บทที่ 74 เจ็ดตระกูลใหญ่
“เปี๊ยะ!”
เมื่อเจียงอี้เห็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้และตบไปที่ก้อนไขมันบนศีรษะของอีกฝ่ายก่อนที่จะกล่าว
“บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้ อย่าได้เอ่ยเรื่องไร้สาระ!”
เจียงอี้ไม่ใช่คนโง่ที่จะหลงวาจาเมื่อได้รับการยกย่องจากผู้อื่น กลิ่นอายสังหาร? เขาสังหารศัตรูมามากก็จริง แต่มีจอมยุทธที่แข็งแกร่งคนใดบ้างที่ไม่สังหารผู้อื่น?
เจ้าอ้วนที่ดูคล้ายกับก้อนไขมันคนนี้ ดูภายนอกแล้วไร้พิษสงและดูน่าเชื่อถือแต่ความจริงแล้วนี่คือสาเหตุหลังที่คนส่วนใหญ่หลงกลเขา
แม้ว่าจะโดนเจียงอี้ตบหัว แต่เฉียนว่านก้วนก็ไม่มีโทสะแต่อย่างใด เขาหัวเราะด้วยความเขินอายและกล่าว “พี่ใหญ่ช่างเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ข้าไม่สามารถเก็บซ่อนสิ่งใดจากท่านได้เลย เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นมังกรในหมู่มนุษย์…”
“เปี๊ยะ!”
เจียงอี้ตบไปที่หัวของเจ้าอ้วนอีกรอบและกล่าวอย่างหมดความอดทน “หากเจ้าพ่นเรื่องไร้สาระออกมาอีก ข้าจะจากไปทันที!”
“ไม่ ไม่ พี่ใหญ่ฟังข้าก่อน!”
เฉียนว่านก้วนรีบเปลี่ยนท่าทีก่อนที่จะเอ่ยกับเจียงอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าอยู่ด้วยในตอนที่ท่านกับเจียงฉีหลินมีปัญหากัน ข้าซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นพอดีแม้แต่ท่านและจ้านอู๋ซวงก็ไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของข้าได้!”
“หึ่ม!”
เจียงอี้เพียงแค่เค้นเสียงในลำคอจากนั้นเขาก็เอ่ยถาม “ทำไมเจ้าถึงขอให้ข้าจัดการเจียงฉีหลิน? พวกเจ้าทั้งคู่มีความแค้นต่อกัน?”
เฉียนว่านก้วนหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด “เจียงฉีหลินมันชั่วช้าเกินไป! ขาทั้งสองข้างของมันถูกจ้านอู๋ซวงหักในวันนั้น ทำให้มันไม่สามารถออกไล่ล่าป้ายสัญลักษณ์ได้ มันจึงสั่งให้คนของมันร่วมมือกับคนของตระกูลจ่างซุนเพื่อปล้นชิงป้ายสัญลักษณ์จากทุกคนซึ่งไม่เว้นแม้แต่คนจากตระกูลเดียวกันกับข้า! คนของตระกูลข้านับสิบถูกพวกมันทำร้ายเมื่อเช้านี้ มันคือสาเหตุที่ทำให้พวกเราโกรธแค้นและร่วมมือกันจัดการพวกมัน”
“ตระกูลของพวกเจ้า? พวกเจ้ามาจากตระกูลไหนกัน? แล้วพวกเจ้าไม่กลัวตระกูลเจียงจะกลับมาแก้แค้นภายหลัง?” เจียงอี้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
“มีอะไรต้องกลัว? ตราบเท่าที่จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยตัวเอง พวกมันจะทำอะไรพวกข้าได้?”
