บทที่ 71 เจ้าโจรน้อย
ไม่ว่าจ้านอู๋ซวงและหญิงสาวผู้นั้นจะพูดถึงเขายังไง? เจียงฉีหลินจะต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ที่แห่งนี้ไหม? ทั้งหมดนี้เจียงอี้ไม่ได้นำมาใส่ใจแม้แต่น้อย
เจียงอี้ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แทนที่จะไล่ตามอดีต ทำไมถึงไม่มุ่งหน้าสู่อนาคต? นี่คือหลักการใช้ชีวิตที่เจียงหยุนไฮ่สอนเขาและยังเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นมาตลอด
เจียงอี้ยังคงมุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางของยอดเขาสูงในขณะที่สังหารสัตว์อสูรไปตลอดทาง ผ่านไปแปดชั่วโมง เขาพบสัตว์อสูรเพียงห้าตัวเท่านั้นและหนึ่งในนั้นยังหนีไปได้ เขาได้พบซากสัตว์อสูรนับสิบ แต่น่าเสียดายที่ป้ายสัญลักษณ์ของพวกมันถูกชิงไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เจียงอี้รู้สึกผิดหวังมากที่สุดคือจำนวนป้ายสัญลักษณ์ทั้งสิบสองที่เขามีอยู่ ห้าชิ้นในพวกมันเป็นสีดำ
กฎของเทศกาลชำระโลหิตคือต้องได้รับป้ายสัญลักษณ์สามอันที่มีสีแตกต่างกันเก้าสี เจียงอี้คาดเดาว่าต้องมีหนึ่งหรือสองสีของป้ายสัญลักษณ์ที่หาได้ยาก ไม่เช่นนั้นการชำระโลหิตจะไม่ท้าทายเลย
เมื่อความมืดเริ่มปกคลุมท้องฟ้า เจียงอี้ก็ยังไม่คิดที่จะหาที่พัก เขาจะต้องกลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรให้ได้เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือเจียงเสี่ยวนู๋ ในกรณีที่ไม่มีทางเลือกจริงๆเขาก็อาจจะจำเป็นต้องปล้นชิงหากว่ามันจำเป็น
ในขณะที่สำรวจพื้นที่ใกล้เคียงอีกสองชั่วโมง เจียงอี้ก็สังหารสัตว์อสูรได้อีกหนึ่งตัว ฟ้ามืดแล้วและเห็นได้ชัดว่ามีคนมามากขึ้น สัตว์อสูรส่วนมากที่อยู่บนตีนเขาถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว
“ข้าคงต้องค้างคืนที่นี่แล้ว…”
เจียงอี้เห็นป่าขนาดเล็กตรงหน้า มันไม่ได้มีขนาดใหญ่นักและล้อมรอบไปด้วยที่ราบซึ่งทำให้เขามองเห็นสัตว์อสูรได้โดยง่าย เขาสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์อสูรจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดและเริ่มเข้าสู่ห้วงสมาธิ
เขาใช้แก่นแท้พลังสีดำไปถึงแปดเส้นและยังปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ไปหนึ่งครั้งทำให้เจียงอี้ต้องรีบเติมพลังอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉิน
การใช้เม็ดยาระดับพิภพ เจียงอี้ได้ใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดยาก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะพลังซึ่งช่วยให้ความเร็วของการบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้นมาก จากคำกล่าวของเจียงหยุนไฮ่ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้สามารถเทียบได้กับอัจฉริยะสิบอันดับแรกที่อยู่ในทำเนียบนภา
ไม่นานนักเจียงอี้ก็ฟื้นฟูแก่นแท้พลังสีดำจนกลับมาครบทั้งสิบเส้นแล้ว ในเวลานั้นท้องของเขาก็ร้องออกมาเพราะความหิว แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอดทนและเริ่มบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีน้ำเงินด้วยวรยุทธวารีตระกูลเจียงต่อไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมาเจียงอี้ก็หยุดแต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาหิวจนทนไม่ไหว แต่เป็นเพราะเขาได้ยินเสียงบางอย่างใกล้เข้ามา
เจียงอี้สามารถเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เมื่อรับรู้แล้วว่าผู้ที่มาไม่ใช่สัตว์อสูรเขาก็รู้สึกโล่งใจ ผู้มาใหม่นั้นเป็นชายและหญิงเจ็ดคน เจียงอี้ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะมีเพียงหญิงสาวที่บรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดในขณะที่คนอื่นเป็นเพียงจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกหรือเจ็ดเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่อาจคุกคามเขาได้เลย
“คุณหนู มีป่าเล็กๆอยู่ทางนั้น พวกเราไปตั้งค่ายพักแถวนั้นดีไหมเจ้าคะ?”
