บทที่ 70 ตระกูลเทพสงคราม
“จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก!”
เจียงอี้ตื่นตกใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่านายน้อยที่ดูไม่เอาไหนผู้นี้จะมีสถานะที่สูงส่งถึงเพียงนี้!
จีทิงยวี่เคยเตือนเขาไว้ว่าเทศกาลชำระโลหิตในปีนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากที่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ แต่เจียงอี้ก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะโชคร้ายถึงขนาดที่ต้องมาผิดใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับจอมพลในตำนานผู้นั้นรวดเร็วถึงขนาดนี้
จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเสินหวู่ซึ่งเป็นรองเพียงแค่องค์จักรพรรดิเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกองทัพทหารตะวันตกเป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในอาณาจักรนอกเหนือจากเหล่าราชวงศ์!
อะไรคือผลที่ตามมาหากยั่วยุตระกูลของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก? เรื่องนี้แม้แต่เจียงอี้ก็ไม่อาจที่จะจินตนาการได้!
แต่ในเมื่อเขาขึ้นมาอยู่บนหลังเสือแล้วก็ไม่อาจที่จะหยุดกลางคัน เขาไม่ได้สนใจถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอีกต่อไปและพุ่งเข้าหาเจียงฉีหลินในทันที
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด!
“หลินเอ๋อร์!”
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามก็ก้องออกมาจากทางทิศตะวันออก ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลงเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกและอันตราย หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อมองเห็นร่างเงาที่โผล่ออกมาอีกด้านหนึ่งของป่า
ผู้ที่มาถึงเป็นชายหนุ่มในร่างยักษ์ เขามีความสูงอย่างน้อยสองเมตรและยังสวมชุดเกราะสีดำซึ่งทำให้เขาดูดุดันยิ่งขึ้น
ชายผู้นี้วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่ากลัวพร้อมทั้งจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่เต็มดวงตา แรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมาทำให้ทำให้ผู้คนรอบด้านถึงกับหายใจไม่ออก มันราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นนักรบโดยธรรามชาติ
ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรก! หืม? แต่ข้าไม่เห็นเขาโคจรแก่นแท้พลังใดๆ
เจียงอี้จ้องมองและตัดสินความแข็งแกร่งของชายผู้นี้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยก็คือบุคคลนี้ไม่ได้ปลดปล่อยแก่นแท้พลังออกมาราวกับว่าเขาพึ่งพาเพียงแค่พละกำลังทางกายในการเคลื่อนไหวเท่านั้น
“จ้านอู๋ซวง!”
เจียงฉีหลินและหญิงสาวชุดดำอุทานออกมาพร้อมกับดวงตาที่สั่นไหว ชายหนุ่มที่ต้องการจะพุ่งเข้าหาหญิงสาวเมื่อครู่รีบเก็บดาบและถอยกลับไปอยู่ข้างกายเจียงฉีหลินด้วยความหวาดกลัว
เจียงอี้เองก็หยุดเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาใหม่มีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวดังนั้นตัวเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความบาดหมางกับเจียงฉีหลินอีกต่อไป
“หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์!”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผู้ที่ถูกเรียกว่าจ้านอู๋ซวงกำลังวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางราวกับสัตว์ร้าย เมื่อเขามองเห็นดาบที่แทงทะลุไหล่ซ้ายของหญิงสาว สีหน้าของเขาก็มืดมนลงในทันที เขาชักดายยักษ์ออกมาและเหวี่ยงใส่เด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกทำลายตันเทียนไปเมื่อครู่โดยไม่คิดจะไถ่ถาม
“จ้านอู๋ซวงหยุดมือก่อน! นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
เจียงฉีหลินตะโกนออกไป แม้แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นดาบยักษ์ของจ้านอู๋ซวงก็ไม่มีท่าทีจะหยุดแม้แต่น้อย หัวสมองของชายหนุ่มพิการผู้นั้นแหลกเละ ถึงอย่างนั้นวิถีของดาบก็ยังไม่หยุดลงและตรงไปยังชายหนุ่มอีกคนที่เหลืออยู่ พริบตาเดียวเท่านั้น ลูกน้องที่หยิ่งยโสของเจียงฉีหลินทั้งสองคนก็ตกตายไป
โหดเหี้ยมยิ่งนัก! นี่เขาไม่กลัวว่าจะสูญเสียสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักจิตอสูรรึ? เขาไม่กลัวที่จะสร้างความโกรธแค้นให้กับกองทัพทหารตะวันตก?
เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจและตกตะลึง จ้านอู๋ซวงดึงดาบกลับมาและช่วยหญิงสาวห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปล่อยให้นางกลืนเม็ดยารักษา เขาก็หันหลังและจ้องมาทางเจียงฉีหลินกับเจียงอี้ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ากล้าที่จะแตะต้องน้องสาวของข้า? เจียงฉีหลิน เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
ดูเหมือนว่าเจียงฉีหลินที่ดูหยิ่งยโสก่อนหน้านี้จะหวาดกลัวจ้านอู๋ซวงมากเลยทีเดียว เขากล่าวออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน “น้องสาวของเจ้า? มันเป็นความเข้าใจผิด จ้านอู๋ซวง ไม่ใช่ว่าเจ้ามาที่นี่คนเดียวหรือ? แล้วพวกข้าจะไปรู้ได้ไงว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า?”
จ้านอู๋ซวงลากดาบยักษ์ของเขาไปด้วยขณะที่ก้าวเดินและกวาดสายตามองทุกคน หนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงเจียงอี้ด้วย
“เจียงฉีหลิน เห็นแก่หน้าเจียงนี่หลิว ข้าจะไม่สังหารเจ้าแต่เจ้าต้องหักขาตัวเองและให้คนของเจ้าฆ่าตัวตาย!”
บัดซบ…
เจียงอี้ถึงกับเป็นใบ้ การที่เขาเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ทำให้จ้านอู๋ซวงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกสมุนของเจียงฉีหลิน แต่ที่เขาประหลาดใจมากกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนว่าจ้านอู๋ซวงผู้นี้จะมีสถานะที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าเขาจะรู้ถึงสถานะของเจียงฉีหลินแต่เขาก็ยังให้อีกฝ่ายทำลายขาตัวเอง
สีหน้าของเจียงฉีหลินดูย่ำแย่ลงมากและตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “จ้านอู๋ซวง เจ้าอย่าได้กดดันข้าให้มากนัก ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด! หากเจ้ายังดึงดันที่จะเอาผิดข้า ตระกูลของพวกเราทั้งคู่คงจะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่”
ฟับ!
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จ้านอู๋ซวงเหวี่ยงดาบยักษ์ของเขาที่ดูแล้วหนักอย่างน้อยสองถึงสามร้อยกิโลกรัมและผ่าร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเจียงฉีหลินอย่างโหดเหี้ยม
ตู้มม!
ชายหนุ่มผู้นั้นกัดฟันแน่นขณะเดียวกันก็ชักดาบออกมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีและพยายามหลบหนี แต่เขาประเมินพละกำลังของจ้านอู๋ซวงต่ำเกินไป เมื่อดาบยักษ์สัมผัสกับดาบของเขา มันก็ไม่ได้ถูกบั่นทอนพลังแต่อย่างใด ทั้งตัวดาบและร่างของชายหนุ่มถูกผ่าออกเป็นสองส่วนราวกับเต้าหู้ เขาตายทั้งที่ดวงตายังคงเบิกกว้างด้วยความกลัว!
“เจ้ากล้าดียังไง!”
เจียงฉีหลินโกรธแค้นอย่างมาก เขากวัดแกว่งดาบยาวในมือและกระโจนเข้าหาจ้านอู๋ซวง สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ตกตะลึงก็คือ จ้านอู๋ซวงใช้มือเปล่าคว้าไปที่ดาบของเจียงฉีหลิน ตอนแรกเจียงอี้คาดว่ามือของอีกฝ่ายจะต้องถูกตัดขาดเป็นแน่ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าชายคนนั้นสามารถใช้มือเปล่าจับดาบที่ฟันลงมาได้อย่างง่ายดาย เขาเหวี่ยงดาบออกไปและบิดไปที่ข้อมือของเจียงฉีหลิน ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้ดาบยักษ์กระแทกไปที่ขาอีกฝ่าย
“กร๊อบ!”
ขาของเจียงฉีหลินถูกทำลายและกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจ้านอู๋ซวงระงับพลังบางส่วนเอาไว้ มิฉะนั้นขาของเจียงฉีหลินคงจะกลายเป็นกองเลือดไปแล้ว
“ร่างของจ้านอู๋ซวงผู้นี้ทำมาจากเหล็กหรือยังไง? แม้แต่อาวุธก็ทำได้แค่ทิ้งรอยเล็กๆไว้บนผิวของเขาเท่านั้น!”