เฉียนว่านก้วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “หากไม่นับราชวงศ์ อาณาจักรเสินหวู่มีตระกูลใหญ่อยู่ด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดตระกูล อันดับหนึ่งตระกูลจ่างซุน, อันดับสองตระกูลเจียง, อันดับสามตระกูลจ้าน, อันดับสี่ตระกูลของข้า ตระกูลเฉียน, ตามมาด้วยตระกูลหลง, ตระกูลไท่สื่อและสุดท้ายก็คือตระกูลอิง”
“เหล่าเบื้องบนของตระกูลจะไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องของรุ่นเยาว์ตราบเท่าที่ไม่มีการฆ่าฟันอย่างโจ่งแจ้งเกิดขึ้น อีกทั้งพวกเราอาจจะได้รับรางวัลหากสามารถเอาชนะตระกูลอื่นได้”
“อย่างนี้นี่เอง…”
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจ : เหล่าตระกูลใหญ่ของอาณาจักรเสินหวู่มีความคล้ายคลึงกับตระกูลต่างๆที่อยู่ในเมืองเทียนอวี่ รุ่นเยาว์สามารถกระทบกระทั่งกันได้ทุกรูปแบบ ยกเว้นเพียงแค่การเข่นฆ่า แต่เจียงอี้ก็ยังคงเกิดความสงสัย ทำไมตระกูลเจียงถึงเป็นเพียงแค่อันดับสองทั้งๆที่จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก, เจียงเปี๋ยหลี คือผู้ที่ถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร
“ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่จะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับอาณาจักรเสินหวู่ของเรามากนัก”
เมื่อเจ้าอ้วนเห็นท่าทีของเจียงอี้ เขาก็อธิบายต่ออย่างใจเย็น “การที่ตระกูลจ่างซุนถือครองอำนาจมากที่สุด ก็เป็นเพราะว่าจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันนั้นมาจากตระกูลจ่างซุนนั่นเอง นอกจากนี้องค์จักรพรรดิยังไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในทางการเมืองมากนักดังนั้นตระกูลจ่างซุนจึงกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปโดยปริยาย”
“ที่ตระกูลเจียงยังคงรั้งอยู่ในอันดับสองได้เป็นเพราะการคงอยู่ของตัวตนอันยิ่งใหญ่อย่างเจียงเปี๋ยหลี ส่วนตระกูลจ้านที่เป็นอันดับสามนั้น พวกเขาคือตระกูลเทพสงครามที่อยู่มานานมากกว่าหมื่นปี!”
“ฮิฮิ สำหรับพวกเราตระกูลเฉียน… ครึ่งหนึ่งของสมาคมการค้าทั้งหมดของอาณาจักรเสินหวู่เป็นของพวกเรา ทางด้านของตระกูลหลงและตระกูลไท่สื่อ พวกเขาคือตัวแทนทางการทหาร ในขณะที่ตระกูลอิงคือเจ้าแห่งโลกใต้ดินและยังเป็นตระกูลนักฆ่า”
“อย่าคิดว่าที่นี่มีคนไม่มาก… มันคือการต่อสู้ระหว่างตระกูลจ่างซุนและตระกูลเจียงกับอีกสี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือ ยกเว้นเพียงตระกูลจ้านที่วางตัวเป็นกลาง ถ้าหากตระกูลจ้านยอมเข้าร่วมกับพวกเรา ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะสามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น”
“โอ้!”
เจียงอี้สามารถมองเห็นภาพรวมได้แล้วในตอนนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่การขัดแย้งธรรมดาๆเท่านั้น แต่มันคือการต่อสู้ของเหล่ารุ่นเยาว์ที่มาจากตระกูลชั้นนำแห่งอาณาจักร หากเขายื่นมือเข้าไปยุ่ง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความโกรธแค้นให้กับตระกูลจ่างซุนและตระกูลเจียง
แต่หากเจียงอี้ไม่รับข้อเสนอ ด้วยเวลาที่เหลืออีกเพียงครึ่งวัน เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถตามหาป้ายสัญลักษณ์สีทองที่เหลืออีกหนึ่งชิ้นได้
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กังวล… นี่สำหรับท่าน รับไปสิ!”
ราวกับว่าเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนสามารถอ่านใจเจียงอี้ได้ เขาหยิบหน้ากากขึ้นมาและมอบให้กับอีกฝ่าย “นี่คือหน้ากากมนุษย์ซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถจดจำท่านได้ นอกจากนี้หลังจากที่ท่านสามารถกลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรได้แล้วก็ยังมีกฎที่ห้ามต่อสู้กันเอง อีกอย่างด้วยความแข็งแกร่งของท่าน มีหรือที่เจียงฉีหลินจะกล้าทำอะไรโดยไม่คิด? หากท่านช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้ เมื่ออยู่ในสำนักจิตอสูร พวกเราก็จะช่วยเหลือท่านเช่นกัน”
เจียงอี้รับหน้ากากมา เขาครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนจนในที่สุดเขาก็กัดฟันและสวมหน้ากากไว้ที่หน้าของเขาก่อนที่จะเอ่ย “ส่งป้ายสัญลักษณ์มาให้ข้าก่อน”
เฉียนว่านก้วนมอบป้ายให้กับเขาโดยไม่ลังเลและยังบอกให้เขาโจมตีเพียงแค่คนที่ไม่มีริบบิ้นสีแดงอยู่บนแขนเสื้อเท่านั้น
หลังจากที่เจียงอี้วิ่งเข้าสู่สนามรบ เฉียนว่านก้วนก็ส่งสัญญาณไปด้านหลัง จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
“ไปแจ้งคนอื่นๆว่าชายที่สวมหน้ากากเป็นพันธมิตรของเรา อย่าทำร้ายเขาโดยเด็ดขาด”
“แล้วก็จงไปบอกกับจ้านอู๋ซวง… ชายคนนี้คือผู้ที่ช่วยชีวิตน้องสาวเขาไว้ ขอให้เขาทำในสิ่งที่เห็นสมควร”
“นี่มัน…”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นจ้องมองไปที่จ้านอู๋ซวงซึ่งอยู่ไกลออกไปและเอ่ยถาม “ตระกูลจ้านอยู่เป็นกลางเสมอ จ้านอู๋ซวงจะยอมเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆขอรับ?”
