หมอหวัง แต่เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของเราเลยนะครับ” ฟางเจิ้งหยวนพูด และเข้าใจความหมายของหวังเย้าดี
“เอาล่ะ ให้คุณกินยาที่ผมให้ไปวันนี้ให้หมดก่อน แล้วผมก็ขอเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ฟางเจิ้งหยวนพูด
ฟางอี่ถอนหายใจออกมา ในตอนที่เธอกำลังเดินออกไปจากคลินิก
เธอเบื่อที่จะอยู่แต่บ้านเต็มทนแล้ว เธออยากจะกลับไปโรงเรียน เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับเพื่อนๆของเธอ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เธออยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด
“ระบบ พอจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนที่ต้องการสมุนไพรรากจริงๆได้ไหม?” หวังเย้าพูด
‘คุณต้องปลูกสมุนไพรรากเอง’
“เชี่ย!” หวังเย้าที่นานๆทีจะสบถออกมา
ระบบไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
เฮ้อ ฉันคงต้องปลูกสมุนไพรรากเองจริงๆ!
ในตอนนี้ เขาได้ปลดล็อคสมุนไพรรากระดับต่ำได้แล้วทั้งหมด 36 ชนิด แต่เมล็ดของสมุนไพรรากก็ยังจำเป็นต้องใช้คะแนนเพื่อแลกซื้ออยู่ดี คะแนนที่มีก็ไม่ต่างจากเงินเลย
เขาคงต้องค่อยๆสะสมคะแนน จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเขา นี่คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้
...
เวลาเริ่มเย็นลงแล้ว ได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองเหลียนชาน
ได้เกิดสงครามเย็นขึ้นระหว่างสองสามีภรรยา เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว
เฉินเหว่ยนั้นรู้สึกกังวลใจมาก ด้วยวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่เขากลับต้องกดดันด้วยเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาได้กินยาที่หวังเย้าให้มาสองครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผล
บางที ฉันควรจะไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด เฉินเหว่ยคิด
เขาเคยไปรักษาในโรงพยาบาลที่เมืองเต๋าและเมืองเหว่ยมาแล้ว แต่ก็ไม่มีหมอคนไหนสามารถรักษาเขาได้
ปัง! เป็นภรรยาของเขาที่กำลังปิดประตู
เขารู้สึกเศร้าใจ
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง อย่างไร้จุดหมาย สุดท้าย เขาก็ยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรหาเพื่อนของเขา
“จวิน นายทำงานอยู่รึเปล่า? ถ้าไม่ได้ทำ เราออกไปหาอะไรดื่มกันเถอะ” เฉินเหว่ยพูด
ทั้งสองได้ไปที่ร้านขายบาร์บีคิวแห่งหนึ่ง
ภายในเวลา 10 นาที เฉินเหว่ยได้ดื่มเบียร์หมดไปแล้วถึงสามขวด
“เกิดอะไรขึ้น?” พันจวินถาม
“ก็เรื่องเดิมนั่นแหละ ดื่ม!” เฉินเหว่ยพูด
ฟุบ! เฉินเหว่ยเปิดขวดเบียร์อีกขวด
“ไม่ใช่ว่าหมอหวังได้ให้ยานายมากินหรอกเหรอ?” พันจวินถาม
“ใช่ ฉันกินไปสองครั้งแล้ว แต่มันก็ยังไม่ได้ผล” เฉินเหว่ยตอบ
อึก! อึก! เฉินเหว่ยดื่มเบียร์เข้าไปอีกขวด
“หยุดดื้มได้แล้ว!” พันจวินคว้าขวดเบียร์มาจากมือของเฉินเหว่ย
“นายยังกินไม่ครบทั้งชุดเลย แล้วนายรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ได้ผล? แล้วนายก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มในระหว่างที่กำลังรักษาตัวอยู่ด้วย ฉันเดาว่านายคงไม่ได้ทำตามที่หมอหวังบอกว่า ไม่ให้ดื่มแอลกอฮอลทุกชนิดเลยล่ะสิ” พันจวินพูด
เอิ้ก!