“ใช่แล้วคุณหนู คืนนี้พวกเราคงหาถ้ำไม่ได้แล้ว พวกเราค้างที่นี่กันเถอะ!”
“ก็ได้ งั้นพวกเจ้าก็ต้องจัดเวรกันออกลาดตระเวนด้วย”
การสนทนาเหล่านี้ทำให้เจียงอี้ถึงกับขมวดคิ้ว เขาเป็นคนพบสถานที่นี้เป็นคนแรก หากคนพวกนี้รู้ว่าเขาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันจะขับไล่เขาออกไป
แต่ดูเหมือนว่าเจียงอี้ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนี้มากเกินไป คนกลุ่มนี้ผ่านคืนวันอันแสนยากลำบากและรู้สึกเหนื่อยล้า เวรยามทั้งสามคนออกลาดตระเวนแค่สองสามรอบอย่างลวกๆและไม่ได้มองขึ้นมาบนต้นไม้ จากนั้นพวกเขาก็เดินกลับไป
เจียงอี้จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังตั้งค่ายอยู่ห่างจากต้นไม้ที่เขาอยู่ไปไม่ไกล เมื่อมีคนพวกนี้อยู่เขาก็สามารถนอนได้อย่างสบายใจเพราะว่ามีคนคอยเฝ้ายามให้
เขาหยิบน้ำและอาหารบางส่วนออกมาเพื่อเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่า เจียงอี้หันไปมองดวงจันทร์สลับกับกลุ่มคนที่กำลังตั้งค่ายพักแรม พวกเขาใช้เครื่องมืออันเรียบง่ายในการสร้างที่พักสองหลังสำหรับคุณหนูทั้งสองของพวกเขา
หญิงสาวผู้นี้ค่อนข้างที่จะงดงามแต่น่าเสียดายที่นางดูเหลาะแหละไปบ้าง
เจียงอี้อยู่บนต้นไม้ที่สูงหลายเมตรซึ่งทำให้สามารถมองเห็นเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน คุณหนูคนนั้นค่อนข้างเก่งและยังแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม นางเป็นจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดและดูแล้วจะมีอายุใกล้เคียงกับเจียงอี้ นางยังมีรูปร่างที่เย้ายวนแม้แต่เจียงอี้เองก็ถูกดวงตาของนางดึงดูดความสนใจอยู่ไม่น้อย
คลื้น! คลื้น!
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มทั้งสองก็เดินออกจากค่ายและมุ่งหน้ามาทางที่เจียงอี้อยู่ ร่างของเจียงอี้ย่อลงอย่างฉลับพลันเพราะคิดว่าถูกอีกฝ่ายพบตัวเข้าให้แล้ว
“คุณหนู ตรงนี้แหละเจ้าค่ะ! พวกเขามองไม่เห็นเราแน่ๆ!”
“ก็ได้… สี่เอ๋อร์ คอยระวังให้ข้าด้วย”
เจียงอี้ถอนหายใจออกมาเมื่อชายหนุ่มสองคนนั้นอยู่ห่างจากเขาประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร เขายังคงกัดเนื้อในมือขณะที่อยากรู้ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร
แต่แล้วฉากต่อไปก็ทำให้เจียงอี้เกือบจะกัดลิ้นตัวเอง สาวน้อยผู้นั้นหลบไปอยู่หลังพุ่มไม้และปลดอาภรณ์ของนางออกเพื่อที่จะเตรียมสำหรับการฉี่? เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยผู้นี้กลัวชายหนุ่มในค่ายเห็น นางหันหน้าไปอีกทิศในขณะที่หันก้นมาทางเจียงอี้!