“เจ้าโง่!”
เฉียนว่านก้วนกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าข้ายอมเสียป้ายสัญลักษณ์สีทองเพียงเพื่อพึ่งพาชายคนนั้นจริงๆ? เจ้าคิดว่าเขาจะช่วยให้เราได้รับชัยชนะ? ทั้งหมดนี้เป็นแผนที่จะให้จ้านอู๋ซวงเข้าร่วมกับพวกเราเท่านั้น! ตราบเท่าที่เขายอมลงมือ พวกเราก็มีโอกาสที่จะดึงตระกูลจ้านเข้ามาสู่การต่อสู้อันยุ่งเหยิง เมื่อรวมพลังของทั้งห้าตระกูลใหญ่เข้าด้วยกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะตระกูลจ่างซุนและตระกูลเจียงได้อย่างขาดลอย”
………
การต่อสู้ยังคงเข้มข้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความเสียหาย มีหลายคนนอนสลบอยู่บนพื้นและผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังเป็นถึงจอมยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ด มีแม้แต่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หนึ่งอยู่สองคน แต่พวกเขากำลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้ดังนั้นคนที่เหลือจึงไม่ได้กังวลมากนัก
เนื่องจากเฉียนว่านก้วนได้แจ้งเตือนไว้แล้ว ทำให้ไม่มีใครโจมตีเจียงอี้ ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยระดับพลังเพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าทำให้มีหลายคนคร้านที่จะให้ความสนใจเขา
“จัดการเพียงแค่สิบคน?”
เจียงอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็น ยิ่งการต่อสู้วุ่นวายเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเขามากเท่านั้น เขาแฝงตัวเข้าไปอย่างลับๆและมองเห็นจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดสองคนกำลังถูกรั้งอยู่ในการต่อสู้ เจียงอี้พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่ดวงตาและเพ่งเล็งไปที่หนึ่งในนั้น
หมัดมายาถูกปล่อยออกไปถึงสามหมัด คนจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่มีริบบิ้นสีแดงอยู่บนแขนเสื้อดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะแยกพวกเขาออกจากศัตรู เพราะเหตุนี้เจียงอี้จึงไม่กังวลที่จะเผลอไปทำร้ายพวกเดียวกัน
“ไสหัวไป!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้โจมตีเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเนื่องจากระดับพลังของเจียงอี้ด้อยกว่าเขามาก เขาคำรามและปล่อยฝ่ามือสวนกลับไป เดิมทีชายคนนี้คิดว่ามันคงเพียงพอที่จะจัดการกับกำปั้นของเจียงอี้ได้แล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเจียงอี้ได้เปลี่ยนหมัดของเขาให้กลายเป็นฝ่ามือม้วนอาภรณ์อย่างฉับพลันและเข้ารัดแขนของอีกฝ่ายราวกับงู
ปังง!
เมื่อพันธมิตรมองเห็นโอกาส เขาก็เพิ่มการโจมตีและทำให้คู่ต่อสู้ของเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“เสร็จไปหนึ่ง! คนต่อไป!”
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว เจียงอี้ก็หาเป้าหมายต่อไป เขาอาศัยความเร็วในการประสานงานกับพันธมิตรและใช้แก่นแท้พลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการจัดการกับฝ่ายตรงข้าม
เพียงเวลาสั้นๆแค่สามสิบนาที ลูกสมุนของเจียงฉีหลินเจ็ดคนก็ถูกจัดการเนื่องจากการแทรกแซงของเจียงอี้
“หืม? เจ้าเด็กนี่ร้ายกาจไม่เบา เขาเก็บซ่อนพลังได้แนบเนียนจริงๆ”
ความสามารถที่เจียงอี้แสดงออกมาได้สร้างความประหลาดใจให้กับเฉียนว่านก้วนไม่น้อย เดิมทีเจ้าอ้วนผู้นี้ไม่ได้ต้องการพึ่งพาพลังของเจียงอี้ เขาเพียงแค่ใช้อีกฝ่ายในการดึงจ้านอู๋ซวงให้มาเข้าร่วมการต่อสู้เท่านั้น
“เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?!”
เจียงอี้ที่โผล่ออกมาในฐานะกำลังเสริม เขาประสบความสำเร็จในการดึงดูดจอมยุทธที่แข็งแกร่งจากฝั่งของเจียงฉีหลิน จอมยุทธผู้หนึ่งที่อยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าซึ่งได้รับบาดเจ็บรีบพุ่งเข้าหาเจียงอี้และปล่อยฝ่ายมือที่เป็นเงาคลื่นโจมตีใส่เขาในทันที!