เฉินเหว่ยเรอออกมา และพูดไม่ออก
พันจวินพูดถูกที่ว่า ช่วงหลังมานี้เขาดื่มเยอะมาก และไม่ใช่แค่ดื่มเมื่ออกมาข้างนอกเท่านั้น แต่เขายังดื่มตอนที่อยู่บ้านด้วย เพราะภรรยาของเขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาอยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะดื่มหนัก
“ถ้านายยังคิดว่าฉันเป็นเพื่อนอยู่ นายก็ควรจะฟังฉัน เลิกดื่มซะ แล้วกินยาที่ได้มาให้หมด ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ เราก็ค่อยมาคิดหาทางรักษาใหม่ แต่ฉันขอบอกนายไว้ก่อนเลยนะ ว่าหมอหวังเป็นหมอที่เก่งมาก และเขาก็ไม่ใช่จะรักษาใครง่ายๆด้วย” พันจวินพูด
เฉินเหว่ยจ้องเบียร์ที่เหลืออยู่ครึ่งขวด
...
ดี!
หวังเย้าที่อยู่ภายในคลินิก กำลังมองไปที่หน้าจอของระบบ
เก้าวัน เขาเหลือเวลาอีกแค่เก้าวันเท่านั้น ภารกิจ “กระจายชื่อเสียง” ไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว
แต่มันมีปัญหาอยู่!
ก่อนหน้านี้ หวังเย้าจะรับเฉพาะคนไข้ที่เพื่อนๆของเขาแนะนำมาเท่านั้น แต่ฟางอี่นั้นไม่ใช่ และในอนาคต เขาก็อาจจะต้องได้รับคนไข้ในจำนวนที่มากกว่าความต้องการของเขา
ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า
มันเป็นเช้าวันใหม่ที่สดใส
หวังเย้ากำลังจะทำการต้มยาผงละลายลิ่มเลือด เขาจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของตัวยา เพราะเขาต้องมอบให้กับทั้งโจวหวูคังและพ่อตาของเฉินปัวหยวน
ในขณะเดียวกัน การสร้างถนนจากตัวเมืองออกมายังหมู่บ้านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ถนนจะถูกขยายให้กว้างมากขึ้น ดังนั้น ถนนที่แคบอยู่แล้ว จึงแคบขึ้นไปอีก
“สร้างถนนเหรอครับ?” หวังเย้าได้ยินเรื่องนี้จากจางซิวหยิง ในระหว่างที่กำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่
“ใช่จ๊ะ พวกเขาได้เริ่มสร้างถนน ที่จะใช้สำหรับเดินทางไปน้ำพุร้อนที่อยู่หลังหมู่บ้านเราแล้วล่ะ” จางซิวหยิงพูด
“ถ้าขยายถนนให้กว้างขึ้นแล้ว ก็คงจะดีมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
หากมองในระยะยาวแล้ว มันถือเป็นเรื่องที่ดี การมีถนนที่กว้างขึ้นจะช่วยทำให้การจราจรติดขัดน้อยลง และทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนของชาวบ้านง่ายขึ้นด้วย แล้วมันก็ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นด้วย
“แต่ตอนนี้มันไม่ดีน่ะสิ เวลาจะออกไปไหนแต่ละทีก็ลำบาก” จางซิวหยิงไม่ได้มองไกลออกไปถึงเรื่องในอนาคต การสร้างถนนได้สร้างความลำบากให้กับเธอ ในเวลาที่เธอต้องเดินทางออกจากบ้านในตอนเช้า
หวังเย้าหัวเราะออกมา
หลังจากจบมื้อกลางวัน หวังเย้าก็ได้เดินทางไปเยี่ยมหลี่เม่าชวง ที่ในตัวเมืองเหลียนชาน
“สมนุไพรป่าเหรอ? สมุนไพรที่นายขอมันเยอะมากเลยนะ” หลี่เม่าชวงพูด
เขารู้สึกประหลาดใจมาก ที่ได้เห็นจำนวนรายการของสมุนไพรป่าที่หวังเย้าต้องการ
“ใช่ พี่ช่วยหาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้สิ ฉันจะรีบหามาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” หลี่เม่าชวงพูด