เมื่อเจียงอี้มองเห็นรอยแผลที่มีขนาดเล็กบนฝ่ามือของจ้านอู๋ซวง เขาก็ตื่นตระหนกราวกับนึกบางอย่างได้
เผ่าพันธุ์พิเศษ!
หากว่าจ้านอู๋ซวงไม่ใช่พวกเผ่าพันธุ์พิเศษ เช่นนั้นเขาก็ต้องบ่มเพาะเทคนิคลึกลับบางอย่าง แต่เจียงอี้ก็ไม่สามารถมองเห็นการไหลเวียนแก่นแท้พลังของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าร่างกายของจ้านอู๋ซวงจะต้องบ่มเพาะจนเข้าสู่ระดับที่น่ากลัว!
ฟับ!
ในขณะที่เจียงอี้กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับความพิเศษของร่างกายของจ้านอู๋ซวง ดาบยักษ์ก็ได้เหวี่ยงมาบนศีรษะของเขาแล้ว
เจียงอี้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา “ข้าไม่เคยเห็นใครที่แข็งแกร่งและไร้สมองเช่นนี้มาก่อน”
เขาไม่ได้พยายามที่จะหลบเลี่ยงหรือโต้ตอบและทำเพียงแค่จ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างเฉยชาเท่านั้น
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายดังมาจากทางหญิงสาว ทันใดนั้นดาบยักษ์ของจ้านอู๋ซวงก็อยู่ห่างจากศีรษะของเจียงอี้เพียงแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น แต่สีหน้าของเจียงอี้ก็ยังคงเฉยชาเช่นเดิม
“เจียงอู๋ซวง ท่าน… ท่านมันโง่ยิ่งนัก! เขาเป็นผู้มีพระคุณของข้านะ!” หญิงสาวในชุดดำกล่าว
“ห๊ะ?”
จ้านอู๋ซวงกระพริบตาปริบๆและหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขายกดาบขึ้นและเหวี่ยงใส่ลูกสมุนของเจียงฉีหลินคนสุดท้ายที่ประมือกับเจียงอี้ก่อนหน้านี้แทน
เขาจ้องมองไปที่เจียงอี้ก่อนที่จะกล่าวด้วยความอับอาย “ข้าต้องขอโทษน้องชายผู้นี้ด้วย! ทำไมเจ้าถึงไม่อธิบายตั้งแต่แรกล่ะ? ข้าเกือบจะฆ่าเจ้าแล้วเห็นไหม?”
หนังตาของเจียงอี้ถึงกับกระตุกแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เมื่อครู่เขาสังเกตเห็นแล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเอ่ยเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด
เจียงอี้เหลือบมองหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นก็หันหลังและเดินกลับเข้าไปในป่า
เนื่องจากหญิงสาวผู้นี้ตกอยู่ในอันตราย จ้านอู๋ซวงเลยสังหารคนของเจี้ยงฉีหลินทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ในไม่ช้าและเขาเองก็ไม่อยากที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
“เฮ้ น้องชาย! เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ…?!”
จ้านอู๋ซวงยังคงตะโกนไล่หลัง แต่เจียงอี้ยังนิ่งเงียบและจากไปในที่สุด จ้านอู๋ซวงเก็บดาบยักษ์และเดินกลับมาหาหญิงสาวด้วยความงงงวย “ข้าว่าเขาเป็นคนที่แปลกมาก ข้าเกือบที่จะสังหารเขาแล้วแต่เขาก็ไม่พยายามที่จะหลบ ชายคนนี้ทำความดีแต่ก็ไม่คิดที่จะประกาศนามของตัวเองออกมา คนแบบนี้แหละคือบุรุษที่แท้จริง แม้แต่ในตอนที่เกือบจะถูกข้าสังหาร สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำ… เอ๊ะ? หรือว่าเขาจะกลัวข้าจนขยับตัวไม่ได้กัน?”
หญิงสาวในชุดดำจ้องมองจ้านอู๋ซวงด้วยสายตาที่เย็นชาผสมกับความเย้ยหยัน “จ้านอู๋ซวง ท่านคิดว่าตัวเองน่ากลัวมากนักหรือไง? ไม่ใช่เพราะเขากลัวจนไม่สามารถหลบได้ แต่เขาไม่ได้หวาดกลัวท่านเลยต่างหาก ข้ามีลางสังหรณ์ว่าหากเขาคิดที่จะลงมือ เขาก็สามารถทำร้ายท่านได้อย่างแน่นอน ท่านเป็นถึงทายาทของตระกูลเทพสงครามแต่ไม่สามารถเทียบกับจอมยุทธนิรนามได้ ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือยังไง?”