สาวน้อยยกเสื้อคลุมของนางขึ้นและเผยให้เห็นแก้มก้นอันขาวเนียน เจียงอี้สามารถได้ยินเสียง 'สาดกระเซ็น' ได้อย่างชัดเจน ด้วยระดับการบ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าทำให้ความสามารถให้การมองเห็นของเขาอยู่เหนือคนธรรมดา เขาสามารถมองเห็นสายน้ำสีขาวที่ไหลออกมาจากจุดลับนั้นได้!
จ๊อกกกก!
เจียงอี้อายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น เขายังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกระหว่างชายหญิงมาก่อน เขายังคงอ่อนประสบการณ์และไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเพศหญิงมากนัก แล้วแบบนี้เขาจะทนต่อภาพตรงหน้าได้เยี่ยงไร?
แก้มของเจียงอี้กลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย ร่างของเขาค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเจียงอี้น้อยที่อยู่ตรงหว่างขากำลังจะผงาดขึ้นมา
เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่แอบมองหญิงสาวเช่นนี้ แต่บั้นท้ายและก้นของนางก็เปรียบเสมือนแม่เหล็ก เจียงอี้พยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถละสายตาจากนางได้ เมื่อสาวน้อยผู้นั้นปล่อยจนสุดแล้วนางก็สะบัดก้นโดยไม่รู้ตัว ฉากนี้ทำให้อาหารที่อยู่ในปากของเจียงอี้ร่วงลงมา
“ใครอยู่ตรงนั้น?!”
หญิงสาวตื่นตระหนกนางรีบดึงเสื้อคลุมขึ้นด้วยความเร็วและเพ่งมองไปยังทิศที่เจียงอี้อยู่ จนสุดท้ายแล้วนางก็มองเห็นเขาที่อยู่หลังพุ่มไม้
“ไอ้โจรถ้ำมอง! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างน่ากลัว ดวงตาของนางเผยให้เห็นจิตสังหารอันเข้มข้น พริบตาเดียวนางก็คว้าดาบและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ในทันที
ชิบหายแล้ว!
เจียงอี้ตื่นตระหนก เขารีบคว้ากระเป๋าที่อยู่ข้างกายและลงจากต้นไม้ก่อนที่จะวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ฟับบ!
คนที่เหลือต่างก็ได้ยินเสียง พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาและเริ่มไล่ล่าเจียงอี้เช่นเดียวกัน สาวน้อยผู้นั้นเป็นถึงจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดซึ่งเร็วกว่าเจียงอี้มากและเกือบจะไล่ทันเขาแล้ว
“แก่นแท้พลังสีดำ!”
เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเอง เจียงอี้ก็รีบหมุนเวียนแก่นแท้พลังสีดำไปยังขาทั้งสองข้าซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วให้กับเขาอย่างมาก
ความจริงแล้วเจียงอี้ไม่ได้กลัวคนเหล่านี้ แต่เขาแค่รู้สึกละอายใจ! เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะถ้ำมอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาข้อแก้ตัวดีๆได้ แม้แต่ตัวของเจียงอี้เองก็ยังรู้สึกว่าการกระทำของเขาช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!
เมื่อหญิงสาวเห็นเจียงอี้ที่สามารถเพิ่มความเร็วให้กับตนเองจนออกห่างไปเรื่อยๆ นางก็กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจก่อนที่จะเอ่ย “เจ้าโจรน้อย ข้าจำใบหน้าของเจ้าได้แล้ว มันจะดีกว่าหากเจ้าไม่มาให้ข้าเห็นหน้าอีกมิฉะนั้นข้า,เยว่เหม่ยเอ๋อร์ จะขอถลกหนังเจ้าทั้งเป็น!”
ฝู่! ฝู่!
เจียงอี้ใช้แก่นแท้พลังสีดำถึงแปดเส้นตลอดเส้นทางหนีและทิ้งห่างจากคนเหล่านั้นหลายร้อยเมตร หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เขาก็หยุดพักหายใจ หัวของเจียงอี้เปียกโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความอึดอัด
ก่อนที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักจิตอสูรเขาได้ยั่วยุผู้คนไปสองกลุ่มแล้ว ดูเหมือนว่ามันคงจะกลายเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในอนาคต…